การโกงเลือกตั้ง

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก การโกงการเลือกตั้ง)

การโกงเลือกตั้ง เป็นการแทรกแซงโดยมิชอบด้วยกฎหมายซึ่งกระบวนการเลือกตั้ง ไม่ว่าโดยการเพิ่มสัดส่วนคะแนนเสียงของผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้หนึ่ง ลดสัดส่วนคะแนนเสียงของผู้สมัครคู่แข่ง หรือทั้งสองอย่าง การกระทำใดเข้าข่ายการโกงเลือกตั้งบ้างนั้นแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ

การโกงเลือกตั้งหลายชนิดถูกห้ามตามกฎหมายเลือกตั้ง แต่การโกงเลือกตั้งบางอย่างเป็นการละเมิดกฎหมายทั่วไป เช่น กฎหมายห้ามการทำร้ายร่างกาย การก่อกวนหรือหมิ่นประมาท คำว่า "การโกงเลือกตั้ง" ในทางเทคนิคแล้วครอบคลุมเฉพาะการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายเท่านั้น แต่บางทียังใช้อธิบายการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ยอมรับไม่ได้ในทางศีลธรรม อยู่นอกเหนือจิตวิญญาณของการเลือกตั้งหรือละเมิดหลักการประชาธิปไตย การเลือกตั้งปาหี่ (show election) หมายถึงการเลือกตั้งที่มีผู้สมัครรับเลือกตั้งเพียงคนเดียว บางทีจัดเป็นการโกงเลือกตั้งด้วย แม้อาจเป็นไปตามกฎหมายและมีลักษณะเหมือนการลงประชามติมากกว่า

ในการเลือกตั้งระดับชาติ การโกงเลือกตั้งที่ประสบความสำเร็จสามารถมีผลของรัฐประหารหรือการฉ้อราษฎร์บังหลวงของประชาธิปไตย ในการเลือกตั้งที่มีผลต่างคะแนนเสียงไม่มาก การโกงเพียงเล็กน้อยอาจเพียงพอเปลี่ยนแปลงผลการเลือกตั้งได้ แต่ถึงแม้ไม่เปลี่ยนแปลงผลการเลือกตั้ง แต่การเปิดเผยการโกงดังกล่าวสามารถมีผลเสียหายได้เพราะจะลดความเชื่อมั่นในประชาธิปไตยของผู้ออกเสียงลงคะแนน

การชักใยบรรดาผู้มีสิทธิเลือกตั้ง[แก้]

การโกงเลือกตั้งสามารถเกิดได้ล่วงหน้าการเลือกตั้งหากมีการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของบรรดาผู้มีสิทธิเลือกตั้ง การชักใยดังกล่าวอาจชอบหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายแตกต่างกันตามเขตอำนาจศาลต่าง ๆ การชักใยผลการเลือกตั้งโดยเจตนาถือว่าเป็นการละเมิดหลักการแห่งประชาธิปไตยอย่างกว้างขวาง

การชักใยประชากรศาสตร์[แก้]

ในหลายกรณี ทางการสามารถควบคุมองค์ประกอบของบรรดาผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อให้เกิดผลที่ต้องการได้ ทางหนึ่งทำได้โดยการเลื่อนจำนวนผู้ออกเสียงลงคะแนนจำนวนมากเข้าสู่บรรดาผู้มีสิทธิเลือกตั้งก่อนการเลือกตั้ง ตัวอย่างเช่น การมอบหมายที่ดินให้ผู้ออกเสียงลงคะแนนชั่วคราวหรือให้พักในที่พักราคาถูก หลายประเทศป้องกันการโกงประเภทนี้โดยการกำหนดเงื่อนไขว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งต้องอาศัยอยู่ในเขตเลือกตั้งหนึ่ง ๆ เป็นระยะเวลาอย่างน้อยตามที่กฎหมายกำหนดจึงมีสิทธิออกเสียงลงคะแนนในเขตเลือกตั้งนั้นได้ อย่างไรก็ดี กฎหมายดังกล่าวอาจใช้สำหรับการชักใยประชากรศาสตร์ได้เพราะมักทำให้ผู้ไม่มีที่อยู่ประจำเสียสิทธิเลือกตั้งได้ เช่น บุคคลไร้บ้าน นักเดินทาง ชาวโรมา นักศึกษา (ศึกษาเต็มเวลาโดยไม่อยู่บ้าน) และคนงานเป็นกะบางส่วน

อีกยุทธศาสตร์หนึ่งคือการย้ายบุคคลเข้าสู่เขตเลือกตั้งหนึ่งอย่างเป็นทางการ โดยปกติผ่านการเคหะสาธารณะ หากบุคคลมีสิทธิเข้าพำนักในการเคหะสาธารณะมีแนวโน้มออกเสียงให้พรรคการเมืองพรรคหนึ่ง พวกเขาสามารถทำให้กระจุกอยู่ในพื้นที่หนึ่งได้ ฉะนั้นจึงทำให้คะแนนเสียงของบุคคลเหล่านี้มีค่าน้อยลง หรือเคลื่อนเข้าสู่เขตเลือกตั้งชายขอบ ซึ่งอาจพลิกสมดุลให้เข้าข้างพรรคการเมืองที่ต้องการได้

กฎหมายการเข้าเมืองยังสามารถใช้ชักใยบรรดาผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้ ตัวอย่างเช่น ประเทศมาเลเซียมอบความเป็นพลเมืองให้แก่ผู้เข้าเมืองจากประเทศฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย พร้อมมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง เพื่อให้พรรคการเมืองพรรคหนึ่ง "ครอบงำ" รัฐซาบะฮ์

วิธีการขักใยการประชันขั้นแรกและการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคอื่นก็เกี่ยวข้องกับการโกงประเภทนี้เช่นกัน บุคคลที่สนับสนุนพรรคการเมืองหนึ่งอาจเข้าร่วมอีกพรรคชั่วคราว (หรืออาจออกเสียงข้ามพรรคหากกฎหมายอนุญาต) เพื่อเลือกผู้สมัครที่น่าจะแพ้ให้เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองนั้น ๆ โดยมีเป้าหมายสูงสุดเพื่อให้หัวหน้าพรรคการเมืองที่ผู้ออกเสียงลงคะแนนสนับสนุนจริงเอาชนะผู้สมัครที่น่าจะแพ้คนดังกล่าวในการเลือกตั้งทั่วไป

การเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง[แก้]

องค์ประกอบของบรรดาผู้มีสิทธิเลือกตั้งอาจเปลี่ยนแปลงได้จากการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของคนบางกลุ่ม ในบางกรณี รัฐผ่านบทบัญญัติเพิ่มการกีดกันทั่วไปต่อการลงทะเบียนของผู้ออกเสียงลงคะแนน เช่น ภาษีการออกเสียง การทดสอบการรู้หนังสือและความเข้าใจ และข้อกำหนดการเก็บประวัติ ซึ่งในทางปฏิบัติมีการใช้ต่อประชากรชนกลุ่มน้อยโดยมีผลเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง นับแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ถึงปลายคริสต์ทศวรรรษ 1960 ชาวแอฟริกันอเมริกันในรัฐภาคใต้ของสหรัฐส่วนใหญ่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งตามมาตรการเหล่านี้ ข้าราชการการเลือกตั้งที่ฉ้อฉลอาจละเมิดระเบียบการออกเสียงลงคะแนนอย่างการทดสอบการรู้หนังสือหรือข้อกำหนดให้มีหลักฐานระบุรูปพรรณหรือที่อยู่ในทางที่ทำให้เป้าหมายสามารถออกเสียงลงคะแนนได้ยากหรือทำไม่ได้เลย ผู้มีความผิดอาญาอุกฉกรรจ์ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งในหลายรัฐของสหรัฐเป็นยุทธศาสตร์หนึ่งในการป้องกันแอฟริกันอเมริกันไม่ให้ออกเสียงลงคะแนนได้

การแบ่งแยกเสียงสนับสนุนของฝ่ายค้าน[แก้]

ศาสตราจารย์เบียทริซ มากาโลนีแห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดอธิบายแบบจำลองว่าด้วยพฤติกรรมของระบอบอัตตาธิปไตย เธอเสนอว่าพรรครัฐบาลสามารถธำรงการควบคุมทางการเมืองภายใต้ระบบประชาธิปไตยโดยไม่ต้องชักใยคะแนนเสียงหรือบังคับขู่เข็ญบรรดาผู้มีสิทธิเลือกตั้งใด ๆ เลย ภายใต้เงื่อนไขที่ถูกต้อง สามารถชี้นำระบบประชาธิปไตยให้เข้าสู่สมดุลซึ่งพรรคการเมืองฝ่ายค้านที่แตกกันให้กระทำเป็นผู้สมคบการปกครองพรรคเยวโดยไม่รู้ตัว การนี้ทำให้พรรครัฐบาลไม่ต้องโกงเลือกตั้งที่ผิดกฎหมาย

ระบบการออกเสียงลงคะแนนแบบเรียงลำดับความชอบ (Preferential voting system) เช่น การออกเสียงแบบคะแนน (score voting) การออกเสียงแบบผู้สมัครรอบสองทันที (instant-runoff voting) และระบบถ่ายโอนคะแนนเสียง (single transferable vote) มีการออกแบบมาเพื่อป้องกันการชักใยบรรดาผู้มีสิทธิเลือกตั้งอย่างเป็นระบบและการผูกขาดทางการเมืองโดยพรรคการเมืองไม่กี่พรรค

การซื้อเสียง[แก้]

การซื้อเสียงมีได้หลายแบบ เช่น การแลกเปลี่ยนเป็นเงิน ตลอดจนการแลกเปลี่ยนกับสินค้าหรือบริการที่จำเป็น วิธีนี้มักใช้เพื่อจูงใจหรือโน้มน้าวให้ผู้ออกเสียงลงคะแนนออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งและออกเสียงลงคะแนนในทางใดทางหนึ่ง วิธีนี้พบได้แพร่หลายทั่วโลก

ในพื้นที่บางส่วนของสหรัฐในกลางถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 สมาชิกพรรคการเมืองที่ลงสมัครรับเลือกตั้งจะซื้อขายคะแนนเสียงกัน ซึ่งบางทีกระทำกันอย่างโจ่งแจ้งและบางทีอาจกระทำในทางลับ ผู้ออกเสียงลงคะแนนจะได้รับการชดเชยด้วยเงินสดหรือได้รับจ่ายค่าบ้านหรือภาษี เพื่อปิดการซื้อเสียงเป็นความลับ พรรคการเมืองจะเปิดร้านซื้อคะแนนเสียงกันโดยมีเจ้าหน้าที่ประจำ พรรคการเมืองยังว่าจ้างนักส่งข่าวเพื่อไปหาผูออกเสียงในที่สาธารณะและต่อรองเอาคะแนนเสียง

บัตรเลือกตั้งที่ทำให้หลงผิดหรือสับสน[แก้]

บัตรเลือกตั้งยังอาจถูกใช้เพื่อทำให้คะแนนเสียงไปถึงพรรคการเมืองพรรคหนึ่งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งคนหนึ่งน้อยลง โดยใช้การออกแบบหรือลักษณะอย่างอื่นเพื่อทำให้ผู้ออกเสียงสับสนจนลงคะแนนให้ผู้สมัครอีกคนหนึ่ง การออกแบบบัตรเลือกตั้งที่เลวหรือทำให้หลงผิดปกติไม่ขัดต่อกฎหมายจึงไม่ใช่การโกงเลือกตั้งในทางเทคนิค กระนั้นถือว่าเป็นการบ่อนทำลายหลักการแห่งประชาธิปไตย

อีกวิธีหนึ่งในการทำให้ประชาชนสับสนจนลงคะแนนเสียงให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งคนอื่นที่ไม่ใช่คนที่ตั้งใจไว้คือการให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือตั้งพรรคการเมืองที่มีชือหรือสัญลักษณ์คล้ายกับผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือพรรคการเมืองที่มีอยู่เดิม เป้าหมายคือเพื่อทำให้ผู้ออกเสียงลงคะแนนหลงผิดลงคะแนนให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือพรรคการเมืองผิดจนมีอิทธิพลต่อผลการเลือกตั้ง วิธีนี้มีประสิทธิภาพเป็นพิเศษเมื่อผู้ออกเสียงลงคะแนนสัดส่วนใหญ่มีการรู้หนังสือจำกัดในภาษาที่ใช้ในบัตรเลือกตั้ง วิธีนี้ก็ไม่ขัดต่อกฎหมายแต่ทำลายหลักการแห่งประชาธิปไตยเช่นกัน

ดูเพิ่ม[แก้]