แดน เบิร์น

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
แดน เบิร์น
Burn with Birmingham City in 2013 pre-season
ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อเต็ม แดเนียล จอห์นสัน เบิร์น[1]
วันเกิด (1992-05-09) 9 พฤษภาคม ค.ศ. 1992 (31 ปี)[2]
สถานที่เกิด Blyth, อังกฤษ
ส่วนสูง 6 ft 7 in (2.01 m)[3]
ตำแหน่ง กองหลัง[4]
ข้อมูลสโมสร
สโมสรปัจจุบัน
นิวคาสเซิลยูไนเต็ด
หมายเลข 33
สโมสรเยาวชน
นิวคาสเซิลยูไนเต็ด
นิวฮาร์ทลีย์
Blyth Town
Blyth Spartans
2009 แดร์ริงตัน
สโมสรอาชีพ*
ปี ทีม ลงเล่น (ประตู)
2009–2011 แดร์ริงตัน 14 (0)
2011–2016 ฟูลัม 61 (1)
2012–2013โยวิลทาวน์ (ยืม) 34 (2)
2013–2014เบอร์มิงแฮมซิตี (ยืม) 24 (0)
2016–2018 วีแกนแอทเลติก 87 (6)
2018–2022 ไบรตันแอนด์โฮฟอัลเบียน 74 (2)
2018–2019วีแกนแอทเลติก (ยืม) 14 (0)
2022– นิวคาสเซิลยูไนเต็ด 16 (0)
*นัดที่ลงเล่นและประตูที่ยิงให้แก่สโมสรเฉพาะลีกในประเทศเท่านั้น
ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 17:27, 22 พฤษภาคม 2022 (UTC)

แดเนียล จอห์นสัน เบิร์น (อังกฤษ: Daniel Johnson Burn; เกิด 9 พฤษภาคม ค.ศ. 1992) เป็นนักฟุตบอลอาชีพชาวอังกฤษที่เล่นเป็นกองหลังให้กับสโมสร นิวคาสเซิลยูไนเต็ด ใน พรีเมียร์ลีก

เบิร์นเปิดตัวในฟุตบอลลีกกับ แดร์ริงตัน ในปี ค.ศ. 2009 และเข้าร่วมทีม ฟูลัม เมื่อจบฤดูกาล 2010-2011 โดยลงเล่น 19 นัดกับดาร์ลิงตัน เขาใช้เวลาในฤดูกาล 2012-13 ยืมตัวไป โยวิลทาวน์ ซึ่งเขาได้ลงเล่น 41 นัดและใช้เวลาส่วนหนึ่งของฤดูกาลถัดมาในการยืมตัวไปยัง เบอร์มิงแฮมซิตี เขาเข้าร่วมทีม วีแกนแอทเลติก เมื่อสัญญาของเขากับฟูลัมหมดลงเมื่อจบฤดูกาล 2015-16 เบิร์นเซ็นสัญญากับ ไบรตันแอนด์โฮฟอัลเบียน ก่อนฤดูกาล 2018-19 และถูกยืมตัวกลับไปวีแกนจนถึงมกราคม ค.ศ. 2019 เขาพิสูจน์ตัวเองในฐานะผู้เล่นตัวหลักของไบรตันตั้งแต่ฤดูกาล 2019-20 ก่อนที่จะเซ็นสัญญากับ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด สโมสรในวัยเด็กของเขาในเดือนมกราคม ค.ศ. 2022

อาชีพ[แก้]

แดร์ริงตัน[แก้]

เบิร์นเกิดที่ ไบลธ์, นอร์ธัมเบอร์แลนด์[5] เบิร์นเติบโตขึ้นมาเชียร์นิวคาสเซิลยูไนเต็ด และไอดอลของเขาคือ แอลัน เชียเรอร์[6] เขาถูกปล่อยตัวโดยนิวคาสเซิลยูไนเต็ดเมื่ออายุ 11 ขวบเบิร์นเล่นฟุตบอลเยาวชนกับทีมท้องถิ่น New Hartley, Blyth Town และ Blyth Spartans[7][8] เมื่ออายุได้ 16 ปี เขาเริ่มทำงานกับซุปเปอร์มาร์เก็ต Asda เมื่อแมวมองของ แดร์ริงตัน เห็นเขาเล่นให้กับ Blyth Spartans จึงจับเขาเซ็นสัญญาอาชีพกับ แดร์ริงตัน ในวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 2009[9][10]

เนื่องจากปัญหาทางการเงินของสโมสรและการขาดผู้เล่น เบิร์นจึงได้เลื่อนขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่และปรากฏตัวครั้งแรกในฐานะตัวสำรองที่ไม่ได้ลงสนาม ในเกมที่แพ้เฮริฟอร์ดยูไนเต็ด 1-3 เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ. 2009 เบิร์นได้ประเดิมสนามนัดแรก ลงมาเป็นตัวสำรองในนาทีที่ 19 โดยลงมาแทน มาร์ก โบเวอร์ กองหลังที่ได้รับบาดเจ็บในเกมกับ ทอร์คีย์ยูไนเต็ด เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม ค.ศ. 2009[11] ซึ่งส่งผลให้แพ้ 0-5[12] เบิร์นเปิดตัวในฐานะผู้เล่นตัวจริงในการพบกับทอร์คีย์ยูไนเต็ดอีกครั้งในวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 2010 ซึ่งแดร์ริงตันแพ้ 1-3[13] เขาได้ลงสนาม 4 นัดในฤดูกาล 2009-10 ขณะที่แดร์ริงตันตกชั้นสู่ คอนเฟอเรนซ์ลีก หรือ เนชันนัลลีก ในปัจจุบัน

หลังจากนั้นเบิร์นกลับไปที่อะคาเดมี่ของสโมสรเพื่อพัฒนาตัวเองก่อนที่จะถูกเรียกตัวกลับสู่ทีมชุดใหญ่โดยผู้จัดการทีมในเวลานั้น มาร์ก คูเปอร์ ซึ่งเขาได้ปรากฏตัวครั้งแรกในฤดูกาล 2010-11 ในการชนะ 3-1 เหนือบาร์โรว์ เมื่อวันที่ 3 มกราคม ค.ศ. 2011[14] เขาลงเล่น 15 นัดในฤดูกาล 2010-11 และผลงานของเขาได้รับการยกย่องจากคูเปอร์[15] เบิร์นได้อันดับสองรองจาก เจมี่ แชนด์เลอร์ สำหรับรางวัลนักเตะดาวรุ่งแห่งปีของสโมสร[16]

เบิร์นได้รับความสนใจจากสโมสรในพรีเมียร์ลีกรวมถึงฟูลัม[17] แดร์ริงตันให้สัญญา 2 ปีครึ่งแก่เขา แต่คูเปอร์ยอมรับว่าเราไม่น่าจะรั้งเขาไว้ได้[18] โดยอ้างว่า "ถ้าฉันเป็นผู้จัดการทีมพรีเมียร์ลีก ฉันจะเซ็นสัญญากับเขาทันที ไม่ว่าจะมีค่าใช้จ่ายเท่าไร"[19]

ฟูลัม[แก้]

เมื่อวันที่ 14 เมษายน ค.ศ. 2011 เบิร์นได้ตกลงเซ็นสัญญากับสโมสรฟูลัมในพรีเมียร์ลีกเมื่อจบฤดูกาล 2010-2011 โดยมีค่าตัวประมาณ 350,000 ปอนด์[20][21]

หลังจากเซ็นสัญญากับฟูลัม เบิร์นถูกส่งไปยังทีมสำรองของสโมสรเพื่อพัฒนาและเรียนรู้ภายใต้ผู้จัดการทีมสำรองของสโมสร บิลลี แมคคินเลย์[22]

เมื่อวันที่ 25 กันยายน ค.ศ. 2012 เบิร์นเข้าร่วมทีม โยวิลทาวน์ สโมสรใน ลีกวัน ด้วยสัญญายืมตัว 4 วันต่อมา เขาได้ประเดิมสนามเจอกับ เพรสตันนอร์ทเอนด์ เบิร์นเตะเข้าประตูตัวเองให้เพรสตันในนาทีที่ 86 แต่จากนั้นเขาก็ทำประตูแรกให้ทีมได้ในนาทีต่อมา แต่ในที่สุดโยวิลก็แพ้ 2-3 เบิร์นเข้ามาเป็นเซ็นเตอร์แบ็คตัวจริงในทีมชุดใหญ่ที่ โยวิลทาวน์ และได้รับการต่อสัญญายืมตัวกับสโมสรถึง 2 ครั้ง เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม ฟูลัมยืนยันว่าสัญญายืมตัวของเบิร์นกับโยวิลได้ขยายออกไปจนถึงวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 2012

และขยายออกไปอีกครั้งจนจบฤดูกาล เบิร์นทำประตูที่ 2 ของเขาให้กับโยวิลทาวน์เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2013 ในการชนะ เบรนต์ฟอร์ด 3-0 ก่อนหน้านี้เคยโดนแบนหลังจากโดนใบเหลือง 5 ใบในฤดูกาลนี้ เบิร์นได้รับใบแดงหลังจากได้รับใบเหลืองที่ 2 ในเกมที่เอาชนะ สตีฟเนจ 2-0 เมื่อวันที่ 13 เมษายน ค.ศ. 2013 และพลาดการแข่งขัน 3 นัดสุดท้ายของฤดูกาล

หลังโดนแบน 3 นัด เบิร์นกลับคืนสู่ทีมชุดใหญ่ โดยเล่นในเลกแรกของเพลย์ออฟ แพ้ เชฟฟีลด์ยูไนเต็ด 0-1 เบิร์นช่วยให้สโมสรเอาชนะในเลกที่สองด้วยชัยชนะ 2-1 เบิร์นทำประตูที่เวมบลีย์ให้กับโยวิลระหว่าง เพลย์ออฟลีกวัน รอบชิงชนะเลิศ 2013 ซึ่งทำให้โยวิลทาวน์เลื่อนชั้นสู่ อีเอฟแอลแชมเปียนชิป เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของพวกเขา เบิร์นกลับมาฟูลัมโดยลงเล่น 41 นัดให้โยวิลและทำไป 3 ประตู

ก่อนฤดูกาล 2013-14 เบิร์นกล่าวว่าเขากระตือรือร้นที่จะกลับไปโยวิลทาวน์ อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม ค.ศ. 2013 เบิร์นได้เซ็นสัญญาฉบับใหม่กับฟูลัม โดยปล่อยให้เขาอยู่ที่สโมสรจนถึงปี 2015 เป็นอย่างน้อย ขณะเดียวกันก็ย้ายไปเล่นให้ เบอร์มิงแฮมซิตี ทีมในลีกแชมเปียนชิปแบบยืมตัวตลอดฤดูกาล เขาประเดิมสนามในเกมที่แพ้วัตฟอร์ด 0-1 เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม ค.ศ. 2013 และยังคงเป็นผู้เล่นตัวจริงของทีม เขาทำประตูแรกให้กับสโมสรจากลูกครอสของ พอล แคดดิส เขาทำประตูได้อีกในเกม ลีกคัพ รอบ 3 เมื่อวันที่ 25 กันยายน ที่เบอร์มิงแฮมเอาชนะ สวอนซีซิตี 3-1

ฟูลัมเรียกตัวเบิร์นได้ในวันที่ 2 มกราคม ค.ศ. 2014 หลังจากถูกเรียกตัว เบิร์นได้ประเดิมสนามให้กับทีมชุดใหญ่เมื่อวันที่ 4 มกราคม ค.ศ. 2014 ในการแข่งขันเอฟเอคัพ รอบ 3 กับ นอริชซิตี ที่ แคร์โรว์โรด หลังเกมกับนอริช ผู้จัดการทีมฟูลัมในเวลานั้น เรเน มิวเลนสตีน อดีตผู้ช่วยเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กล่าวว่าเขาคาดว่าเบิร์นจะกลับไปเล่นให้เบอร์มิงแฮมซิตี แบบยืมตัวเป็นครั้งที่ 2 แต่การย้ายทีมจะไม่เกิดขึ้น

จากนั้นเบิร์นก็ประเดิมสนามในพรีเมียร์ลีกโดยแพ้อาร์เซนอล 0-2 เมื่อวันที่ 18 มกราคม ค.ศ. 2014 หลังการแข่งขัน มิวเลนสตีนยกย่องผลงานของเบิร์น เบิร์นได้ลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่จำนวนหนึ่งจนกระทั่งเขาได้รับบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อ หลังจากที่หายไปนานหลายสัปดาห์ เบิร์นกลับมาสู่ทีมชุดใหญ่ในวันเสาร์ที่ 3 พฤษภาคม ค.ศ. 2014 ลงเล่น 58 นาที โดยพ่าย สโตกซิตี 1-4 ซึ่งส่งผลให้สโมสรตกชั้นสู่แชมเปียนชิปในฤดูกาลหน้า

ในฤดูกาล 2014-15 เบิร์นได้ปรากฏตัวครั้งแรกในฤดูกาล โดยเสมอกับ คาร์ดิฟฟ์ซิตี 1-1 เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม ค.ศ. 2014 เขาทำประตูแรกให้ฟูลัมในเกมลีกคัพกับ ดองคัสเตอร์โรเวอส์ เมื่อวันที่ 23 กันยายน ค.ศ. 2014 ในวันที่ 21 ตุลาคม ค.ศ. 2014 เบิร์นเป็นกัปตันทีมฟูลัมเป็นครั้งแรกและทำประตูแรกในลีกของฤดูกาล โดยเสมอกับ รอเทอรัมยูไนเต็ด 3-3 อย่างไรก็ตาม เบิร์นดิ้นรนเพื่อตำแหน่งของเขาในทีมชุดใหญ่ ซึ่งเขาใช้เวลาเกือบทั้งฤดูกาลบนม้านั่งสำรอง เมื่อวันที่ 27 มกราคม ค.ศ. 2015 เบิร์นได้เซ็นสัญญาขยายสัญญากับสโมสรโดยจนถึงปี ค.ศ. 2015 เบิร์นจบฤดูกาล 2014-15 โดยลงเล่น 22 นัดและยิงได้ 1 ประตูในทุกรายการ

ในฤดูกาล 2015-16 เบิร์นแอสซิสต์ให้ คอลีย์ วูดโรว์ ทำประตูในนาทีสุดท้ายในเกมที่เสมอกับ ฮัดเดอส์ฟีลด์ทาวน์ 1-1 เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม ค.ศ. 2015 หลังการแข่งขัน เบิร์นได้รับการเสนอชื่อให้เป็น แมนออฟเดอะแมตช์ จากแฟน ๆ ในเกมที่เสมอ มิดเดิลส์เบรอ 0-0 เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม ค.ศ. 2015 เบิร์นได้ร่วมมือกับ ริชาร์ด สเตียร์แมน ซึ่งเป็นคู่หูเซ็นเตอร์แบ็คของเขารักษาสกอร์ 0-0 ไว้ได้และ เบิร์น ก็ได้รับเลือกให้เป็น แมนออฟเดอะแมตช์ ไม่นานเบิร์นก็เสียตำแหน่งผู้เล่นตัวจริงภายใต้ผู้จัดการทีมชั่วคราว ปีเตอร์ แกรนท์ แต่ในไม่ช้าเขาก็สามารถกลับมาเป็นผู้เล่นตัวจริงได้ภายใต้การคุมทีมของ สจวร์ต เกรย์ และ สลาวิซา โยคาโนวิช สโมสรได้เริ่มการเจรจาสัญญากับเบิร์น เบิร์นช่วยให้สโมสรรักษาสถานะทีมในลีกแชมเปียนชิปไว้ได้ในฤดูกาลหน้าเมื่อพวกเขาจบอันดับที่ 20 และลงเล่น 35 นัดในทุกรายการ

เมื่อจบฤดูกาล 2015-16 เบิร์นได้รับการปล่อยตัวจากสโมสรหลังจากสัญญาของเขาสิ้นสุดลง

วีแกนแอทเลติก[แก้]

เบิร์นเซ็นสัญญาสามปีกับ วีแกนแอทเลติก ซึ่งเลื่อนชั้นกลับสู่ลีกแชมเปียนชิป เพื่อเริ่มต้นใหม่หลังจากที่สัญญาของเขากับฟูลัมหมดลงเมื่อจบฤดูกาล 2015-16 เขาได้รับเสื้อหมายเลข 33 ซึ่งเขาก็สวมเสื้อหมายเลขนี้เมื่อย้ายมานิวคาสเซิลยูไนเต็ดด้วย

เบิร์นได้ประเดิมสนามให้กับวีแกนแอทเลติกในเกมเปิดฤดูกาล โดยแพ้ บริสตอลซิตี 1-2 เบิร์นกลายเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลที่โดดเด่นในทีมและได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของสโมสร เขาทำประตูแรกให้กับวีแกนในการเอาชนะ เบอร์มิงแฮมซิตี ต้นสังกัดเก่าของเขา 1-0 เมื่อวันที่ 7 มีนาคม ค.ศ. 2017

ไบรตันแอนด์โฮฟอัลเบียน[แก้]

เบิร์นเซ็นสัญญา 4 ปีกับสโมสรในพรีเมียร์ลีก ไบรตันแอนด์โฮฟอัลเบียน เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 2018 โดยไม่เปิดเผยค่าตัว เขาถูกยืมกลับไปที่ วีแกนแอทเลติก จนถึงเดือนมกราคม ค.ศ. 2019

เบิร์นกลับมาที่ไบรท์ตันหลังจากถูกยืมตัว และเปิดตัวเมื่อวันที่ 26 มกราคม ในเกมเอฟเอ คัพ รอบสามกับเวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน; การแข่งขันจบลงแบบไร้สกอร์ และเบิร์นได้รับเลือกให้เป็นแมนออฟเดอะแมตช์ เขาลงเล่นเป็นตัวจริงอีก 2 นัด ทั้งในเอฟเอ คัพ และนัดเปิดตัวกับสโมสรในวันเปิดฤดูกาล 2019-20 ที่ไปเยือน วัตฟอร์ด โดยเล่นในตำแหน่งแบ็คทรีร่วมกับ ลูอิส ดังค์ และ เชน ดัฟฟี ตามรายงานของ Telegraph เขาทำได้ยอดเยี่ยมเมื่อ Albion ชนะ 3-0 เขายังคงเป็นผู้เล่นตัวจริง และภายในสิ้นปี เขาเป็นผู้เล่นของไบรท์ตันเพียงคนเดียวที่ลงเล่นทุกนาทีในพรีเมียร์ลีก ในวันพฤหัสบดีที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2020 เขากระดูกไหปลาร้าหักหลังจากชนกับ รีซ เจมส์ ของ เชลซี ทำให้เขาต้องเข้ารับการผ่าตัด และเขาสามารถกลับมาลงสนามได้ในวันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์

ในวันเสาร์ที่ 2 มกราคม ค.ศ. 2021 เบิร์นยิงเข้าประตูตัวเอง เสียจุดโทษ และได้รับใบเหลืองในเกมที่ไบรท์ตันตามหลัง 1-3 ก่อนคว้าแต้มสำคัญในเกมเสมอกับวูล์ฟแฮมป์ตัน 3-3 เบิร์นลงเล่นในชัยชนะ 1-0 ของไบรตันเหนือแชมป์เก่าจากฤดูกาลที่แล้วอย่าง ลิเวอร์พูล เมื่อวันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นชัยชนะในลีกครั้งแรกของพวกเขาที่ แอนฟิลด์ นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1982 ในวันอังคารที่ 18 พฤษภาคม ค.ศ. 2021 โดยมีแฟนบอลกลับมาที่สนามฟุตบอล เบิร์นยิงประตูแรกของเขาให้ไบรตันในเกมเหย้าที่เอาชนะ แชมป์ลีกฤดูกาลนี้ แมนเชสเตอร์ซิตี 3-2 โดยประตูชัยของ เบิร์น ทำให้ทีมนกนางนวลคว้าชัยชนะเหนือซิตีเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1981

เบิร์นเป็นกัปตันทีมอัลเบียนเป็นครั้งแรกในเกมที่เปิดบ้านแพ้ วุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์ 0-1 เมื่อวันพุธที่ 15 ธันวาคม ค.ศ. 2021 ส่วนประตูที่สองของเขากับอัลเบียน เป็นลูกโหม่งหลังเกมเยือนเอฟเวอร์ตันในวันอาทิตย์ที่ 2 มกราคม ค.ศ. 2022 ก่อนที่พวกเขาจะชนะ 3-2

นิวคาสเซิลยูไนเต็ด[แก้]

เมื่อวันศุกร์ที่ 28 มกราคม ค.ศ. 2022 ไบรท์ตันปฏิเสธข้อเสนอราคา 7 ล้านปอนด์สำหรับเบิร์นจาก นิวคาสเซิลยูไนเต็ด สโมสรที่เขาสนับสนุนและเล่นให้ตอนเป็นเด็กซึ่งมีกลุ่มทุนจากซาอุดีอาระเบียเข้ามาครอบครองสโมสร สองวันต่อมา มีการตกลงค่าตัวที่ 13 ล้านปอนด์ และเบิร์นเซ็นสัญญา 2 ปีครึ่งกับนิวคาสเซิลในวันจันทร์ที่ 31 มกราคม ซึ่งเป็นวันที่ตลาดซื้อขายนักเตะปิดตัวลง เขาประเดิมสนามในวันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ โดยมี ฟาเบียน ชาร์ เป็นคู่หูเซ็นเตอร์แบ็กคนใหม่ในชัยชนะ 1-0 ที่บ้านเหนือ แอสตันวิลลา และได้รับการเสนอชื่อให้เป็นแมนออฟเดอะแมตช์ของ สกาย สปอร์ตส์ ตามคำกล่าวของ แกรี เนวิล อดีตแบ็กซ้ายในตำนานของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ผู้วิจารณ์ของสกาย สปอร์ตส์ กล่าวว่า "[เบิร์น] ผลงานทั้งหมดของเขาดีมาก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการโหม่งบอลของเขา

อ้างอิง[แก้]

  1. "Premier League clubs publish 2019/20 retained lists". Premier League. 26 June 2020. สืบค้นเมื่อ 9 July 2020.
  2. "Dan Burn: Overview". Premier League. สืบค้นเมื่อ 19 September 2021.
  3. "Dan Burn". Newcastle United F.C. สืบค้นเมื่อ 9 May 2022.
  4. "Dan Burn". Brighton & Hove Albion F.C. 20 September 2021. สืบค้นเมื่อ 20 September 2021.
  5. Starforth, Miles (21 September 2019). "Dan Burn: I was 'hurt massively' by Newcastle United release". Shields Gazette. สืบค้นเมื่อ 19 September 2021.
  6. "Burn Baby Burn". Fulham F.C. 10 December 2014. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 September 2015. สืบค้นเมื่อ 31 August 2016.
  7. "On-fire Burn living the dream at Wembley". News Post Leader. 27 May 2013. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 June 2018. สืบค้นเมื่อ 18 March 2018.
  8. "Dan Burn hoping unconventional journey from pushing Asda trollies to silencing Sergio Aguero takes him back to Wembley". The Daily Telegraph. 17 March 2018. สืบค้นเมื่อ 18 March 2018.
  9. Hindhaugh, Aaron (23 March 2017). "Exclusive Q&A with Wigan Athletic's Geordie defender Dan Burn". Newcastle 360. สืบค้นเมื่อ 9 December 2019.
  10. "Youth continue preparations". Darlington F.C. 29 July 2009. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 31 August 2009. สืบค้นเมื่อ 31 August 2016.
  11. "Miller struggling for Hereford trip". Hereford United F.C. 31 October 2009. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 June 2010. สืบค้นเมื่อ 31 August 2016.
  12. "Torquay United 5–0 Darlington". BBC Sport. 12 December 2009. สืบค้นเมื่อ 12 December 2009.
  13. "Darlington 1–3 Torquay United". BBC Sport. 6 March 2010. สืบค้นเมื่อ 31 August 2016.
  14. "Darlington 3–1 Barrow". BBC Sport. 3 January 2011. สืบค้นเมื่อ 31 August 2016.
  15. Stoddart, Craig (20 January 2011). "Cooper impressed with Darlington defender". The Northern Echo. สืบค้นเมื่อ 9 December 2019.
  16. Stoddart, Craig (19 May 2011). "Chandler takes the Darlington honour". The Northern Echo. สืบค้นเมื่อ 9 December 2019.
  17. "Burn deal still has some way to go". The Northern Echo. 12 April 2011. สืบค้นเมื่อ 31 August 2016.
  18. Scott, Will (28 March 2011). "Mark Cooper sings praises of Burn". The Northern Echo. สืบค้นเมื่อ 9 December 2019.
  19. "Darlington boss Cooper tips Dan Burn for higher level". BBC Sport. 30 March 2011. สืบค้นเมื่อ 9 December 2019.
  20. "Fulham Sign Burn". Fulham F.C. 14 April 2011. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 October 2013. สืบค้นเมื่อ 15 April 2011.
  21. Walker, Martin (14 April 2011). "Burn agrees Fulham deal". Darlington F.C. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 March 2012. สืบค้นเมื่อ 31 August 2016.
  22. "Back to his Roots". Fulham F.C. 8 November 2011. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 31 August 2016. สืบค้นเมื่อ 31 August 2016.