พระยาดัษกรปลาศ (ทองอยู่ โรหิตเสถียร)
บทความนี้ไม่มีการอ้างอิงจากแหล่งที่มาใด |
พระยาดัษกรปลาศ (ทองอยู่ โรหิตเสถียร) หรือ พันเอกพระยาดัษกรปลาศ (ทองอยู่ โรหิตเสถียร) เป็นบุตรชายของพระยาพระกฤษณรักษ์ (บุญยัง โรหิตเสถียร) ข้าหลวงใหญ่ ณ หลวงพระบาง , ข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลนครสวรรค์ และ เป็นราชองครักษ์ประจำพระองค์ของรัชกาลที่ 5
เรียบเรียงจาก ประชุมพงษาวดารภาคที่ 11 เรื่อง พงษาวดารเมืองหลวงพระบาง ซึ่งได้มีการพิมพ์แจกในงานศพของพระยาดัษกรปลาศ (ทองอยู่ โรหิตเสถียร) ซึ่งมีการจัดพิมพ์ที่โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร กล่าวว่า นายพันเอก พระยาดัษกรปลาส (ทองอยู่ โรหิตเสถียร) ท ม.ต ช. ดุษฎีมาลา. เข็มราชการแผ่นดิน. ฯลฯ เป็นบุตรชายของ พระยาพระกฤษณรักษ์ (บุญยัง โรหิตเสถียร) เกิดในรัชสมัย รัชกาลที่ 3 เมื่อวันพฤหัสบดี เดือน 11 ขึ้น 10 ค่ำ ปีระกา จุลศักราช 1211 พ.ศ. 2392 แรกเริ่มได้เข้ารับราชการเมื่อปีมะแม พ.ศ. 2414 ซึ่งมีอายุ 22 ปี เป็นทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ในรัชกาลที่ 5 2 ปี จึงได้เป็นนายสิบโท 3 ปี แล้วจึงได้เป็นนายสิบเอกในกองร้อยที่ 6 อีก 4 ปี
เมื่อปีมะโรง พ.ศ. 2424 ในสมัยเมื่อเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสง-ชูโต) เป็น เจ้าหมื่นไวยวรนารถ ได้กราบบังคมทูลขอพระยาดัษกรปลาศไปเป็นนายร้อยโทในกรมทหารสมัครกองร้อยที่ 3 และเลื่อนยศขึ้นเป็นร้อยเอกในปีนั้น ก่อนจะรับราชการต่อมาจนได้พระราชทานสัญญาบัตรเป็นหลวงดัษกรปลาศ ในปีระกา พ.ศ. 2428 โปรดให้เจ้าพระยาสุรศักดิมนตรีแต่ยังเปนนายพันเอกเจ้าหมื่นไวยวรนารถในสมัยนั้นเป็นแม่ทัพคุมกองทหารไปปราบปรามพวกฮ่อ ซึ่งเข้ามาบุกรุกในอาณาเขตเมืองหลวงพระบาง เจ้าพระยาสุรศักดิมนตรีจึงให้พระยาดัษกรปลาศคุมทหาร 1 ยก ล่วงหน้านำไปทางเมืองงอย ในเขตรหัวพันทั้งหก ซึ่งฮ่อเข้ามาตั้งค่ายอยู่หลายแห่ง ซึ่งพระยาดัษกรปลาศยกขึ้นไปถึงค่ายฮ่อและเข้าตีค่ายก่อนทหารกองอื่น พวกฮ่อล้มตายแตกหนี พระยาดัษกรปลาศจึงตั้งมั่นอยู่ที่นั่น แต่งกองทหารตีค่ายฮ่อซึ่งเป็นค่ายน้อย ตั้งอยู่ที่อื่นๆในจังหวัดนั้นจนฮ่อแตกหนีไปหมด
ในเรื่องครอบครัวนั้นพระยาดัษกรปลาศมีพี่น้องรวม 9 คน คือ เจ้าจอมศิลา และ เจ้าจอมแปลก (ในรัชกาลที่ 4), นายไผ่, นายพันเอก พระยาดัษกรปลาศ, นายทองคำ , นายร้อยโท นาค , รองอำมาตย์โท ขุนพิทักษ์สาลี, ปุก (ภริยาหลวงสารยุทธสรสิทธิ์), นายสวน ซึ่งภายหลังพระยาดัษกรปลาศได้รับพระราชทานนามสกุล โรหิตเสถียร จากรัชกาลที่ 6 ทำให้ทุกคนในครอบครัวเริ่มต้นใช้นามสกุล
เครื่องราชอิสริยาภรณ์[แก้]
- พ.ศ. 2435 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นที่ 2 ทวีติยาภรณ์มงกุฎไทย (ท.ม.)[1]
- พ.ศ. 2430 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นที่ 3 ตริตาภรณ์ช้างเผือก (ต.ช.)
- พ.ศ. 2441 – เหรียญปราบฮ่อ (ร.ป.ฮ.)[2]
- พ.ศ. 2439 – เหรียญดุษฎีมาลา เข็มราชการในพระองค์ (ร.ด.ม.(พ))[3]
- พ.ศ. 2438 – เหรียญจักรมาลา (ร.จ.ม.)[4]
- พ.ศ. 2436 – เหรียญรัชฎาภิเศกมาลา (ร.ศ.)
- พ.ศ. 2440 – เหรียญประพาสมาลา (ร.ป.ม.)
- พ.ศ. 2440 – เหรียญราชินี (ส.ผ.)
- พ.ศ. 2446 – เหรียญทวีธาภิเศก (ท.ศ.)
- พ.ศ. 2450 – เหรียญรัชมงคล (ร.ร.ม.)
- พ.ศ. 2451 – เหรียญรัชมังคลาภิเศก รัชกาลที่ 5 (ร.ม.ศ.5)
- พ.ศ. 2454 – เหรียญบรมราชาภิเษก รัชกาลที่ 6 (ร.ร.ศ.6)
อ้างอิง[แก้]
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เก็บถาวร 2016-03-04 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, เล่ม ๙ ตอนที่ ๓๘ หน้า ๓๑๖, ๑๘ ธันวาคม ๑๑๑
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานเหรียญปราบฮ่อ, เล่ม ๑๕ ตอนที่ ๒๖ หน้า ๒๘๒, ๒๕ กันยายน ๑๑๗
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์, เล่ม ๑๓ ตอนที่ ๔๖ หน้า ๕๕๒, ๑๔ กุมภาพันธ์ ๑๑๕
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรการโรงเรียนทหาร พระราชทานเหรียญจักรมาลาแก่นายทหารที่ได้รับราชการครบ ๑๕ ปี แลพระราชทานรางวัลแก่นักเรียนนายร้อยที่สอบไล่ได้, เล่ม ๑๒ ตอนที่ ๓๕ หน้า ๓๑๘, ๑ ธันวาคม ๑๑๔