ด้านมืดของพลัง

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ใช่, ความแข็งแกร่งของเจไดมาจากพลัง แต่จงระวังด้านมืดเอาไว้ โกรธ, กลัว, เกรี้ยวกราด ด้านมืดของพลังคือพวกมัน ง่ายกว่าที่จะเข้าร่วมขณะเจ้าต่อสู้ เมื่อใดที่เจ้าจมดิ่งสู่ด้านมืด, มันจะครอบงำชะตากรรมของเจ้าตลอดไป กลืนกินเจ้า, มันจะทำ…เหมือนอย่างที่มันทำกับศิษย์ของโอบีวัน

— โยดาพูดกับลุค สกายวอล์คเกอร์, สตาร์ วอร์ส เอพพิโซด 5 : จักรวรรดิโต้กลับ
ผู้ที่ใช้ด้านมืดของพลัง: ดาร์ธ ซีเดียส, ดาร์ธ เวเดอร์และเจเรค

ด้านมืดของพลัง, ถูกเรียกว่าโบกันโดยเจไดโบราณ, เป็นเครื่องมือหลักของซิธลอร์ด, และเป็นด้านที่มีพลังทำลายมากกว่าในด้านอื่นของพลัง ต่างกับด้านสว่างของพลัง, ผู้ใช้ด้านมืดมีพลังจากอารมณ์, ทั้งด้านบวกและลบ; พลังมาจากความแข็งแกร่งและรุนแรง ในขณะที่ด้านสว่างนั้นเกี่ยวข้องกับการสร้างและชีวิต, ด้านมืดนั้นเกี่ยวข้องกับความตายและการทำลาย ผู้ใช้พลังที่ซึ่งเดินบนทางของด้านมืดจะถูกเรียกว่าผู้อยู่ด้านมืด

ประวัติศาสตร์[แก้]

ชาวราคาทานกับการสร้างสตาร์ ฟอร์จ

"เจไดที่ถูกฝึกโดยแสงสว่างจะตกลงสู่ด้านมืดได้อย่างไร?"
"มันเกิดขึ้นมากกว่าหนึ่งครั้ง โชคดีที่มันไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก อุลลิคลูกข้า ขอให้มันไม่เกิดขึ้นกับเจ้า

— อุลลิค เคลโดรม่าและอาร์คา เจธ

ด้านมืดเป็นหนทางของพลังและเหมือนกับด้านสว่าง มันเกิดขึ้นก่อนสิ่งมีชีวิตใดๆ เมื่อมีคนค้นพบมัน มันเต็มไปด้วยปริศนา แต่ผู้ที่รู้กันว่าเป็นพวกแรกที่ใช้มันก็คือจักรวรรดิราคาทานเมื่อ 49,000 ปีก่อนยุทธการยาวิน พวกเขาพบและใช้พลังของมันเพื่อครอบครองกาแลกซี่ เปลี่ยนสภาพแวดล้อมไปในทางที่พวกเขาเห็นสมควร ท้ายสุด จักรวรรดิก็ล้มสลายเมื่อประมาณ 25,000 ปีก่อนยุทธการยาวิน คาดกันว่าเป็นเพราะการที่พวกเขานำด้านมืดมาใช้ พวกเขาสูญเสียความสามารถในการใช้พลังพอๆ กับการใช้เครื่องจักรพลังของพวกเขาอย่างเตาหลอมดาว เตาหลอมดาวเป็นสุดยอดอาวุธและโรงงานที่สามารถสร้างอะไรก็ได้ที่อยู่ใกล้ๆ โดยการใช้พลังจากดาวและด้านมืด ในสงครามกลางเมืองเจได เรแวนและมาลัคพบเตาหลอมดาวและใช้มันเพื่อสร้างกองยานขนาดใหญ่สำหรับจักรวรรดิซิธของพวกเขา ต่อมามีการดัดแปลงเทคโนโลยีนี้ให้สร้างอย่างอื่น เช่น ไฮเปอร์ไดรฟ์

การค้นพบด้านมืดของเจได[แก้]

กลัวเป็นหนทางสู่ด้านมืด กลัวนำไปสู่โกรธ โกรธนำไปสู่ความเกลียดชัง ความเกลียดชังนำไปสู่ทุกข์

— โยดาพูดกับอนาคิน สกายวอล์คเกอร์, สตาร์ วอร์ส เอพพิโซด 1 : ภัยซ่อนเร้น

เมื่อ 24,000 ปีก่อนยุทธการยาวิน ได้มีเจไดกลุ่มหนึ่งแยกออกจากนิกายเจได เรียกตนเองว่ากลุ่มเลททอว์ นำโดยเซนดอร์ อัศวินเจไดและเจไดมืดคนแรก กลุ่มเลททอว์มีชื่อเสียงเรื่องการพัฒนารูปแบบไนแมน/จาร์ไค เน้นไปที่อารมณ์มากกว่าการใช้สมาธิในการต่อสู้เพื่อเป็นแหล่งพลัง นิกายเจไดเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่อันตรายที่เจไดไม่ควรทำในขณะทำภารกิจของพวกเขา ความขัดแย้งนี้นำไปสู่การแตกแยกครั้งใหญ่ ซึ่งแบ่งเจไดออกจากเจไดมืด ในช่วง 7,000 ปีก่อนยุทธการยาวิน ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง ในช่วงร้อยปีแห่งความมืดมน ผู้สืบต่อจากเจไดมืดผู้ซึ่งถูกขับไล่จากนิกายเจไดได้กลายมาเป็นซิธ

เซนดอร์ เจไดมืดคนแรก

ตลอดประวัติศาสตร์ของกาแลกติก ผู้ที่ทรงพลังในด้านมืดที่สุดก็คือซิธ ด้วยความสามารถที่มากมายเกินกว่าที่เจไดทำได้ เจไดปฏิเสธด้านมืดและทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับมัน เชื่อว่ามันนำไปสู่หายนะและความวุ่นวาย ซิธยึดมั่นในด้านมืด ใช้มันเพื่อหลอกลวง, ควบคุม, และทำลาย การแสดงตนของด้านมืดดูเหมือนเป็นสิ่งที่ดึงดูดและทำให้เสื่อม เป็นศาสตร์ด้านพลังอย่างหนึ่งแต่ไม่มีผู้ตาม ดูเหมือนจะหายไปในไม่กี่พันปี

จักรวรรดิซิธ[แก้]

จักรวรรดิซิธจะมอดไหม้เหมือนซุปเปอร์โนว่า กำจัดสาธารณรัฐ เราจะมีทั้งกาแลกซี่ในกำมือ

— นาก้า ชาโดว์

เผ่าพันธุ์ซิธถูกปราบและผู้ครอบครองพวกมันก็นำชื่อไปใช้สร้างจักรวรรดิซิธ จักรวรรดิใหม่นี้ มันใหญ่โตแต่ก็กระจัดกระจายไปทั่วกาแลกซี่จนกระทั่งมหาสงครามไฮเปอร์สเปซ มันคงอยู่หลายศตวรรษจนถึงสงครามซิธเก่า เมื่อพวกเขาถูกทำลาย จักรวรรดิซิธต่อๆ มามากมายสร้างขึ้นในไม่กี่พันปีต่อมา แต่ก็พ่ายแพ้ในสงคราม ทำให้เจไดเชื่อซิธได้หมดสิ้นไปแล้ว แต่ต่อมาก็ได้รู้ว่าซิธได้ใช้ชีวิตแบบลึกลับมากขึ้น

ผลของจักรวรรดิซิธสามารถพบในคอริบานและซิออซ ที่ซึ่งเติมเต็มด้วยพลังงานจากด้านมืดของพลัง สัตว์อย่างเทเรนทาเทค ถูกทำให้เปลี่ยนรูปร่างโดยด้านมืด ท่องเที่ยวไปตามถ้ำและอุโมงค์เพื่อหาแหล่งพลังที่มาจากข้างใน รวมทั้งยังมีหุบเขาแห่งลอร์ดมืด สุสานที่สะท้อนให้เห็นถึงด้านมืดที่ออกมาจากอุโมงค์และถ้ำมากมายซึ่งครั้งหนึ่งมีวัตถุของซิธอยู่ ที่นั่นซิธจะปรากฏตัวเป็นวิญญาณพลัง อย่าง อาจุนทา พอล สิงสถิตในสุสานของเขาในรูปแบบวิญญาณจนกระทั่งเขาไปสู่สุขคติเมื่อดาบของเขาได้ไปอยู่ในที่ใหม่

กฎแห่งสอง[แก้]

จงจำเอาไว้: ลำพังเพียงพลังอำนาจก็ไม่พอ ความอดทน ไหวพริบ ความลับ คือเครื่องมือที่เราจะใช้เพื่อเอาชนะเจได ตอนนี้ซิธจะมีเพียงสองเท่านั้น—หนึ่งอาจารย์และหนึ่งศิษย์ ไม่มีมากกว่านี้

— ดาร์ธ เบนพูดกับซานนาร์

ในช่วง 990 ก่อนยุทธการยาวิน ซิธลอร์ดนามว่าดาร์ธ เบนได้ค้นพบโฮโลครอนของซิธที่ทำโดยดาร์ธ เรแวน ลอร์ดมืดที่ตายไปนานและผู้สร้างจักรวรรดิซิธที่สอง จากสิ่งที่มันบรรจุไว้ เขาเชื่อว่าซิธไม่สามารถร่วมกับพันธมิตรใดๆ ได้และได้สร้างกฎแห่งสองขึ้น ทำให้มีลอร์ดมืดพร้อมกันทีเดียวสองคน เขาเลิกการที่มีซิธลอร์ดมากเกินไปในเวลาเดียวและมุ่งเน้นไปที่บุคคลเพียงสองคน: อาจารย์และศิษย์ หากลูกศิษย์มีความแข็งแกร่งกว่าอาจารย์ก็จะต้องสังหารอาจารย์ของตนเสียแล้วตั้งตนเป็นอาจารย์และหาลูกศิษย์ที่แข็งแกร่งกว่าต่อไปอย่างเรื่อยๆ แต่หากลูกศิษย์อ่อนแอไร้ความสามารถก็จะต้องสอนต่อไปหรือไม่ก็ต้องสังหารเสียทิ้งเพื่อหาลูกศิษย์คนใหม่ที่มีความแข็งแกร่งกว่าตนให้ได้

ซิธชำระแค้น[แก้]

ซิธสูญหายไปเป็นพันๆ ปีแล้ว

— คิ อดิ มันดิ, สตาร์ วอร์ส เอพพิโซด 1 : ภัยซ่อนเร้น

หลายพันปีก่อนที่จักรวรรดิกาแลกติกจะถือกำเนิด ซิธได้หายไปจากกาแลกซี่จนกระทั่งเกิดการรุกรานนาบู เมื่อศิษย์ซิธนามว่าดาร์ธ มอลได้สังหารอาจารย์เจไดไควกอน จิน ด้วยระยะห่างของอาจารย์ของดาร์ธ มอล ดาร์ธ ซีเดียส ทำให้เขาอยู่ในตำแหน่งที่ปลอดภัย ด้วยวิธีนั้เขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนสาธารณรัฐให้กลายเป็นจักรวรรดิกาแลกติก ด้วยข้อได้เปรียบนี้ เจไดจึงต้องเล่นไปตามสงครามที่ซิธก่อขึ้นและเพียง 13 ปี ซิธก็ครองกาแลกซี่อีกครั้ง

การกลับมาของเจได[แก้]

ลูกชายของสกายวอล์คเกอร์จะต้องไม่กลายเป็นเจได

— ดาร์ธ ซีเดียส, สตาร์ วอร์ส เอพพิโซด 5 : จักรวรรดิโต้กลับ

ซิธได้กลับมาครอบครองกาแลกซี่อีกครั้งได้ 25 ปีและแน่ใจว่าด้านมืดได้ชนะแล้ว อย่างไรก็ตาม เจไดที่รอดชีวิตได้ฝึกเจไดคนหนึ่งเพื่อทำลายซิธที่ปกครองจักรวรรดิ ภายใน 6-10 ปี การปกครองของซิธก็สิ้นสุดลงและนิกายก็ถูกทำลาย อย่างไรก็ดี ศิษย์ซิธหลายคนหลบหนีไปได้เพื่อให้นิกายยังคงอยู่รอดต่อไป

กฎแห่งหนึ่งเดียว[แก้]

ดาร์ธ ไครต์และลูกมือของเขา ดาร์ธ ทาลอน

แทนที่จะมีถึงสอง ตอนนี้มีเพียงหนึ่งแล้ว—คือตัวนิกายซิธเอง ข้าได้สร้างซิธขึ้นมาอีกครั้ง ลอร์ดเบน เช่นเดียวกับที่ท่านทำ ข้าได้ให้เจตนารมณ์แก่มัน ทำไมจะใช้พลังโดยปราศจากอีกคนไม่ได้กันเล่า?

— ดาร์ธ ไครต์พูดกับโฮโลครอนของดาร์ธ เบน

ประมาณ 30 ปีหลังยุทธการยาวิน ดาร์ธ ไครต์ได้สถาปนาตนเองขึ้นเป็นลอร์ดมืดแห่งซิธและเริ่มสร้างนิกายซิธใหม่บนคอริบาน หลายปีต่อมา จากบทสรุปของสงครามจักรวรรดิของซิธเมื่อ 130 ปีหลังยุทธการยาวิน นิกายของไครต์ได้ผงาดถึงจุดสูงสุด แทนที่นิกายของดาร์ธ เบนและผู้ที่ดำเนินรอยตาม ไม่เหมือนกับนิกายของเบน ซิธใหม่นี้ปฏิบัติภายใต้กฎแห่งหนึ่งเดียว คนๆ เดียวคือซิธทั้งนิกาย ไครต์ทรยศต่อพันธมิตรของเขา จักรพรรดิโรอัน เฟล ผู้ที่ได้ช่วยทำลายพันธมิตรกาแลกติกและกลายเป็นจักรพรรดิคนใหม่ อีกครั้งที่ลอร์ดมืดแห่งซิธได้ครองกาแลกซี่ อย่างที่ดาร์ธ ซีเดียสทำไว้เมื่อ 150 ปีก่อน การเกิดของจักรพรรดิซิธคนใหม่นี้เปรียบได้กับว่านิกายซิธใหม่นี้ได้ทำลายนิกายเจไดใหม่ทั้งหมด ผู้ที่รอดก็กระจัดกระจายไปทั่งกาแลกซี่ แม้ว่าเจไดจะมีการต่อต้าน แต่จักรพรรดิไครต์ก็ยังมีอำนาจอยู่ในช่วง 137 ปีหลังยุทธการยาวิน

ธรรมชาติของด้านมืด[แก้]

โดยรวม[แก้]

"ทำไมเจ้าถึงเลือกมาเป็นศิษย์ของข้า? ทำไมเจ้าเลือกที่จะเดินทางบนความมืด?"
"เพื่อพลังอำนาจ"

— ดาร์ธ เบนพูดกับซานนาร์

ด้านมืดของพลังถูกวางบนความรู้สึกอย่าง ความกลัว, ความเกลียดชัง, ความละโมบ, ความต้องการ, และความโกรธ ด้วยเหตุนี้บ้างครั้งมีความเชื่อที่ว่าด้านสว่างนั้นคือการนิ่งเฉย, ดังการไตร่ตรองและการกระทำที่ระมัดระวัง, ผู้ที่ตามด้านมืดมักทำอะไรที่รวดเร็วและประมาทในเรื่องอารมณ์และแรงกระตุ้น

บางครั้งด้านมืดถูกใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัว, แม้ว่าผู้อยู่ด้านมืดหลายคนที่ซึ่งทำบางอย่างเพื่อพิสูจน์ตนเอง, ซึ่งกลายเป็นความโง่เขลา ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคืออนาคินสกายวอล์คเกอร์, ผู้ซึ่งคล้าเอาด้านมืดเอาไว้ด้วยความมุ่งมั่นที่จะช่วยภรรยาของเขา, เมื่อสละออกจากนิกายเจได หลายคนพบว่าด้านมืดนั้นช่างดึงดูด, ไม่สามารถที่จะต้านทานความเย้ายวนของมันได้ ผู้ใช้ด้านมืดจะยิ่งทรงพลังขึ้นเมื่อร่างกายของพวกเขาเริ่มเน่าเปื่อยอย่างช้า อย่างไรก็ตาม, ผู้ใช้ด้านมืดอย่างมาร่า เจดได้กล่าวว่าการใช้ด้านมืดของพลังนั้นต้องรู้กจักปฏิบัติ, เมื่อพลังที่มันเพิ่มพูนเริ่มมีประสิทธิภาพมากขึ้นในการทำลายเหมือนกับพลังจิต เหมือนกับด้านสว่าง, ด้านมืดนั้นมักมีการดัดแปลงเพื่อประโยชน์ใช้สอยที่แตกต่างออกไป

มันได้ถูกตั้งทฤษฎีโดยบางคนว่าด้านมืดนั้นไม่มีอยู่จริงแต่เป็นแค่เพียงความคิดมุ่งร้ายของผู้ใช้เท่านั้น, ตั้งแต่ผู้ใช้ด้านมืดส่วนมากได้มีความมุ่งร้ายอยู่แล้วในศัตรูหรือเหยื่อของพวกเขาเพื่อที่ล่อลวงมาให้ดูดซับพลังและเข้าครอบงำ ทฤษฎีโพเทนเชี่ยมนี้มีคนไม่เชื่ออย่างแรงกล้าคืออาจารย์โยดา, ขณะที่ลุค สกายวอล์คเกอร์เริ่มเข้าใจมันหลังจากสงครามยูซาน วอง

หลักเกณฑ์ของซิธ[แก้]

ดาร์ธ ไครต์กำลังท่องกฎของซิธ
ความสงบนั้นหลอกลวง, มีเพียงกิเลสเท่านั้น
เมื่อผ่านพ้นกิเลส, ข้าได้พละกำลัง
เมื่อผ่านพละกำลัง, ข้าได้อำนาจ
เมื่อผ่านอำนาจ, ข้าได้ชัยชนะ
เมื่อผ่านชัยชนะ, พันธนาการข้าจะแตกสลาย
พลังจะปลดปล่อยข้า
—หลักเกณฑ์ของซิธ

ความหมายหลังหลักเกณฑ์ของซิธส่วนมากนั้นเห็นได้อย่างชัดเจน คำกล่าวของพวกเขานั้นสื่อถึงการใช้อารมณ์ที่รุนแรงซึ่งซิธสามารถนำมันมาเป็นพลังได้ พลังนี้ทำให้พวกเขามีพลังที่เป็นแม้กระทั่งรูปร่าง, อย่างการปกครองและความมั่งคั่ง ด้วยอิสรภาพของจากควบคุมอารมณ์ของพวกเขา, พลังอำนาจกับพลังและอำนาจที่ไม่สลายรวมตัวกัน, ท้ายสุดพวกเขาสามารถบรรลุจุดมุ่งหมายสูงสุดได้: "เมื่อผ่านชัยชนะ พัธนาการของข้าจะแตกสลาย พลังจะปลดปล่อยข้า" แสดงถึงภาพลักษณ์ของซิธลอร์ด, ซึ่งมีเสรีในทุกๆ ข้อจำกัด—เป็นผู้ที่บรรลุความแข็งแกร่ง, พลังอำนาจ, และชะตาที่สมบูรณ์แบบ

ความน่ากลัวแห่งด้านมืดของพลัง[แก้]

ไม่ต้องมาขู่ข้า เด็กหวาดกลัววิญญาณ—แต่ไม่กับเจได"
"อืม แต่เจไดนั้นหวาดกลัวด้านมืด…หรืออย่างน้อยก็ควรกลัว ความหลงใหลในด้านมืดของเจ้าจะนำเจ้าสู่ความตาย

— เอ็กซาร์ คุนพูดกับบฟรีดอน แนด

เจไดไม่ยอมรับจุดประสงค์ของด้านมืดของพลังซึ่งพวกเขาละทิ้งทุกสิ่งที่อาจเชื่อมโยงกับด้านมืด หลังจากการรวมตัวของรูซาน, มีคำสั่งมากมายที่บังคับให้เจไดคอยดูแลไม่ให้สมาชิกถูกความยั่วยวนโดยอิทธิพลของด้านมืด เจไดได้ต้องห้ามสมาชิกจากความรัก, ความสัมพันธ์กับครอบครัวของพวกเขา, และการกระทำใดๆ ก็ตามที่มีพื้นฐานมาจากความโกรธ ข้อจำกัดเหล่านี้มีเหตุผล; เจไดผู้ใดก็ตามที่มีความรักอย่างลึกซึ้งมีแนวโน้มที่จะใช้พลังไปในทางที่เห็นแก่ตัวเพื่อปกป้อง, ความร่ำรวย, หรือเพิ่มอำนาจให้แก่ตนเอง อนาคิน สกายวอล์คเกอร์นั้นได้เดินสู่ด้านมืดก็เนื่องมาจากพัลพาทีนรู้เรื่องการแต่งงานอย่างลับๆ ของเขากับแพดเม่ ทำให้พัลพาทีนสามารถเสนอทางที่เห็นแก่ตัวแก่อนาคินได้

ดาร์ธ เทรย่า, ดาร์ธ นิฮิลัส, และดาร์ธ ไซออน: ซิธผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสาม

สมาชิกที่มีอิสระมากกว่าในนิกายตัดสินที่จะออกห่างจากนิกายเมื่อกำจัดความรู้สึกส่วนตัวได้แล้ว เมื่อลุค สกายวอล์คเกอร์สร้างนิกายเจไดใหม่, เข้าเลิกใช้กฎที่มีข้อจำกัดหลายกฎ, รวมทั้งกฎห้ามการแต่งงานและการจำกัดอายุ สำคัญที่สุดคือเขาได้อนุญาตให้เจไดหน้าใหม่, โดยเฉพาะพาดาวันให้ยังคงรู้จักและไปมาหาสู่ครอบครัวของเขาได้ การตัดสินใจของสกายวอล์คเกอร์แสดงให้เห็นถึงการกลับมาของเจไดแบบเก่าก่อนที่จะถึงการรวมตัวของรูซาน, เมื่อเจไดสามารถแสดงความเป็นตัวตนออกมาได้เมื่อต้องต้องสู้กับด้านมืด

การเน่าเปื่อยแห่งด้านมืดของพลัง[แก้]

พลังจะเปลี่ยนเจ้า รูปร่างของเจ้า บางคนกลัวการเปลี่ยนแปลงนี้ คำสอนของเจไดเน้นไปที่การต่อสู้และควบคุมการเปลี่ยนแปลงนี้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงมีข้อจำกัด

หาทางสู่ด้านมืดนั้นเป็นการเสื่อมลงทั้งด้านกายและจิตใจ ยิ่งผู้ใช้จมลึกสู่ด้านมืดเท่าไหร่, ด้านร้ายของพลังก็จะยิ่งส่งผลต่อผู้ใช้มากเท่านั้น สิ่งที่เห็นได้ชัดก็คือการที่เม็ดสีในดวงตาเปลี่ยนเป็นสีซัลเฟอร์ ในกรณีที่รุนแรง, ร่างกายก็อาจกลายเป็นรอยด่างจนคล้ายซากศพ อย่างที่เห็นได้กับพัลพาทีนและดาร์ธ ไซออน อย่างไรก็ดี, มันเป็นไปได้ที่ผู้ใช้ด้านมืดที่ทรงพลังจะสามารถสับเปลี่ยนร่างที่แท้จริงกับร่างที่เน่าเปื่อยได้ แม้ว่ามันอาจเป็นเทคนิคในการใช้พลังก็ตาม


ในขณะเดียวกัน, การเน่าเปื่อยของพลังก็อาจมากเสียจนทำลายความสามารถของร่างกายได้ กษัตริย์ออมมินแห่งออนเดอรอนเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัด; เขาเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในการเป็นซิธผู้วิเศษมาเกือบตลอดชีวิตและท้ายสุดด้านมืดก็กัดกินเขาก็ทำให้ไม่สามารถเดินได้และต้องใช้เครื่องมือในการช่วยให้อยู่รอด รอยด่างพร้อยยังได้ยินได้จากเสียงของผู้ที่ใช้ด้านมืด บางครั้งก็ทำให้เสียงต่ำลง ในกรณีที่แย่ที่สุดก็เห็นจะเป็นของดาร์ธ นิฮิลัสผู้ที่ซึ่งไม่ใช่แค่ถูกครอบงำทั้งจิตใจโดยด้านมืด แต่ยังรวมทั้งร่างกายของเขาด้วย ทำให้เขากลายเป็นครึ่งเป็นครึ่งตาย ซิธลอร์ดผู้นี้ไม่สนใจในชีวิตทุกชีวิต แม้กระทั่งซิธก็ตาม เขาปรารถนาที่จะครอบครองทุกอย่างเพื่อเติมเต็มความกระหายในพลังของเขา

ซิธนักปราชญ์ไม่ต้องการเหตุผลและการเสียใจสำหรับการที่พลังด้านมืดนำไปสู่ความขัดแย้งและการทำลายล้างที่มันนำไปสู่; พวกเขาเชื่อว่าการใช้พลังด้านมืดมห้พลังแก่พวกเขาเพียงพอต่อการเอาสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาเชื่อว่ามันถูกต้อง ซิธส่วนใหญ่, อย่างอูธาร์ วีนน์และศิษย์ของเขายูธูร่า แบน, เชื่อว่าพวกเขาสามารถควบคุมด้านมืดได้, แต่ในตอนจบก็กลายเป็นด้านมืดที่ควบคุมพวกเขาแทน ลุค สกายวอล์คเกอร์ร่วมมือกับพัลพาทีนในช่วง 10 ปีหลังยุทธการยาวินเพื่อเข้าใจอย่างถ่องแท้ในด้านมืดของพลัง แต่ไม่เหมือนกับเจไดคนอื่นๆ ก่อนหน้าเขาที่พยายามในสิ่งเดียวกัน เขาสามารถรักษาตัวได้อย่างสมบูรณ์

เสน่ห์แห่งด้านมืดของพลัง[แก้]

เพียงลำพังไม่สามารถหลีกหนีความมืดได้ นอกเสียจากว่าเขาจะรู้ว่ามันอยู่ตรงไหนและอะไรที่นำไปสู่มัน

— ทอลาริส ชิม

ซิธเรื่องมันว่าสิ่งที่ทำให้รู้แจ้ง แต่ไม่มีการบันทึกใดแสดงอย่างชัดเจนว่าด้านมืดปรากฏตัวอย่างไร ด้านมืดนั้นยั่วยวนอย่างมากและแทบจะปฏิเสธไม่ได้ เมื่อใดก็ตามที่ผู้นั้นถูกเรียกหาโดยด้านมืดของพลัง พวกเขาก็จะยิ่งหลงใหลในด้านมืดมากขึ้นๆ การเน่าเปื่อยของด้านมืดก็อาจส่งอิทธิพลได้ในตอนนั้น พร้อมไปกับการเน่าเปื่อยด้านร่างกาย, จิตใจของผู้อยู่ด้านมืดส่วนใหญ่สนใจแต่การครอบครองกาแลกติกด้วยอำนาจและจะทำสิ่งที่ร้ายกาจเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน

อย่างไรก็ตาม, ผู้ใช้ด้านมืดบางคนไม่ได้แสดงอาการทั้งหมดของพวกเขา ดาร์ธ เคดัส, ดาร์ธ เรแวน, และดาร์ธ เทรย่าดูเหมือนไม่ได้ถูกควบคุมโดยด้านมืดของพลัง ไม่ว่าอะไรก็ตามที่เปลี่ยนแปลงพวกเขาผ่านไปโดยเห็นได้จากการที่พวกเขารอดมาได้

บ่อยครั้งที่เจไดจมลงสู่การเน่าเปื่อยแห่งด้านมืดของพลัง เอกซาร์ คุน, ดาร์ธ มาลัก, เคาท์ดูกู, อนาคิน สกายวอล์คเกอร์, จาเซน โซโล, และเอทริสเป็นที่รู้กันดีว่าถูกครอบงำโดยด้านมืดของพลังและเป็นพันธมิตรกับซิธแม้ว่าหรืออาจเป็นเพราะพวกเขาฝึกแบบอัศวินเจได การผสมที่ไม่เข้ากันนี้สำหรับบางการเปลี่ยนแปลงเป็นการค้นพบของซิธโฮโลครอน, สิ่งที่บรรจุทุกอย่างที่เป็นความลับเกี่ยวกับซิธ

สี่ขั้นตอนสู่ด้านมืด[แก้]

แม้แต่กับอาจารย์เจไดที่มีประสบการณ์ที่สุด ก็ยังคงใส่ใจในด้านมืดของพลัง

— ทอลาริส ชิม

สี่ขั้นตอนสู่ด้านมืดเป็นทฎษฎีที่ตังขึ้นโดยอาจารย์ทอลาริส ชิมซึ่งเป็นความเชื่อของเธอในการเข้าสู่ด้านมืด ตั้งบนเหตุการจมดิ่งของอุลลิค เคลโดรม่า อาจารย์ชิมได้เรียนรู้จากประวัติศาสตร์ถึงเหตุผลที่เจไดร่วงลงสู่ด้านมืด ในช่วงมหาสงครามซิธ อาจารย์ชิมได้แสดงถึงการตามหาการเข้ารวมของเจได การค้นหานี้ได้ยำพาเธอไปพบกับสัญลักษณ์ผู้ที่ถูกกลืนกินโดยด้านมืด

ขั้นที่ 1 : การล่อใจ[แก้]

"ช่วยตัวเจ้าเอง! ใช้พลังที่เจ้าได้รับมา!"
"ไม่มีทาง"!

— ลอร์ดมืดฟรีดอน แนดด์ชักชวนใจเอกซาร์ คุน
เอกซาร์ คุนกำลังถูกชักจูงโดยฟรีดอน แนดด์.

ชิมเชื่อว่าเป็นเพราะเจไดมองเห็นหนทางมากมายในการใช้พลัง สถานการณ์ที่ทำให้เจไดเริ่มอยากใช้มันเพื่อประโยชน์ส่วนตน เพื่อช่วยสหาย, เผชิญกับอันตรายซึ่งๆ หน้า, และการทะเลาะ ทั้งหมดนี้จะนำไปสู่ด้านมืด ด้วยการกระทำของตัวบุคคล

อัศวินอย่างเอกซาร์ คุนไม่ค่อยสนเรื่องเกียรติยศนัก เขาสนใจในเรื่องเล่าของด้านมืดที่เล่าโดยอาจารย์วูดู ไซออสค์ บาส คุนถูกชักชวนอย่างง่ายดายโดยพลังที่เขาไม่เคยรู้—พลังที่ซึ่งเขาต้องการ พลังนี้เป็นด้านมืดและมันไม่ลังเลที่จะเข้าครอบงำเจไดหนุ่ม

ขั้นที่ 2: ตกอยู่ในอันตราย[แก้]

เหมือนเจ้า เขาเชื่อว่าด้านมืดสามารถถูกครอบครองได้จากภายใน ด้านมืดต่างหากที่ครอบครองเขา…และความโกรธกลายมาเป็นหนทางของเขา!

— โอแดน อูร์เตือนอุลลิค เคลโดรม่า

ตามที่อาจารย์ชิมกล่าว เดที่ลังเลใจอาจก่อหายนะแก่ตนเองได้ รวมทั้งเจไดที่คิดว่าการใช้"ทางลัด"สู่ด้านมืดจะทำให้พวกเขากลับมาสู่แสงสว่างได้นั้น ก็เป็นแค่การหลอกลวง ชิมรู้สึกว่าเจไดจะไม่มืดบอดหากทำในสิ่งที่ตนเองคิดว่าถูก โดยความจำเป็น เธอยังเชื่ออีกด้วยว่าหากผู้ใดยอมรับด้านมืดโดยที่เขาถูกห้อมล้อมด้วยสิ่งที่เชื่อว่ามันเป็นเพียงพลัง การผ่านขั้นต่อไปก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเลย อัศวินเจไดอนาคิน สกายวอล์คเกอร์ถูกขัดแย้งโดยวิธีนี้ เพื่อช่วยชีวิตภรรยาของเขาจากความตาย สกายวอล์คเกอร์เชื่อว่าพลังแห่งด้านมืดสามารถทำเรื่องนั้นได้ โดยที่จะไม่ถูกมันครอบงำ เพราะว่าเขายอมรับว่าพลังด้านมืดในครั้งนี้นำมาใช้ในทางที่ดี เขาเลยถูกมันครอบงำ เช่นเดียวกับเอกซาร์ คุนและอุลลิค เคลโดรม่า ท้ายสุดเขาก็ตกอยู่ในการล่อลวงของด้านมืด

ขั้นที่ 3: การยอมจำนน[แก้]
ดาร์ธ เวเดอร์ได้ถือกำเนิด

"ตัวข้าขอเต็มใจน้อมรับต่อคำสอนของท่าน"
"ดี…ดี พลังแกร่งกล้าถ้ามี เจ้าจะกลายเป็นซิธที่ทรงพลัง จากนี้ไปเจ้าจะมีนามว่า…ดาร์ธ…เวเดอร์

— ดาร์ธ ซีเดียสแต่งตั้งให้อนาคิน สกายวอล์คเกอร์เป็นดาร์ธ เวเดอร์, สตาร์ วอร์ส เอพพิโซด 3 : ซิธชำระแค้น

อาจารย์ชิมเชื่อว่าเมื่อเจไดยอมรับในทางแห่งความืด จะตัดสินจุดจบด้วยการเลิกสนใจในสิ่งต่างๆ สถานการณ์เหมือนพยายามที่จะทำลายซิธผ่านการแทรกซึมหรือพยายามรักษาคนรักจากความตายเป็นเหตุผลที่เจไดมากมายใช้เพื่อบอกในสิ่งที่พวกเขาทำลงไป ในจุดนี้ การเข้าสู่ด้านมืดของเขาใกล้สมบูรณ์

เจไดที่ออกนอกทางแห่งแสงสว่างจะเริ่มระวังในการตัดสินใจที่ไม่เที่ยงของพวกเขา ตามที่อาจารย์ชิมกล่าว เจไดเหล่านี้ยังไม่สายเกินไปในการพ้นจากด้านมืด อาจารย์เจไดเอทริส ได้ถูกครอบงำโดยด้านมืดที่มากจากอิทธิพลของโฮโลครอนของซิธที่เธอครอบครอง ได้กลับสู่แสงสว่างด้วยการเผชิญหน้ากับเจไดผู้ถูกเนรเทศ เจไดบางคนอย่างเอกซาร์ คุนได้พบพลังแห่งด้านมืดนั้นทำให้มัวเมาและยอมจำนนต่อมัน ตามหลักของอาจารย์ชิม สภาพแบบนี้ไม่ใช่เจไดแบบปกติอีกต่อไปแต่เป็นการถูกแยกตัวตน นี่เป็นเหตุผลของการที่เจไดจะช่วยให้พวกเขากลับมาสู่แสงสว่างหรือกำจัดพวกเขาเสีย

ขั้นที่ 4: การชดเชยและไถ่บาป[แก้]

ลอร์ดมืด เรแวนได้ตายไปแล้ว ตอนนี้ข้าเป็นผู้รับใช้แสงสว่าง

— เรแวน, Star Wars: Knights of the Old Republic

ทอลาริสเชื่อว่าเจไดที่เปื้อนมลทินเล็กน้อยจากด้านมืดสามารถชดเชยได้ด้วยการนั่งสมาธิ, การสะท้อนกลับ, และการล้างบาป เธอยังเชื่อว่าเจไดมืดนั้นอยู่นอกเหนือการชดเชยและสมควรได้รับการไถ่บาป ตามที่อาจารย์ชิมกล่าว เจไดที่ไถ่บาปแล้วนั้นจะต้องผ่านการเสียสละโดนปราศจากการใช้พลังด้านมืด อย่างการช่วยชีวิตของผู้อื่นโดยไม่นึกถึงตัวเอง (อย่างที่ดาร์ธ เวเดอร์ช่วยชีวิตลูกชายของเขาไว้จากน้ำมือของจักรพรรดิพัลพาทีน) หรือช่วยคนที่ทำผิดให้กลายเป็นถูก (อย่างที่อุลลิค เคลโดรม่าเอาชนะเอกซาร์ คุน) แต่บางครั้งเจไดมืดบางคนก็เกินที่จะเยี่ยวยา บ้างก็ปฏิเสธที่จะได้รับการฟื้นฟู อาจารย์ชิมได้กล่าวเอาไว้

"เจไดมืดที่ไม่ต้องการจะละมือจากพลังของด้านมืดนั้น ไม่สามารถได้รับการล้างบาป"

เรื่องราวเพิ่มเติม[แก้]

นอกเหนือจากความคิดเห็นของอาจารย์ทอลาริส ชิมแล้ว ทิออนเน โซลุซาร์สนใจว่าทอลาริสจะคิดยังไงกับเจไดในยุคปัจจุบัน เจไดที่ถูกครอบงำ, ฟื้นฟู, และไถ่บาปโดยสหาย ทิออนเนค้นหาความคล้ายคลึงกันในด้านมืดของอนาคิน สกายวอล์คเกอร์, ลุค สกายวอล์คเกอร์, และไคป ดูรอน แต่ทอลาริสได้สรุปไว้ในโฮโลครอนเอาไว้แล้ว:

"เจไดผู้ใดก็ตามที่สังหารผู้บริสุทธิ์ขณะถูกด้านมืดครอบงำไม่สามารถไถ่บาป เธอได้แค่เพียงชดเชยหรือพยายามชดเชยเท่านั้น"

อาจารย์โซลุซาร์ไปไกลขึ้นเพื่อจะกล่าวได้ว่า ขณะที่ผู้อื่นกระลงไปในสิ่งที่ไม่สามารถให้อภัยได้ ข้อแม้ในการไถ่บาปนั้นก็ขึ้นอยู่กับการมองของผู้ไถ่บาปเอง

วิชาแปรธาตุของซิธ[แก้]

เอกซาร์ คุนใช้วิชาแปรธาตุสร้างอสุรกายบนยาวิน 4

ตัวอย่างอื่นๆ ของการนำไปในทางเสื่อมของด้านมืดก็คือพวกแมซซาสซิ ผู้ที่ใช้วิชาแปรธาตุของซิธ นี่คือเหตุผลของการกลายพันธุ์ของกอร์คและพิค รวมทั้งการเกิดใหม่ของดาร์ธ มอลโดยกลุ่มเจไดมืด ตัวอย่างที่สำหรับวิชาแปรธาตุของซิธที่เห็นได้ชัดก็คือดาร์ธ ซีเดียส ซึ่งเขาใช้วิชาโบราณที่สามารถสับไปมาระหว่างร่างจริงกับร่างเทียมของเขาได้ อย่างไรก็ตาม การใช้ด้านมืดเพื่อเปลี่ยนวัตถุนั้นหาได้ยากมาก ส่วนมากแล้วจะใช้เพื่อเปลี่ยนอาวุธเสียมากกว่า ทำให้พวกมันแข็งแกร่งขึ้นหรือง่ายต่อการควบคุมมากขึ้น อาวุธที่อาบด้วยพลังจากวิชาแปรธาตุของซิธจะสามารถต่อกรได้แม้แต่กับกระบี่แสง

ความคล้ายคลึงกับเจได[แก้]

ในหัวใจของพวกเขา พวกเขาไม่เคยลืมเจได ความเกลียดชังเจไดเผาไหม้เส้นเลือดของพวกเขาดังไฟและสะท้อนการสอนของพวกเขา

— เครีย

บ้างก็ว่าซิธนั้นสะท้อนให้เห็นถึงเจได ตัวอย่างเช่น การมีความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์และพาดาวันของเจได ซิธก็นำไปใช้ในแบบที่ผิด ดังนั้นทั้งศิษย์และอาจารย์จะห่ำหั่นกันเองในตอนจบเพื่อทดสอบตน จักรวรรดิกาแลกติกก็ไม่มีการยกเว้น: หากไม่มีศัตรู (เจไดเป็นหลัก) ให้ลอร์ดมืดหรือเจไดมืดได้ต่อกร ผู้ใช้ด้านมืดก็ต้องทำลายกันเอง และหลายองค์กรที่สร้างขึ้นโดยซิธจะแย่งชิงอำนาจกันเอง นี่เป็นจริงโดยเฉพาะเมื่อซิธมีอำนาจสูงสุด อย่างไรก็ตาม ซิธและผู้อยู่ด้านมืดอื่นๆ อาจใช้ความอดทนและไหวพริบเพื่อบรรลุผล เหตุผลเบื้องหลังการกระทำนี้คือการสาธิตว่าใครแข็งแกร่งที่สุดและมีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นที่มีสิทธิในการปกครอง

ซิธบางคนไม่ใช้กระบี่แสง เช่นเดียวกับเจได ที่เชื่อว่าเขามีพลังมากเกินกว่าที่จะต้องใช้อาวุธ จักรพรรดิพัลพาทีนพบว่าสายฟ้าของซิธเท่านั้นก็เพียงพอต่อการต่อกรกับศัตรูที่ทรงพลังอย่างโยดา ซิธยังมีกฎที่ตรงข้ามกับเจได "ความสงบนั้นหลอกลวง, มีเพียงกิเลสเท่านั้น" ขณะที่กฎของเจไดคือ "ไม่มีการใช้อารมณ์, มีเพียงความสงบ"

โฮโลครอนของซิธเป็นอีกการสะท้อนให้นึกถึงเจได ซึ่งถูกเปลี่ยนจากเครื่องมือของการสอนมาเป็นวัตถุที่ทำให้เสื่อม คำสอนของซิธในโฮโลครอนหลายอย่างนั้นตรงกันข้ามกับเจได อย่างการใช้อารมณ์และโหยหาพลังอำนาจ ซึ่งแตกต่างจากคำสอนของเจไดโดยสิ้นเชิง

ความแตกต่างนี้ไม่ได้หยุดประชาชนของสาธารณรัฐให้คิดว่าซิธกับเจไดคืออย่างเดียวกัน เจไดมากมายถูกมองว่าหยิ่งยะโสเนื่องจากการใช้พลังของพวกเขา และการฝึกของเจไดนั้นต้อง"ขโมย"เด็กมาจากผู้ปกครองของพวกเขา ซึ่งในบางครั้งทำให้ผู้คนไม่พอใจ ในขณะเดียวกัน ซิธมากมายถูกมองว่าอุทิศความภักดีต่อนายของตน จำนวนประชากรกว่าครึ่งของกาแลกติกเห็นความแตกต่างที่น้อยนิดระหว่าง ความมืด กับ แสงสว่าง และพวกเขาก็ขาดความเชื่อใจในพลัง

โฮโลครอนของซิธ[แก้]

โฮโลครอนของซิธถูกค้นพบ

ด้านมืดจะเสนอพลังให้ เจ้าต้องกอบโกยมัน อยากได้มัน เจ้าต้องมองหาพลังเหนือสิ่งอื่น อย่าได้ลังเลใจ

— โฮโลครอนของดาร์ธ เบน

โฮโลครอนของซิธจะมีรูปทรงพีระมิดซึ่งจะรวบรวมทุกความรู้ของซิธเอาไว้ มันอาจมีทั้งแผนที่ดวงดาว, รายละเอียดของวัตถุ, ประวัติศาสตร์, หรือการสอนของด้านมืด โฮโลครอนอาจถูกเปิดได้โดยพลังโดยผู้ที่อยากจะเปิดมันได้เท่านั้น การเปิดเพียงเล็กน้อยจะสั่นสะเทือนพลัง ไม่เหมือนโฮโลครอนของเจได โฮโลครอนของซิธนั้นมีข้อมูลที่ไม่จำกัด; แม้แต่ผู้ที่นักบวชธรรมดาก็สามารถรับรู้ถึงความรู้ที่มืดมนที่สุดได้ ด้วยเหตุผลนี้ ซิธโฮโลครอนจึงเป็นสิ่งอันตรายสำหรับเจไดตั้งแต่มันสามารถให้ข้อมูลทุกอย่างได้ ซึ่งอาจนำไปสู่ด้านมืด เอกซาร์ คุนและดาร์ธ เบนสามารถขมขู่ทั้งกาแลกซี่ด้วยข้อมูลที่ได้จากโฮโลครอน และเจไดคนอื่นๆ อย่างเอทริสก็ถูกเปลี่ยนโดยมัน โฮโลครอน โฮโลครอนจะมีเสียงกระซิบจากบทสวดมนต์ และถูกเคลือบด้วยด้านมืดซึ่งสามารถครอบงำผู้ที่อยู่ใกล้ๆ ได้

โพเทนเชี่ยม[แก้]

เมื่อผู้หนึ่งไตร่ตรองในประวัติศาสตร์ของพลัง...ผู้นั้นจะรู้ว่ามุมมองของโพเทนเชี่ยมนั้นเห็นแก่ตัวสิ้นดี

— อัสลิ คริมซัน
ดาร์ธ รูน ผู้ตามโพเทนชี่ยม

ตามมุมมองของโพเทนเชี่ยม ซึ่งมองว่ามันไม่มีทั้งด้านมืดหรือด้านสว่างของพลังอยู่เลย แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พลังกลับมีเพียงด้านเดียว และมืดหรือสว่างนั้นมันก็มาจากผู้ที่ใช้มันมากกว่า ด้วยมุมมองนี้ พลังอำนาจหรือการกระทำใดก็ตามที่ดูเหมือนเป็นด้านมืดนั้นสามารถสรุปได้หรือมีเหตุผล ผู้ตามโพเทนเชี่ยมได้ตัดสินความหมายของมันเอง ด้วยความกลัวที่ว่าความคิดนี้จะนำเจไดไปสู่ด้านมืด โยดาเหล่าโพเทนเชี่ยมออกจากนิกายเจได จนกระทั่งจาเซน โซโลได้พบเข้าสู่ด้านมืดเนื่องจากเชื่อในโพเทนเชี่ยม 40 ปีหลังยุทธการยาวิน คล้ายคลึงกัน เจไดบางคนไม่เชื่อในด้านมืด ซึ่งจะนำพวกเขาไปสู่การเป็นเจไดมืดหรือซิธเอง ลุค สกายวอล์คเกอร์ ปรมาจารย์เจไดแห่งนิกายเจไดใหม่ ได้เปลี่ยนศาสตร์นี้หลังจากที่หลานของเขาจาเซน โซโลได้บอกเขาถึงการสอนของเวอร์เกอร์ในช่วงสงครามยูซาน วอง อย่างไรก็ตาม หลังจากใส่ใจในการกระทำของทั้งเขาและเจไดคนอื่นๆ สกายวอล์คเกอร์ได้ทิ้งมุมมองนี้อย่างเป็นทางการในช่วงสงครามสวาร์ม

ความแข็งแกร่งของด้านมืด[แก้]

กลัวดึงดูดสิ่งที่น่ากลัว…ความแข็งแกร่ง…ความอ่อนแอ…ความบริสุทธิ์…ความเสื่อม กลัวคือพันธมิตรของข้า

— ดาร์ธ มอล, สตาร์ วอร์ส เอพพิโซด 1 : ภัยซ่อนเร้น

เจไดมืดและโดยเฉพาะซิธสามารถพัฒนาความสามารถได้รวดเร็วกว่าเจได ด้านมืดนั้นง่ายกว่าที่จะเรียนรู้และใช้ แต่ก็หลอกลวงมากกว่า ขณะที่พลังอันแท้จริงอยู่ที่ด้านสว่าง อย่างไรก็ตาม ซิธลอร์ดบางคนเท่านั้นที่ทรงพลังกว่าเจได เอกซาร์ คุนนั้นไร้เทียมทานจนกระทั่งเขาเผชิญหน้ากับเจไดทั้งกองทัพ; พลังที่เหนือกว่าของดาร์ธ มาลัคเป็นก็ที่ยอมรับแม้แต่กับเจได (นั่นคือ แบสติล่า ชาน ผู้ซึ่งบอกว่าเธอและสหายเจไดไม่สามารถรับมือลอร์ดมืดผู้นี้ได้); เขาสามารถบีบเจไดไว้พร้อมกันถึงสองคนก่อนที่จะสังหารพวกเขา; ดาร์ธ นิฮิลัสทำลายเจไดทั้งสภา (พร้อมกับคนอื่นๆ บนคาทาร์) โดยใช้เพียงเสียงจาก'คำพูด'ของเขาเท่านั้น; เครีย (ดาร์ธ เทรย่า) เกือบจะฆ่าเจไดทั้งหมดในสภาบนแดนทูอิน ในช่วงที่สาธารณรัฐล่มสลาย ดาร์ธซีเดียสสังหารเจไดสามคนพร้อมกันก่อนที่จะเผชิญหน้ากับเมซ วินดู นอกเหนือจากนั้น การต่อสู้กับโยดา—เจ้าแห่งอาจารย์เจไดในตอนนั้น —ดูเหมือนว่าจะเสมอกัน จนกระทั่งโยดาถูกบังคับให้ต้องหนีไป อย่างไรก็ตาม ผู้อยู่ด้านมืดส่วนมาก ทั้งซิธและเจไดมืด ท้ายสุดก็มักจะพ่ายแพ้ต่อผู้ใช้แสงสว่างเสียส่วนใหญ่ มากไปกว่านั้น สามคนในที่กล่าวมานี้ (เอกซาร์ คุน, ดาร์ธ มาลัค, เครีย) มีพลังที่มากกว่าตอนที่เข้าสู่ด้านมืด

แบสติล่า ชานต่อสู้กับดาร์ธ เรแวน

มีหลายครั้งที่ผู้ใช้แสงสว่างเอาชนะผู้อยู่ด้านมืดที่ทรงพลังได้ ที่เด่นชัดที่สุดก็คือ: การต่อสู้ระหว่างลุค สกายวอล์คเกอร์กับดาร์ธ เวเดอร์บนดาวมรณะดวงที่สอง; การต่อสู้ระหว่างโอบีวัน เคโนบีกับดาร์ธ มอล; เรแวนเอาชนะมาลัคพร้อมกับทหารซิธเป็นโหล (มาลัดกล่าวเองว่าเรแวนนั้นทรงพลังในตอนเป็นเจไดมากกว่าตอนที่เป็นซิธ); เจไดผู้ถูกเนรเทศเอาชนะเครีย; ไคล์ คาทาร์นเอาชนะเจเรคแม้ว่าต่อมาต้องหลบหนีเพราะพลังที่ทะลักออกมาจากหุบเขาแห่งเจได; การต่อสู้ของอนาคิน สกายวอล์คเกอร์กับเคาท์ดูกู; และการต่อสู้ระหว่างลุค สกายวอล์คเกอร์กับดาร์ธ เคดัสบนยานพิฆาตดารา ในบางกรณีดังกล่าว ปัจจัยภายนอกก็มีส่วนในผลที่ออกมา เคาท์ดูกูพ่ายแพ้ต่อเจไดที่โด่งดังที่สุดในตอนนั้น ผู้ซึ่งถูกครอบงำโดยด้านมืดเรียบร้อย ดาร์ธ มอลก็ประมาทเกินไป และดาร์ธ เวเดอร์ก็ติดขัดตรงสถานะพ่อลูกกับลุค:

"ข้ารู้สึกถึงความขัดแย้งในความเกลียดของท่าน!"

มีจุดอ่อนจุดหนึ่งของด้านมืด ซึ่งทำให้เจไดถือไพ่เหนือกว่า คือความอลหม่านนั่นเอง ซิธลอร์ด แม้ว่าจะเหนือกว่าเจไดแบบตัวต่อตัว ก็ไม่สามารถทำลายศัตรูของพวกเขาได้อย่างสิ้นซาก เนื่องจากไม่ช้าพวกเขาก็จะต่อสู้กันเอง ซึ่งอีกคนที่ชนะก็จะได้พลังที่มากกว่าจากอีกคน และมองหาที่จะครอบครองทุกสิ่งรอบตัวของเขา กฎแห่งสอง ที่สร้างโดยดาร์ธ เบน ซึ่งทำให้มีซิธจริงๆ น้อยลงเพื่อเปลี่ยนจุดอ่อนนี้กลายเป็นข้อได้เปรียบ ซึ่งศิษย์จะเข้าแทนที่อาจารย์ได้ ปัญหาก็คือไม่มีการเตือนหรือบอกว่าหนึ่งในสองคนจะกลับสู่แสงสว่างได้ อย่างที่เวเดอร์ทำขณะฆ่าอาจารย์ของเขา และกลับสู่แสงสว่างก่อนที่เขาจะเสียชีวิต

จุดอ่อนสำคัญอีกอย่างคือภาพลวงตาที่ทำให้เกิดการเน้นพลังที่ไม่แน่นอนซึ่งเกิดจากอารมณ์อย่าง ทรนง, โกรธ, และกลัว ซึ่งทำให้พลังสูงขึ้นแต่ก็นำไปสู่การตัดสินที่มืดมน แม้ผู้อยู่ด้านมืดพ่ายแพ้หลายครั้งโดยคู่ต่อสู้ที่มีทักษะน้อยกว่า: โอบีวัน เคโนบีเอาชนะทั้งดาร์ธ มอลและดาร์ธ เวเดอร์ แม้ว่าจะมีทักษะการต่อสู้ที่น้อยกว่าในทั้งสองการต่อสู้ ดาร์ธ มาลัคก็พ่ายแพ้ต่อเรแวน แม้ว่าจะมีพลังมากกว่าจากเตาหลอมดาว ดาร์ธ ไทรานนัสทรนงในพลังของตนจะทำให้เขามืดบอดและเจอกับพลังอันแท้จริงของอนาคิน สกายวอล์คเกอร์ แม้ว่าดูเหมือนด้านมืดจะมีพลังจากสิ่งที่จำต้องได้: โดยตรงและเป็นกายภาพ ขณะที่ด้านสว่างสร้างพลังบางๆ มาจากการตั้งสมาธิและเข้าใจ ซึ่งผู้อยู่ด้านมืดมักล้มเหลวและประมาทเกินไปจนผิดพลาด

การตายของผู้ใช้ด้านมืด[แก้]

และเหมือนกับที่เกิดขึ้นกับจักรพรรดิบนดาวมรณะ พลังงานด้านมืดในตัวเขาก็ระเบิดออกมาเป็นเปลวไฟสีฟ้า

— ลุค สกายวอล์คเกอร์นึกถึงการตายของโจรัส คบอท
เถาของพลังงานมืดจากร่างของดาร์ธ นิฮิลัสค่อยๆ จางลง

ผู้ใช้ด้านมืดอย่างพัลพาทีนตอนตายเมื่อถูกโยนลงไปในปล่องของดาวมรณะดวงที่สอง ก็ระเบิดพลังงานมืดเป็นสีฟ้าออกมา 9 ปีหลังยุทธการยาวิน โจรัส คบอทก็ระเบิดออกเป็นสีฟ้าด้วยการแทงของมาร่า เจดด้วยกระบี่แสง เจไดมืดคนอื่น อย่างดาร์ธ นิฮิลัสและเจเรคไม่ระเบิดออก แต่ค่อยๆ หายไปเป็นพลังงานด้านมืด ไม่เหลือร่างเอาไว้เลย ไม่มีการอธิบายอย่างชัดเจนว่าทำไมขณะที่ผู้ใช้ด้านมืดคนอื่นๆ ตายแบบนี้ แต่เคาท์ดูกูกลับตายแบบธรรมดา

พลังของด้านมืด[แก้]

ด้านมืดของพลังเป็นหนทางไปสู่ความสามรถมากมายซึ่งบางคนเชื่อว่า…ผิดธรรมชาติ

— พัลพาทีนพูดกับอนาคิน สกายวอล์คเกอร์, สตาร์ วอร์ส เอพพิโซด 3 : ซิธชำระแค้น

ผู้ที่ใช้ด้านมืดนั้นจะพบความสามารถมากมายในการใช้พลังที่ง่ายกว่า ด้วยบางพลังที่มีเฉพาะในเจไดมืดเท่านั้น เจไดฝ่ายสว่างอาจใช้พลังด้านมืดบางพลัง แต่ส่วนใหญ่ไม่ใช้มัน เมื่อมันเกรี้ยวกราด, ทำลายล้าง, หรือเป็นสิ่งที่ดูประหลาด ลุค สกายวอล์คเกอร์ใช้พลังบีบคอในวังของแจ๊บบ้า ซึ่งเป็นพลังที่ห้ามใช้โดยเจได นอกเสียจากจะไร้อาวุธ พลังดังกล่าวเกี่ยวข้องกับรายชื่อพลังดังต่อไปนี้:

ไม่ใช่ว่าพลังด้านมืดนั้นจะเลวร้ายเสียหมด; ดาร์ธ เพลกัสมีความสามารถในการสร้างชีวิต ดาร์ธ ไซออน, ดาร์ธ เบนและดาร์ธ เวเดอร์ใช้พลังบ้าคลั่งเพื่อรักษาบาดแผล