ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ปรากฏการณ์ความจริงลวง"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Tikmok (คุย | ส่วนร่วม)
เปลี่ยนทางไปที่ ความจำโดยปริยาย
 
Tikmok (คุย | ส่วนร่วม)
แปลจากวิกีอังกฤษ
ป้ายระบุ: ลบหน้าเปลี่ยนทาง ลิงก์แก้ความกำกวม
บรรทัด 1: บรรทัด 1:
{{ใช้ปีคศ}}
#redirect [[ความจำโดยปริยาย]]
<!-- บทอื่น{{nbsp}}ๆ ที่เปลี่ยนทางมายังบทความนี้:
ปรากฏการณ์ความจริงลวง, ปรากฏการณ์การกล่าวซ้ำ{{nbsp}}ๆ
illusion of truth effect, validity effect, truth effect, reiteration effect
-->
'''ปรากฏการณ์ความจริงลวง''' หรือ '''ปรากฏการณ์การกล่าวซ้ำ{{nbsp}}ๆ'''
({{lang-en |illusion of truth effect, validity effect, truth effect, reiteration effect}}) เป็นความโน้มเอียงที่จะเชื่อข้อมูลเท็จว่าเป็นจริงเมื่อได้รับอย่างซ้ำ{{nbsp}}ๆ<ref name="Science Blogs">{{cite web | title = The Truth Effect and Other Processing Fluency Miracles | url = http://scienceblogs.com/mixingmemory/2007/09/18/the-truth-effect-and-other-pro/ | website = Science Blogs | publisher = Science Blogs | access-date = 2016-12-30 | archive-date = 2021-05-06 | archive-url = https://web.archive.org/web/20210506190909/https://scienceblogs.com/mixingmemory/2007/09/18/the-truth-effect-and-other-pro | url-status = live}}</ref>
เป็นปรากฏการณ์ที่ระบุครั้งแรกโดยงานศึกษาปี{{nbsp}}1977 ที่[[มหาวิทยาลัย]]สองแห่งในเมือง[[ฟิลาเดลเฟีย]] [[สหรัฐ]]<ref name="Hasher1977" /><ref name="PLOS ONE">{{cite journal | title = People with Easier to Pronounce Names Promote Truthiness of Claims | journal = PLOS ONE | volume = 9 | issue = 2 | pages = e88671 | date = 2014-09-06 | doi = 10.1371/journal.pone.0088671 | pmid = 24586368 | pmc = 3935838 | last1 = Newman | first1 = Eryn J. | last2 = Sanson | first2 = Mevagh | last3 = Miller | first3 = Emily K. | last4 = Quigley-Mcbride | first4 = Adele | last5 = Foster | first5 = Jeffrey L. | last6 = Bernstein | first6 = Daniel M. | last7 = Garry | first7 = Maryanne | bibcode = 2014PLoSO...988671N }}</ref>
คือทั่วไปแล้ว เมื่อประเมิน[[ความเป็นจริง]] [[มนุษย์]]จะดูว่ามันเข้ากับความเข้าใจของตนหรือรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาหรือไม่
วิธีแรกนั้น[[สมเหตุสมผล]]เพราะใช้วิธีเปรียบเทียบ[[ข้อมูล]]ใหม่กับข้อมูลที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นจริง
แต่การได้ยินข้อความซ้ำ{{nbsp}}ๆ กลับทำให้คล่องใจลื่นหูกว่าข้อความที่ยังไม่เคยได้ยิน แล้วทำให้เราเข้าใจว่าสิ่งที่กล่าวซ้ำ{{nbsp}}ๆ น่าจะเป็นจริงกว่า
ปรากฏการณ์นี้ได้ระบุว่าสัมพันธ์กับ hindsight bias คือ[[ความเอนเอียง]]ในการเห็นว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตพยากรณ์ได้ง่ายเกินความเป็นจริง

ในงานศึกษาปี{{nbsp}}2015 [[นักวิจัย]]พบว่า ความคุ้นเคยสามารถเอาชนะความสมเหตุผลได้ และการได้ยินบ่อย{{nbsp}}ๆ ว่า ข้อความหนึ่งเป็นเท็จ อาจมีผลตรงข้ามทำให้ผู้ฟังเชื่อเรื่องเท็จว่าเป็นจริงเพราะได้ยินบ่อย{{nbsp}}ๆ<ref name="Wired"/>
แม้ผู้ร่วมการทดลองจะรู้คำตอบที่ถูกต้องตั้งแต่ต้น แต่ก็ยังเปลี่ยนความเชื่อต่อมาหลังจากได้รับข้อมูลเท็จซ้ำ{{nbsp}}ๆ นักวิจัยแสดงเหตุของปรากฏการณ์นี้ว่า เป็นเพราะข้อมูลสามารถประมวลง่ายกว่า (processing fluency)

ปรากฏการณ์นี้มีผลสำคัญในเรื่องต่าง{{nbsp}}ๆ รวมทั้งการหาเสียง[[เลือกตั้ง]] [[การโฆษณา]] สื่อข่าว และ[[โฆษณาชวนเชื่อ]]

== งานศึกษาดั้งเดิม ==
ในปี{{nbsp}}1977 งานศึกษาที่[[มหาวิทยาลัย]]สองแห่งในเมือง[[ฟิลาเดลเฟีย]] [[สหรัฐ]] (คือ Villanova University และ Temple University) ได้ระบุรายละเอียดและบัญญัติชื่อของปรากฏการณ์นี้เป็นครั้งแรก
งานศึกษาให้ผู้ร่วมการทดลองตัดสินข้อความต่าง{{nbsp}}ๆ ว่าเป็นจริงหรือเท็จ<ref name="Hasher1977">{{cite journal | last1 = Hasher | first1 = Lynn | last2 = Goldstein | first2 = David | last3 = Toppino | first3 = Thomas | title = Frequency and the conference of referential validity | journal = Journal of Verbal Learning and Verbal Behavior | date = 1977 | volume = 16 | issue = 1 | pages = 107-112 | doi = 10.1016/S0022-5371(77)80012-1 | url = http://www.psych.utoronto.ca/users/hasher/PDF/Frequency%20and%20the%20conference%20Hasher%20et%20al%201977.pdf | url-status = dead | archive-url = https://web.archive.org/web/20160515062305/http://www.psych.utoronto.ca/users/hasher/PDF/Frequency%20and%20the%20conference%20Hasher%20et%20al%201977.pdf | archive-date = 2016-05-15 }}</ref><ref name="Vox"/>
คือ ในการทดลอง 3{{nbsp}}ครั้งแต่ละครั้ง [[นักวิจัย]]ได้แสดงข้อความ 60 บทแก่[[นักศึกษามหาวิทยาลัย]]กลุ่มเดียวกัน ข้อความบางบทเป็นจริง บางบทเป็นเท็จ
คำถามชุดที่สองได้ส่งให้ดู {{nowrap |2 อาทิตย์}}หลังจากชุดแรก และชุดที่สามอีก {{nowrap |2 อาทิตย์}}ต่อจากนั้น
มีข้อความ 20 บทเดียวกันที่อยู่ในชุดคำถามทั้งหมด
ข้อความที่เหลือมีอยู่แต่ในชุดของตน{{nbsp}}ๆ เท่านั้น
มีการถามผู้ร่วมการทดลองว่า มั่นใจในความจริงเท็จของข้อความแค่ไหน โดยข้อความเป็นเรื่องที่นักศึกษาไม่น่าจะรู้เรื่องอะไร
ยกตัวอย่างคำถามเช่น "ฐานทัพอากาศ (สหรัฐ) แรกสร้างขึ้นใน[[รัฐนิวเม็กซิโก]]" หรือ "[[บาสเกตบอล]]กลายเป็น[[กีฬาโอลิมปิก]]ครั้งแรกใน{{nowrap |ปี 1925}}"
โดยให้ผู้ร่วมการทดลองลงคะแนนแสดงความเป็นจริงระหว่าง 1-7 สำหรับข้อความแต่ละบท

แม้ระดับความมั่นใจในความจริงของบทความที่ไม่กล่าวซ้ำจะอยู่ใกล้{{nbsp}}ๆ กัน แต่ความมั่นใจในบทความที่กล่าวซ้ำกลับเพิ่มขึ้นจากชุดที่{{nbsp}}1 ไปยังชุดที่{{nbsp}}2 และจากชุดที่{{nbsp}}2 ไปยังชุดที่{{nbsp}}3 โดยคะแนนเฉลี่ยเพิ่มจาก 4.2 ไปยัง 4.6 ไปถึง 4.7
ข้อสรุปของนักวิจัยก็คือ บทความที่ระบุซ้ำ{{nbsp}}ๆ จะทำให้มันปรากฏว่าเป็นจริงยิ่งกว่า<ref name="Science Blogs"/><ref name="Hasher1977" />

ในปี{{nbsp}}1989 นักวิจัยอีกกลุ่มหนึ่งได้ทำซ้ำผลงานดั้งเดิม โดยได้ผลคล้าย{{nbsp}}ๆ กันว่า การได้รับข้อมูลเท็จซ้ำ{{nbsp}}ๆ ทำให้รู้สึกว่าข้อมูลนั้นมีโอกาสเป็นจริงยิ่ง{{nbsp}}ๆ ขึ้น<ref name="Europe's Journal of Psychology">{{cite journal | last1 = Polage | first1 = Danielle | title = Making up History: False Memories of Fake News Stories | journal = Europe's Journal of Psychology | date = 2012 | volume = 8 | issue = 2 | pages = 245-250 | doi = 10.5964/ejop.v8i2.456 | url = http://ejop.psychopen.eu/article/viewFile/456/pdf | archive-url = https://web.archive.org/web/20161231091706/http://ejop.psychopen.eu/article/viewFile/456/pdf | archive-date = 2016-12-31 }}</ref>

ปรากฏการณ์นี้มีผลเพราะเมื่อมนุษย์ประเมินความจริง ก็จะอาศัยว่าข้อมูลใหม่นั้นเข้ากับความเข้าใจของตนหรือรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาหรือไม่
วิธีแรกนั้นสมเหตุผล เพราะใช้วิธีเปรียบเทียบข้อมูลใหม่กับข้อมูลที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นจริงและพิจารณาความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูลทั้งสอง
แต่นักวิจัยพบว่า ความคุ้นเคยอาจเอาชนะความสมเหตุผลได้ คือการได้ยินบ่อย{{nbsp}}ๆ ว่า ข้อความหนึ่งเป็นเท็จอาจก่อผลตรงกันข้าม เพราะทำให้เชื่อเรื่องเท็จว่าเป็นจริงเพราะได้ยินบ่อย{{nbsp}}ๆ<ref name="Wired"/>

== ความสัมพันธ์กับปรากฏการณ์อื่น{{nbsp}}ๆ ==
=== ความคล่องในการประมวลผล (processing fluency) ===
ในเบื้องต้น เชื่อกันว่าปรากฏการณ์นี้เกิดเมื่อบุคคลไม่แน่ใจในข้อความหนึ่ง{{nbsp}}ๆ ค่อนข้างมากเท่านั้น<ref name="Science Blogs"/>
นักจิตวิทยาจึงได้สมมุติว่า ข้อความที่แปลก{{nbsp}}ๆ ก็จะไม่ก่อปรากฏการณ์นี้ แต่ผลงานวิจัยต่อ{{nbsp}}ๆ มากลับแสดงว่า ปรากฏการณ์นี้ก็ยังเกิดกับข่าวปลอมด้วย<ref name="Vox"/>
คืองานวิจัยปี{{nbsp}}2015 ที่ตีพิมพ์ในวารสารจิตวิทยาเชิงการทดลอง (''Journal of Experimental Psychology'')
ได้แสดงว่า ปรากฏการณ์นี้มีผลต่อผู้ร่วมการทดลองผู้รู้คำตอบอันถูกต้องตั้งแต่แรก แต่ต่อมากลับเปลี่ยนความเชื่อเพราะได้รับข้อมูลเท็จซ้ำ{{nbsp}}ๆ
เช่น เมื่อผู้ร่วมการทดลองได้ข้อความนี้หลาย{{nbsp}}ๆ ครั้งคือ "[[ส่าหรี]]เป็นชื่อของ[[กระโปรง]]สั้นมีจีบที่คน[[สก็อต]]ใส่" บางคนก็จะกลับเชื่อว่านี้เป็นเรื่องจริงทั้ง{{nbsp}}ๆ ที่ได้ตอบคำถามอย่างถูกต้องตั้งแต่ต้นแล้วว่า "อะไรเป็นชื่อของกระโปรงสั้นมีจีบที่คนสก็อตใส่" ([[คิลต์]])

หลังจากที่ทำซ้ำผลงานชิ้นนี้ได้แล้ว นักวิจัยอีกทีมหนึ่งได้ระบุว่า ปรากฏการณ์ที่น่าแปลกนี้มีเหตุจากความคล่องในการประมวลผล (processing fluency) ที่มนุษย์อาศัยเพื่อเข้าใจข้อความ
การได้ (รับ/ได้ยิน) ข้อมูลซ้ำ{{nbsp}}ๆ ทำให้ข้อความประมวลได้ง่ายขึ้น (คือ fluent) เทียบกับข้อความใหม่{{nbsp}}ๆ จึงทำให้สรุปได้อย่างผิด{{nbsp}}ๆ ว่า ข้อความเหล่านั้นเป็นจริงกว่า<ref name="Fazio2015">
{{cite journal | last1 = Fazio | first1 = Lisa K. | last2 = Brashier | first2 = Nadia M. | last3 = Payne | first3 = B. Keith | last4 = Marsh | first4 = Elizabeth J. | title = Knowledge does not protect against illusory truth | journal = Journal of Experimental Psychology: General | date = 2015 | volume = 144 | issue = 5 | pages = 993-1002 | doi = 10.1037/xge0000098 | pmid = 26301795 | url = https://www.apa.org/pubs/journals/features/xge-0000098.pdf | archive-url = https://web.archive.org/web/20160514233138/https://www.apa.org/pubs/journals/features/xge-0000098.pdf | archive-date = 2016-05-14 }}</ref><ref name="Vox Populi News">
{{cite news | last1 = Nason | first1 = Brian | title = The Illusory Truth Effect | url = http://voxpopulinews.net/1230-2/ | access-date = 2016-12-29 | publisher = Vox Populi News | date = 2015-12-08 | archive-url = https://web.archive.org/web/20151214084155/http://voxpopulinews.net/1230-2/ | archive-date = 2015-12-14}}</ref>
เมื่อบุคคลได้ยินอะไรเป็นครั้งที่สองหรือครั้งที่สาม สมองจะตอบสนองได้เร็วกว่าแล้วจึงยกว่า เพราะเป็นเรื่องที่ลื่นหูคล่องใจ นี่จึงเป็นสัญญาณว่าเป็นเรื่องจริง<ref name="Vox2">{{cite news | last1 = Resnick | first1 = Brian | title = The science behind why fake news is so hard to wipe out | url = https://www.vox.com/science-and-health/2017/10/5/16410912/illusory-truth-fake-news-las-vegas-google-facebook | access-date = 2017-10-31 | publisher = Vox | date = 2017-10-05 | archive-date = 2021-04-20 | archive-url = https://web.archive.org/web/20210420095606/https://www.vox.com/science-and-health/2017/10/5/16410912/illusory-truth-fake-news-las-vegas-google-facebook | url-status = live}}</ref>

=== Hindsight bias (ความเอนเอียงว่าเข้าใจปัญหาหลังเหตุการณ์) ===
ในงานศึกษาปี{{nbsp}}1997 นักวิจัยสัมพันธ์ปรากฏการณ์นี้กับ hindsight bias (ความเอนเอียงว่าเข้าใจปัญหาหลังเหตุการณ์) ซึ่งเป็นความเอนเอียงที่คิดว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วนั้น{{nbsp}}ๆ สามารถพยากรณ์ได้เกินความเป็นจริง
แล้วจึงจัดปรากฏการณ์นี้ว่าเป็นส่วนย่อยของ hindsight bias โดยเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า reiteration effect<ref name="Hertwig">{{Cite journal | doi = 10.1037/0033-295X.104.1.194 | title = The reiteration effect in hindsight bias | journal = Psychological Review | volume = 104 | pages = 194-202 | year = 1997 | last1 = Hertwig | first1 = Ralph | last2 = Gigerenzer | first2 = Gerd | last3 = Hoffrage | first3 = Ulrich | hdl = 11858/00-001M-0000-0025-A38B-2 | url = https://www.mpib-berlin.mpg.de/volltexte/institut/dok/full/hertwig/hrreipr__/hrreipr__.html | access-date = 2016-12-30 | archive-url = https://web.archive.org/web/20120822145544/http://www.mpib-berlin.mpg.de/volltexte/institut/dok/full/hertwig/hrreipr__/hrreipr__.html | archive-date = 2012-08-22 | url-status = dead | hdl-access = free}}</ref>

== งานศึกษาอื่น{{nbsp}}ๆ ==
ในงานศึกษาปี{{nbsp}}1979 นักวิจัยบอกผู้ร่วมการทดลองว่า ข้อความที่ระบุซ้ำ{{nbsp}}ๆ ไม่ใช่ว่าจะจริงกว่าที่ไม่ซ้ำ
แต่แม้จะได้คำเตือนแล้ว ผู้ร่วมการทดลองก็ยังรู้สึกว่า ข้อความที่ระบุซ้ำ{{nbsp}}ๆ จริงกว่าข้อความที่ไม่ซ้ำ<ref name="Europe's Journal of Psychology"/>

งานศึกษาปี{{nbsp}}1981 และ 1983 แสดงว่า ข้อมูลที่ได้จากประสบการณ์เร็ว{{nbsp}}ๆ นี้มักมองว่า ลื่นกว่าคุ้นเคยกว่าข้อมูลใหม่{{nbsp}}ๆ ที่เพิ่งได้
งานศึกษาปี{{nbsp}}2011 ต่อยอดงานสองอย่างนี้โดยแสดงว่า ทั่วไปแล้ว ข้อมูลที่ได้จากความจำ "คล่องกว่าและคุ้นเคยกว่าข้อมูลที่เรียนรู้ใหม่" ดังนั้น จึงลวงให้เข้าใจว่าเป็นจริง
โดยมีผลเพิ่มขึ้นเมื่อนำข้อความมาซ้ำ 2{{nbsp}}ครั้ง และยิ่งกว่าเมื่อซ้ำ 4{{nbsp}}ครั้ง
นักวิจัยจึงสรุปว่า การระลึกจาก[[ความทรงจำ]]เป็นวิธีที่ได้ผลเพื่อเพิ่ม "ความถูกต้อง" ของข้อความ อนึ่ง ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องสอบเรื่องที่เป็นประเด็นว่าเป็นความจริงหรือไม่<ref name="University of Waterloo">{{cite journal | last1 = Ozubko | first1 = JD | last2 = Fugelsang | first2 = J | title = Remembering makes evidence compelling: retrieval from memory can give rise to the illusion of truth. | journal = Journal of Experimental Psychology: Learning, Memory, and Cognition | date = January 2011 | doi = 10.1037/a0021323 | pmid = 21058878 | volume = 37 | issue = 1 | pages = 270-6 | s2cid = 22767092 | url = https://semanticscholar.org/paper/08a6eb8b680318a8b5fa40c9c5fadc4cbca661d5 | access-date = 2019-11-24 | archive-date = 2021-06-08 | archive-url = https://web.archive.org/web/20210608122658/https://www.semanticscholar.org/paper/Remembering-makes-evidence-compelling%3A-retrieval-to-Ozubko-Fugelsang/08a6eb8b680318a8b5fa40c9c5fadc4cbca661d5 | url-status = live}}</ref>

งานศึกษาปี{{nbsp}}1992 แสดงว่า ข้อความหนึ่งจะรู้สึกจริงถ้าเป็นข้อมูลที่คุ้นเคย<ref name="Europe's Journal of Psychology"/>
งานศึกษาปี{{nbsp}}2012 แสดงว่า ผู้ร่วมการทดลองบางท่านที่ได้รับข่าวปลอมจะมีความจำเท็จ
ข้อสรุปก็คือ ข้ออ้างเท็จที่ซ้ำ{{nbsp}}ๆ จะน่าเชื่อถือยิ่งขึ้นและอาจก่อให้ผู้รับรู้ข้ออ้างเกิดความผิดพลาด<ref name="Europe's Journal of Psychology"/><ref name="Vox"/>

งานศึกษาปี{{nbsp}}2014 ให้ผู้ร่วมการทดลองตัดสินความเป็นจริงของข้อความที่ระบุว่ามาจากบุคคลต่าง{{nbsp}}ๆ บุคคลเหล่านั้นบางคนมีชื่ออ่านออกเสียงง่ายกว่าคนอื่น{{nbsp}}ๆ
แล้วพบว่า ผู้ร่วมการทดลองชี้อย่างสม่ำเสมอว่า ข้อความที่ระบุโดยบุคคลผู้มีชื่ออ่านออกเสียงได้ง่ายกว่าเป็นความจริงยิ่งกว่าข้อความของผู้มีชื่อออกเสียงได้ยากกว่า
นักวิจัยจึงสรุปว่า แม้แต่สิ่งที่เกิดในใจ เป็นอัตวิสัย ไม่เกี่ยวข้องกัน ก็ยังมีผลเมื่อมนุษย์ประเมินข้อมูลที่ปรากฏมาจากใคร<ref name="PLOS ONE"/>

== ตัวอย่าง ==
แม้ปรากฏการณ์นี้จะได้ทดสอบทาง[[วิทยาศาสตร์]]เมื่อไม่นานมานี้ แต่ก็เป็นที่รู้จักมานับเป็นพัน{{nbsp}}ๆ ปีแล้ว
งานศึกษาหนึ่งให้ข้อสังเกตว่า รัฐบุรุษโรมันกาโต้ผู้เฒ่า (Cato the Elder) กล่าวลงท้ายคำปราศรัยของเขาบ่อย{{nbsp}}ๆ โดยสนับสนุนให้ทำลายนคร[[คาร์เธจ]] (''Ceterum censeo Carthaginem esse delendam'') เพราะรู้ว่าการกล่าวซ้ำ{{nbsp}}ๆ มักทำให้คนอื่นตกลงร่วมใจด้วย
จักรพรรดิ[[นโปเลียน]]ตามรายงานยัง "ตรัสว่า มีสิ่งเดียวเท่านั้นที่สำคัญอย่างยิ่งในเรื่องวาทศิลป์ ซึ่งก็คือ การพูดซ้ำ{{nbsp}}ๆ" คือการกล่าวย้ำซ้ำ{{nbsp}}ๆ ทำให้สิ่งนั้นตั้งอยู่ในใจ "โดยทำให้ได้การยอมรับในที่สุดว่าเป็นความจริงที่แสดงแล้ว"
คนอื่น{{nbsp}}ๆ ที่ได้ใช้เทคนิคนี้รวมทั้ง[[ประธานาธิบดีสหรัฐ]][[โรนัลด์ เรแกน]], [[บิล คลินตัน]], [[จอร์จ ดับเบิลยู. บุช]]<ref>{{Cite web | url = https://www.motherjones.com/politics/2011/12/leadup-iraq-war-timeline/ | title = Lie by Lie: A Timeline of How We Got into Iraq | access-date = 2021-06-03 | archive-date = 2021-06-02 | archive-url = https://web.archive.org/web/20210602131141/https://www.motherjones.com/politics/2011/12/leadup-iraq-war-timeline/ | url-status = live }}</ref>,
[[ดอนัลด์ ทรัมป์]]<ref name="The Atlantic">
{{cite news | last1 = Paschal | first1 = Olivia | title = Trump's Tweets and the Creation of 'Illusory Truth'. | url = https://www.theatlantic.com/politics/archive/2018/08/how-trumps-witch-hunt-tweets-create-an-illusory-truth/566693/ | access-date = 2019-02-25 | work = The Atlantic | date = 2018-08-03 | archive-date = 2021-05-05 | archive-url = https://web.archive.org/web/20210505105435/https://www.theatlantic.com/politics/archive/2018/08/how-trumps-witch-hunt-tweets-create-an-illusory-truth/566693/ | url-status = live}}</ref><ref name="Psychology Today">
{{cite news | last1 = Rathje | first1 = Steve | title = When Correcting a Lie, Don't Repeat It. Do This Instead. | url = https://www.psychologytoday.com/us/blog/words-matter/201807/when-correcting-lie-dont-repeat-it-do-instead-2 | access-date = 2019-02-25 | publisher = Psychology Today | date = 2018-07-23 | archive-date = 2021-06-08 | archive-url = https://web.archive.org/web/20210608122639/https://www.psychologytoday.com/us/blog/words-matter/201807/when-correcting-lie-dont-repeat-it-do-instead-2 | url-status = live}}</ref>
และแม้แต่ตัวละครคือ [[มาร์กุส อันโตนิอุส]] ใน[[ละคร]]เรื่อง [[จูเลียส ซีซาร์]] ของ[[วิลเลียม เชกสเปียร์]]<ref name="Hertwig" />
[[โฆษณา]]ระบุคุณสมบัติที่ไร้เหตุผลของผลิตภัณฑ์โดยทำอย่าง[[ซ้ำ]]{{nbsp}}ๆ อาจทำให้ขายผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นได้เพราะคนดูบางส่วนจะเริ่มคิดว่า ตนได้ยินคุณสมบัติเช่นนี้จากแหล่งข้อมูลอื่นที่เป็นกลาง<ref name="Europe's Journal of Psychology"/>
ปรากฏการณ์นี้ยังพบในสื่อข่าวและเป็นเทคนิคหลักอย่างหนึ่งที่ใช้ใน[[โฆษณาชวนเชื่อ]]<ref name="Wired">
{{cite news | last1 = Dreyfuss | first1 = Emily | title = Want to Make a Lie Seem True? Say It Again. And Again. And Again. | url = https://www.wired.com/2017/02/dont-believe-lies-just-people-repeat/ | access-date = 2017-10-31 | publisher = Wired | date = 2017-02-11 | archive-date = 2021-05-06 | archive-url = https://web.archive.org/web/20210506062950/https://www.wired.com/2017/02/dont-believe-lies-just-people-repeat/ | url-status = live}}</ref><ref name="Vox">
{{cite web | last1 = Resnick | first1 = Brian | title = Alex Jones and the illusory truth effect, explained | url = https://www.vox.com/science-and-health/2017/6/17/15817056/alex-jones-megyn-kelly-lies-nbc-psychology-illusory-truth | website = Vox | access-date = 2017-10-31 | date = 2017-06-17 | archive-date = 2021-05-05 | archive-url = https://web.archive.org/web/20210505105436/https://www.vox.com/science-and-health/2017/6/17/15817056/alex-jones-megyn-kelly-lies-nbc-psychology-illusory-truth | url-status = live}}</ref>

== ดูเพิ่ม ==
* [[ความเอนเอียงเพื่อยืนยัน]]
* [[ความจำโดยปริยาย]] และ [[ความจำโดยปริยาย]]
* [[รายชื่อความเอนเอียงทางประชาน]]

== เชิงอรรถและอ้างอิง ==
{{รายการอ้างอิง |2}}

== แหล่งข้อมูลอื่น ==
*{{cite journal | last1 = Gigerenzer | first1 = Gerd | title = External Validity of Laboratory Experiments: The Frequency-Validity Relationship | journal = The American Journal of Psychology | date = 1984 | volume = 97 | issue = 2 | pages = 185-195 | doi = 10.2307/1422594 | jstor = 1422594}}
*{{cite book | doi = 10.1093/acprof:oso/9780198508632.003.0002 | chapter = Frequency processing: A twenty-five year perspective | title = Etc. Frequency Processing and Cognition | pages = 21-36 | year = 2002 | last1 = Zacks | first1 = Rose T. | last2 = Hasher | first2 = Lynn | isbn = 9780198508632 | editor-first1 = Peter | editor-last1 = Sedlmeier | editor-first2 = Tilmann | editor-last2 = Betsch | chapter-url = https://www.researchgate.net/publication/232539211}}
*{{Cite web | url = http://www.spring.org.uk/2010/12/the-illusion-of-truth.php | title = The Illusion of Truth - PsyBlog | website = PsyBlog | language = en-US | access-date = 2016-04-22 | date = 2010-12-08}}

[[หมวดหมู่:ความเอนเอียงทางความจำ]]
[[หมวดหมู่:ความเอนเอียงทางความจำ]]
[[หมวดหมู่:ทฤษฎีคาดหวัง]]
[[หมวดหมู่:ประชาน]]
[[หมวดหมู่:ทฤษฎีการตัดสินใจ]]
[[หมวดหมู่:ความผิดพลาด]]
[[en:Illusory truth effect]]

รุ่นแก้ไขเมื่อ 12:47, 27 กรกฎาคม 2565

ปรากฏการณ์ความจริงลวง หรือ ปรากฏการณ์การกล่าวซ้ำ  (อังกฤษ: illusion of truth effect, validity effect, truth effect, reiteration effect) เป็นความโน้มเอียงที่จะเชื่อข้อมูลเท็จว่าเป็นจริงเมื่อได้รับอย่างซ้ำ [1] เป็นปรากฏการณ์ที่ระบุครั้งแรกโดยงานศึกษาปี 1977 ที่มหาวิทยาลัยสองแห่งในเมืองฟิลาเดลเฟีย สหรัฐ[2][3] คือทั่วไปแล้ว เมื่อประเมินความเป็นจริง มนุษย์จะดูว่ามันเข้ากับความเข้าใจของตนหรือรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาหรือไม่ วิธีแรกนั้นสมเหตุสมผลเพราะใช้วิธีเปรียบเทียบข้อมูลใหม่กับข้อมูลที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นจริง แต่การได้ยินข้อความซ้ำ ๆ กลับทำให้คล่องใจลื่นหูกว่าข้อความที่ยังไม่เคยได้ยิน แล้วทำให้เราเข้าใจว่าสิ่งที่กล่าวซ้ำ ๆ น่าจะเป็นจริงกว่า ปรากฏการณ์นี้ได้ระบุว่าสัมพันธ์กับ hindsight bias คือความเอนเอียงในการเห็นว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตพยากรณ์ได้ง่ายเกินความเป็นจริง

ในงานศึกษาปี 2015 นักวิจัยพบว่า ความคุ้นเคยสามารถเอาชนะความสมเหตุผลได้ และการได้ยินบ่อย ๆ ว่า ข้อความหนึ่งเป็นเท็จ อาจมีผลตรงข้ามทำให้ผู้ฟังเชื่อเรื่องเท็จว่าเป็นจริงเพราะได้ยินบ่อย [4] แม้ผู้ร่วมการทดลองจะรู้คำตอบที่ถูกต้องตั้งแต่ต้น แต่ก็ยังเปลี่ยนความเชื่อต่อมาหลังจากได้รับข้อมูลเท็จซ้ำ ๆ นักวิจัยแสดงเหตุของปรากฏการณ์นี้ว่า เป็นเพราะข้อมูลสามารถประมวลง่ายกว่า (processing fluency)

ปรากฏการณ์นี้มีผลสำคัญในเรื่องต่าง ๆ รวมทั้งการหาเสียงเลือกตั้ง การโฆษณา สื่อข่าว และโฆษณาชวนเชื่อ

งานศึกษาดั้งเดิม

ในปี 1977 งานศึกษาที่มหาวิทยาลัยสองแห่งในเมืองฟิลาเดลเฟีย สหรัฐ (คือ Villanova University และ Temple University) ได้ระบุรายละเอียดและบัญญัติชื่อของปรากฏการณ์นี้เป็นครั้งแรก งานศึกษาให้ผู้ร่วมการทดลองตัดสินข้อความต่าง ๆ ว่าเป็นจริงหรือเท็จ[2][5] คือ ในการทดลอง 3 ครั้งแต่ละครั้ง นักวิจัยได้แสดงข้อความ 60 บทแก่นักศึกษามหาวิทยาลัยกลุ่มเดียวกัน ข้อความบางบทเป็นจริง บางบทเป็นเท็จ คำถามชุดที่สองได้ส่งให้ดู 2 อาทิตย์หลังจากชุดแรก และชุดที่สามอีก 2 อาทิตย์ต่อจากนั้น มีข้อความ 20 บทเดียวกันที่อยู่ในชุดคำถามทั้งหมด ข้อความที่เหลือมีอยู่แต่ในชุดของตน ๆ เท่านั้น มีการถามผู้ร่วมการทดลองว่า มั่นใจในความจริงเท็จของข้อความแค่ไหน โดยข้อความเป็นเรื่องที่นักศึกษาไม่น่าจะรู้เรื่องอะไร ยกตัวอย่างคำถามเช่น "ฐานทัพอากาศ (สหรัฐ) แรกสร้างขึ้นในรัฐนิวเม็กซิโก" หรือ "บาสเกตบอลกลายเป็นกีฬาโอลิมปิกครั้งแรกในปี 1925" โดยให้ผู้ร่วมการทดลองลงคะแนนแสดงความเป็นจริงระหว่าง 1-7 สำหรับข้อความแต่ละบท

แม้ระดับความมั่นใจในความจริงของบทความที่ไม่กล่าวซ้ำจะอยู่ใกล้ ๆ กัน แต่ความมั่นใจในบทความที่กล่าวซ้ำกลับเพิ่มขึ้นจากชุดที่ 1 ไปยังชุดที่ 2 และจากชุดที่ 2 ไปยังชุดที่ 3 โดยคะแนนเฉลี่ยเพิ่มจาก 4.2 ไปยัง 4.6 ไปถึง 4.7 ข้อสรุปของนักวิจัยก็คือ บทความที่ระบุซ้ำ ๆ จะทำให้มันปรากฏว่าเป็นจริงยิ่งกว่า[1][2]

ในปี 1989 นักวิจัยอีกกลุ่มหนึ่งได้ทำซ้ำผลงานดั้งเดิม โดยได้ผลคล้าย ๆ กันว่า การได้รับข้อมูลเท็จซ้ำ ๆ ทำให้รู้สึกว่าข้อมูลนั้นมีโอกาสเป็นจริงยิ่ง ๆ ขึ้น[6]

ปรากฏการณ์นี้มีผลเพราะเมื่อมนุษย์ประเมินความจริง ก็จะอาศัยว่าข้อมูลใหม่นั้นเข้ากับความเข้าใจของตนหรือรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาหรือไม่ วิธีแรกนั้นสมเหตุผล เพราะใช้วิธีเปรียบเทียบข้อมูลใหม่กับข้อมูลที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นจริงและพิจารณาความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูลทั้งสอง แต่นักวิจัยพบว่า ความคุ้นเคยอาจเอาชนะความสมเหตุผลได้ คือการได้ยินบ่อย ๆ ว่า ข้อความหนึ่งเป็นเท็จอาจก่อผลตรงกันข้าม เพราะทำให้เชื่อเรื่องเท็จว่าเป็นจริงเพราะได้ยินบ่อย [4]

ความสัมพันธ์กับปรากฏการณ์อื่น 

ความคล่องในการประมวลผล (processing fluency)

ในเบื้องต้น เชื่อกันว่าปรากฏการณ์นี้เกิดเมื่อบุคคลไม่แน่ใจในข้อความหนึ่ง ๆ ค่อนข้างมากเท่านั้น[1] นักจิตวิทยาจึงได้สมมุติว่า ข้อความที่แปลก ๆ ก็จะไม่ก่อปรากฏการณ์นี้ แต่ผลงานวิจัยต่อ ๆ มากลับแสดงว่า ปรากฏการณ์นี้ก็ยังเกิดกับข่าวปลอมด้วย[5] คืองานวิจัยปี 2015 ที่ตีพิมพ์ในวารสารจิตวิทยาเชิงการทดลอง (Journal of Experimental Psychology) ได้แสดงว่า ปรากฏการณ์นี้มีผลต่อผู้ร่วมการทดลองผู้รู้คำตอบอันถูกต้องตั้งแต่แรก แต่ต่อมากลับเปลี่ยนความเชื่อเพราะได้รับข้อมูลเท็จซ้ำ ๆ เช่น เมื่อผู้ร่วมการทดลองได้ข้อความนี้หลาย ๆ ครั้งคือ "ส่าหรีเป็นชื่อของกระโปรงสั้นมีจีบที่คนสก็อตใส่" บางคนก็จะกลับเชื่อว่านี้เป็นเรื่องจริงทั้ง ๆ ที่ได้ตอบคำถามอย่างถูกต้องตั้งแต่ต้นแล้วว่า "อะไรเป็นชื่อของกระโปรงสั้นมีจีบที่คนสก็อตใส่" (คิลต์)

หลังจากที่ทำซ้ำผลงานชิ้นนี้ได้แล้ว นักวิจัยอีกทีมหนึ่งได้ระบุว่า ปรากฏการณ์ที่น่าแปลกนี้มีเหตุจากความคล่องในการประมวลผล (processing fluency) ที่มนุษย์อาศัยเพื่อเข้าใจข้อความ การได้ (รับ/ได้ยิน) ข้อมูลซ้ำ ๆ ทำให้ข้อความประมวลได้ง่ายขึ้น (คือ fluent) เทียบกับข้อความใหม่ ๆ จึงทำให้สรุปได้อย่างผิด ๆ ว่า ข้อความเหล่านั้นเป็นจริงกว่า[7][8] เมื่อบุคคลได้ยินอะไรเป็นครั้งที่สองหรือครั้งที่สาม สมองจะตอบสนองได้เร็วกว่าแล้วจึงยกว่า เพราะเป็นเรื่องที่ลื่นหูคล่องใจ นี่จึงเป็นสัญญาณว่าเป็นเรื่องจริง[9]

Hindsight bias (ความเอนเอียงว่าเข้าใจปัญหาหลังเหตุการณ์)

ในงานศึกษาปี 1997 นักวิจัยสัมพันธ์ปรากฏการณ์นี้กับ hindsight bias (ความเอนเอียงว่าเข้าใจปัญหาหลังเหตุการณ์) ซึ่งเป็นความเอนเอียงที่คิดว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วนั้น ๆ สามารถพยากรณ์ได้เกินความเป็นจริง แล้วจึงจัดปรากฏการณ์นี้ว่าเป็นส่วนย่อยของ hindsight bias โดยเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า reiteration effect[10]

งานศึกษาอื่น 

ในงานศึกษาปี 1979 นักวิจัยบอกผู้ร่วมการทดลองว่า ข้อความที่ระบุซ้ำ ๆ ไม่ใช่ว่าจะจริงกว่าที่ไม่ซ้ำ แต่แม้จะได้คำเตือนแล้ว ผู้ร่วมการทดลองก็ยังรู้สึกว่า ข้อความที่ระบุซ้ำ ๆ จริงกว่าข้อความที่ไม่ซ้ำ[6]

งานศึกษาปี 1981 และ 1983 แสดงว่า ข้อมูลที่ได้จากประสบการณ์เร็ว ๆ นี้มักมองว่า ลื่นกว่าคุ้นเคยกว่าข้อมูลใหม่ ๆ ที่เพิ่งได้ งานศึกษาปี 2011 ต่อยอดงานสองอย่างนี้โดยแสดงว่า ทั่วไปแล้ว ข้อมูลที่ได้จากความจำ "คล่องกว่าและคุ้นเคยกว่าข้อมูลที่เรียนรู้ใหม่" ดังนั้น จึงลวงให้เข้าใจว่าเป็นจริง โดยมีผลเพิ่มขึ้นเมื่อนำข้อความมาซ้ำ 2 ครั้ง และยิ่งกว่าเมื่อซ้ำ 4 ครั้ง นักวิจัยจึงสรุปว่า การระลึกจากความทรงจำเป็นวิธีที่ได้ผลเพื่อเพิ่ม "ความถูกต้อง" ของข้อความ อนึ่ง ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องสอบเรื่องที่เป็นประเด็นว่าเป็นความจริงหรือไม่[11]

งานศึกษาปี 1992 แสดงว่า ข้อความหนึ่งจะรู้สึกจริงถ้าเป็นข้อมูลที่คุ้นเคย[6] งานศึกษาปี 2012 แสดงว่า ผู้ร่วมการทดลองบางท่านที่ได้รับข่าวปลอมจะมีความจำเท็จ ข้อสรุปก็คือ ข้ออ้างเท็จที่ซ้ำ ๆ จะน่าเชื่อถือยิ่งขึ้นและอาจก่อให้ผู้รับรู้ข้ออ้างเกิดความผิดพลาด[6][5]

งานศึกษาปี 2014 ให้ผู้ร่วมการทดลองตัดสินความเป็นจริงของข้อความที่ระบุว่ามาจากบุคคลต่าง ๆ บุคคลเหล่านั้นบางคนมีชื่ออ่านออกเสียงง่ายกว่าคนอื่น ๆ แล้วพบว่า ผู้ร่วมการทดลองชี้อย่างสม่ำเสมอว่า ข้อความที่ระบุโดยบุคคลผู้มีชื่ออ่านออกเสียงได้ง่ายกว่าเป็นความจริงยิ่งกว่าข้อความของผู้มีชื่อออกเสียงได้ยากกว่า นักวิจัยจึงสรุปว่า แม้แต่สิ่งที่เกิดในใจ เป็นอัตวิสัย ไม่เกี่ยวข้องกัน ก็ยังมีผลเมื่อมนุษย์ประเมินข้อมูลที่ปรากฏมาจากใคร[3]

ตัวอย่าง

แม้ปรากฏการณ์นี้จะได้ทดสอบทางวิทยาศาสตร์เมื่อไม่นานมานี้ แต่ก็เป็นที่รู้จักมานับเป็นพัน ๆ ปีแล้ว งานศึกษาหนึ่งให้ข้อสังเกตว่า รัฐบุรุษโรมันกาโต้ผู้เฒ่า (Cato the Elder) กล่าวลงท้ายคำปราศรัยของเขาบ่อย ๆ โดยสนับสนุนให้ทำลายนครคาร์เธจ (Ceterum censeo Carthaginem esse delendam) เพราะรู้ว่าการกล่าวซ้ำ ๆ มักทำให้คนอื่นตกลงร่วมใจด้วย จักรพรรดินโปเลียนตามรายงานยัง "ตรัสว่า มีสิ่งเดียวเท่านั้นที่สำคัญอย่างยิ่งในเรื่องวาทศิลป์ ซึ่งก็คือ การพูดซ้ำ ๆ" คือการกล่าวย้ำซ้ำ ๆ ทำให้สิ่งนั้นตั้งอยู่ในใจ "โดยทำให้ได้การยอมรับในที่สุดว่าเป็นความจริงที่แสดงแล้ว" คนอื่น ๆ ที่ได้ใช้เทคนิคนี้รวมทั้งประธานาธิบดีสหรัฐโรนัลด์ เรแกน, บิล คลินตัน, จอร์จ ดับเบิลยู. บุช[12], ดอนัลด์ ทรัมป์[13][14] และแม้แต่ตัวละครคือ มาร์กุส อันโตนิอุส ในละครเรื่อง จูเลียส ซีซาร์ ของวิลเลียม เชกสเปียร์[10] โฆษณาระบุคุณสมบัติที่ไร้เหตุผลของผลิตภัณฑ์โดยทำอย่างซ้ำ ๆ อาจทำให้ขายผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นได้เพราะคนดูบางส่วนจะเริ่มคิดว่า ตนได้ยินคุณสมบัติเช่นนี้จากแหล่งข้อมูลอื่นที่เป็นกลาง[6] ปรากฏการณ์นี้ยังพบในสื่อข่าวและเป็นเทคนิคหลักอย่างหนึ่งที่ใช้ในโฆษณาชวนเชื่อ[4][5]

ดูเพิ่ม

เชิงอรรถและอ้างอิง

  1. 1.0 1.1 1.2 "The Truth Effect and Other Processing Fluency Miracles". Science Blogs. Science Blogs. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-05-06. สืบค้นเมื่อ 2016-12-30.
  2. 2.0 2.1 2.2 Hasher, Lynn; Goldstein, David; Toppino, Thomas (1977). "Frequency and the conference of referential validity" (PDF). Journal of Verbal Learning and Verbal Behavior. 16 (1): 107–112. doi:10.1016/S0022-5371(77)80012-1. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2016-05-15.
  3. 3.0 3.1 Newman, Eryn J.; Sanson, Mevagh; Miller, Emily K.; Quigley-Mcbride, Adele; Foster, Jeffrey L.; Bernstein, Daniel M.; Garry, Maryanne (2014-09-06). "People with Easier to Pronounce Names Promote Truthiness of Claims". PLOS ONE. 9 (2): e88671. Bibcode:2014PLoSO...988671N. doi:10.1371/journal.pone.0088671. PMC 3935838. PMID 24586368.
  4. 4.0 4.1 4.2 Dreyfuss, Emily (2017-02-11). "Want to Make a Lie Seem True? Say It Again. And Again. And Again". Wired. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-05-06. สืบค้นเมื่อ 2017-10-31.
  5. 5.0 5.1 5.2 5.3 Resnick, Brian (2017-06-17). "Alex Jones and the illusory truth effect, explained". Vox. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-05-05. สืบค้นเมื่อ 2017-10-31.
  6. 6.0 6.1 6.2 6.3 6.4 Polage, Danielle (2012). "Making up History: False Memories of Fake News Stories". Europe's Journal of Psychology. 8 (2): 245–250. doi:10.5964/ejop.v8i2.456. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-12-31.
  7. Fazio, Lisa K.; Brashier, Nadia M.; Payne, B. Keith; Marsh, Elizabeth J. (2015). "Knowledge does not protect against illusory truth" (PDF). Journal of Experimental Psychology: General. 144 (5): 993–1002. doi:10.1037/xge0000098. PMID 26301795. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2016-05-14.
  8. Nason, Brian (2015-12-08). "The Illusory Truth Effect". Vox Populi News. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-12-14. สืบค้นเมื่อ 2016-12-29.
  9. Resnick, Brian (2017-10-05). "The science behind why fake news is so hard to wipe out". Vox. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-04-20. สืบค้นเมื่อ 2017-10-31.
  10. 10.0 10.1 Hertwig, Ralph; Gigerenzer, Gerd; Hoffrage, Ulrich (1997). "The reiteration effect in hindsight bias". Psychological Review. 104: 194–202. doi:10.1037/0033-295X.104.1.194. hdl:11858/00-001M-0000-0025-A38B-2. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-08-22. สืบค้นเมื่อ 2016-12-30.
  11. Ozubko, JD; Fugelsang, J (January 2011). "Remembering makes evidence compelling: retrieval from memory can give rise to the illusion of truth". Journal of Experimental Psychology: Learning, Memory, and Cognition. 37 (1): 270–6. doi:10.1037/a0021323. PMID 21058878. S2CID 22767092. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-06-08. สืบค้นเมื่อ 2019-11-24.
  12. "Lie by Lie: A Timeline of How We Got into Iraq". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-06-02. สืบค้นเมื่อ 2021-06-03.
  13. Paschal, Olivia (2018-08-03). "Trump's Tweets and the Creation of 'Illusory Truth'". The Atlantic. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-05-05. สืบค้นเมื่อ 2019-02-25.
  14. Rathje, Steve (2018-07-23). "When Correcting a Lie, Don't Repeat It. Do This Instead". Psychology Today. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-06-08. สืบค้นเมื่อ 2019-02-25.

แหล่งข้อมูลอื่น