ข้ามไปเนื้อหา

เดนนิส ไวโอเล็ต

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เดนนิส ไวโอเล็ต
ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อเต็ม เดนนิส ซิดนีย์ ไวโอเล็ต
วันเกิด 20 กันยายน ค.ศ. 1933(1933-09-20)
สถานที่เกิด แฟลโลว์ฟีลด์ แมนเชสเตอร์ อังกฤษ
วันเสียชีวิต 6 มีนาคม ค.ศ. 1999(1999-03-06) (65 ปี)
สถานที่เสียชีวิต แจ็กสันวิลล์ รัฐฟลอริดา สหรัฐ
ส่วนสูง 1.75 m (5 ft 9 in)[1]
ตำแหน่ง กองหน้า
สโมสรเยาวชน
1949–1953 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
สโมสรอาชีพ*
ปี ทีม ลงเล่น (ประตู)
1953–1962 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 293 (159)
1962–1967 สโตกซิตี 181 (66)
รวม 474 (225)
ทีมชาติ
1960–1961 อังกฤษ 2 (1)
*นัดที่ลงเล่นและประตูที่ยิงให้แก่สโมสรเฉพาะลีกในประเทศเท่านั้น

เดนนิส ซิดนีย์ ไวโอเล็ต (อังกฤษ: Dennis Sydney Viollet; 20 กันยายน 1933 - 6 มีนาคม 1999) เป็นอดีตนักฟุตบอลอาชีพชาวอังกฤษที่เล่นให้แก่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดและสโตกซิตีรวมถึงทีมชาติอังกฤษ[2][3] เขามีชื่อเสียงในฐานะหนึ่งในบัสบีเบบส์ และเป็นหนึ่งในผู้รอดชีวิตจากภัยพิบัติทางอากาศมิวนิก หลังจากแขวนสตั๊ดในฐานะผู้เล่น เขาก็กลายเป็นผู้ฝึกสอนและใช้เวลาส่วนใหญ่ในอาชีพผู้จัดการทีมในสหรัฐไปกับทีมระดับอาชีพและทีมโรงเรียนต่าง ๆ

ระดับสโมสร

[แก้]

แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

[แก้]

ไวโอเล็ตเข้าร่วมระบบเยาวชนของสโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเมื่อวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1949 เขาผ่านทีมเยาวชนของยูไนเต็ด และผันตัวเป็นนักฟุตบอลอาชีพในปี ค.ศ. 1950 การแข่งขันนัดแรกของเขากับสโมสรคือการพบกับนิวคาสเซิลยูไนเต็ดเมื่อวันที่ 11 เมษายน ค.ศ. 1953 การแข่งขันที่โดดเด่นที่สุดนัดหนึ่งของเขาเกิดขึ้นในวันที่ 26 กันยายน ค.ศ. 1956 ในนัดที่ 2 ของยูโรเปียนคัพรอบคัดเลือก โดยพบกับอันเดอร์เลคต์ ผู้ชนะลีกเบลเยียม ซึ่งเขายิงได้ 4 ประตูจากการชนะ 10–0 ซึ่งยังคงเป็นชัยชนะในการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของยูไนเต็ด[4]

อ้างอิง

[แก้]
  1. Strack-Zimmermann, Benjamin. "Dennis Viollet (Player)". www.national-football-teams.com (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2022-09-12.
  2. Matthews, Tony (1994). The Encyclopaedia of Stoke City. Lion Press. ISBN 0-9524151-0-0.
  3. Stoke City 101 Golden Greats. Desert Islands Books. 2002. ISBN 1-874287554.
  4. "Duncan Edwards A prodigious talent cut down in his prime". Daily Mirror. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 October 2012. สืบค้นเมื่อ 28 January 2013.