รณชีต สิงห์
รณชีต สิงห์ | |
---|---|
มหาราชาแห่งปัญจาบ มหาราชาแห่งละฮอร์ Sher-e-Punjab (สิงห์แห่งปัญจาบ) Sarkar-i-Wallah (ประมุข)[1] Sarkar Khalsaji (ประมุข) จ้าวแห่งแม่น้ำทั้งห้าสาย สิงห์ สาหิบ[2] | |
มหาราชา รันจิต สิงห์ | |
มหาราชาองค์แรก แห่ง จักรวรรดิซิกข์ | |
ครองราชย์ | 1792 – 1801 หัวหน้า Sukerchakia Misl 1801 - 1839 จักรพรรดิ จักรวรรดิซิกข์ |
ราชาภิเษก | 12 เมษายน 1801 at ป้อมละฮอร์ |
ถัดไป | มหาราชา ขารัข สิงห์ |
ประสูติ | 1780[3] Gujranwala, ภูมิภาคปัญจาบ, Sukerchakia Misl สมาพันธรัฐซิกข์ (ปากีสถานในปัจจุบัน) บุดะ สิงห์ |
สวรรคต | 27 มิถุนายน ค.ศ. 1839 ละฮอร์, ภูมิภาคปัญจาบ, จักรวรรดิซิกข์ (ประเทศปากีสถานในปัจจุบัน) | (58 ปี)
ฝังพระศพ | สมาธิของรณชีต สิงห์, ละฮอร์, ปากีสถาน |
คู่อภิเษก | ดูรายชื่อด้านล่าง |
พระราชบุตร | มหาราชา ขารัข สิงห์ อิศาร สิงห์ มหาราชา เศอระ สิงห์ ทรา สิงห์ กัศมีรา สิงห์ เปเศวรา สิงห์ มูลทนา สิงห์ มหาราชา ทุลีป สิงห์ |
พระราชบิดา | มหา สิงห์ |
พระราชมารดา | Raj Kaur |
ศาสนา | ศาสนาซิกข์ |
มหาราชา รณชีต สิงห์ เป็นผู้นำของจักรวรรดิซิกข์ ซึ่งปกครองอนุทวีปอินเดียตะวันตกเฉียงเหนือ ราวศตวรรศที่ 19 ท่านเกือบเสียชีวิตด้วยโรคฝีดาษตั้งแต่ยังเป็นทารก แต่ท่านสามารถรอดมาได้แต่ด้วยพิษฝีดาษทำให้ท่านเสียตาข้างซ้ายไป ท่านเข้าสู่สนามรบตั้งแต่อายุเพียง 10 ปี รบเคียงข้างกับบิดาของท่าน มหา สิงห์ หลังมหา สิงห์ เสียชีวิตลง ท่านได้ยืนหยัดต่อสู้ต่อไปจนสามารถไล่ชาวอัฟกันออกจากบริเวณปัญจาบ และสถาปนาตนเองขึ้นเป็น "มหาราชาแห่งปัญจาบ" ด้วยวัยเพียง 21 ปี[4][5]
สภาพสังคมของปัญจาบในขณะนั้นประกอบด้วยแว่นแคว้น (misl; สมาพันธรัฐ) มากมาย 12 misl เป็นของซิกข์ และ 1 misl เป็นของมุสลิม[6] ท่านสามารถรวบรวมแว่นแคว้นทั้ง 13 เข้าด้วยกันและก่อตั้งจักรวรรดิซิกข์อันยิ่งใหญ่ขึ้น และยังสามารถรบชนะผู้รุกรานจากอัฟกานิสถานหลายต่อหลายครั้งในสงครามซิกข์-อัฟกันหลายครั้ง หลังการเข้ามาของบริทิชอินเดีย ท่านตกลงผูกมิตรกับชาวบริเทนและกลายมาเป็นพันธมิตรที่ดีต่อกัน[7]
ท่านนำพาการลงทุน ฟื้นฟูเศรษฐกิจ และปฏิรูปกิจการหลายอย่าง รวมทั้งนำสาธารณูปโภคมาสู่ปัญจาบ[8][9] กองทัพซิกข์ขาลสาของท่านนั้นขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่ง และท่านยังจัดตั้งรัฐบาลที่ประกอบด้วยทั้งชาวซิกข์ ฮินดู มุสลิม และยุโรป[10] นอกจากความเจริญทางด้านการปกครองและสังคมแล้ว สมัยของท่านยังถือเป็นยุคทองของศิลปะและวัฒนธรรม ท่านมีคำสั่งให้สร้างหริมันทิรสาหิบในอมฤตสระ ขึ้นใหม่หลังถูกทำลายในสมัยจักรวรรดิมุสลิมและจากชาวอัฟกัน และยังให้มีการสร้างคุรุทวารามากมาย รวมถึงคุรุทวาราสำคัญหลายแห่ง ประกอบด้วย ตัขตะทั้งห้า จำนวน 2 แห่ง คือ ตัขตะศรีปัฏนาสาหิบ ใน พิหาร และ หซูระสาหิบ ใน มหาราษฏระ ทั้งหมดล้วนได้รับการสนับสนุนด้านการเงงินอย่างดีจากท่าน ทำให้เศรษฐกิจของปัญจาบมีการหมุนเวียนและเจริญขึ้นตามลำดับ[11][12]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ The Sikh Army 1799–1849 By Ian Heath, Michael Perry(Page 3), "...and in April 1801 Ranjit Singh proclaimed himself Sarkar-i-wala or head of state...
- ↑ A history of the Sikhs by Kushwant Singh, Volume I(Page 195)
- ↑ S.R. Bakshi, Rashmi Pathak (2007). "1-Political Condition". ใน S.R. Bakshi, Rashmi Pathak (บ.ก.). Studies in Contemporary Indian History – Punjab Through the Ages Volume 2. Sarup & Sons, New Delhi. p. 2. ISBN 81-7625-738-9.
- ↑ Encyclopædia Britannica Eleventh Edition, (Edition: Volume V22, Date: 1910-1911), Page 892.
- ↑ Grewal, J. S. (1990). "Chapter 6: The Sikh empire (1799–1849)". The Sikh empire (1799–1849). The New Cambridge History of India. Vol. The Sikhs of the Punjab. Cambridge University Press. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-02-16. สืบค้นเมื่อ 2019-04-04.
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อSingh2008p9
- ↑ Patwant Singh (2008). Empire of the Sikhs: The Life and Times of Maharaja Ranjit Singh. Peter Owen. pp. 113–124. ISBN 978-0-7206-1323-0.
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อtejasingh65
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อkaushikroyp143
- ↑ Kaushik Roy (2011). War, Culture and Society in Early Modern South Asia, 1740–1849. Routledge. pp. 143–147. ISBN 978-1-136-79087-4.
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อlafontp95
- ↑ Kerry Brown (2002). Sikh Art and Literature. Routledge. p. 35. ISBN 978-1-134-63136-0.