ยูเอสเอส เซาท์ดาโคตา (BB-57)
ยูเอสเอส เซาท์ดาโคตา ขณะทอดสมอที่ประเทศไอซ์แลนด์ ในปี 1943
| |
ประวัติ | |
---|---|
สหรัฐอเมริกา | |
ชื่อ | |
ตั้งชื่อตาม | รัฐเซาท์ดาโคตา |
Ordered | 15 ธันวาคม 1938 |
อู่เรือ | นิวยอร์ก ชิปบิลดิง คอร์ปอเรชั่น |
ปล่อยเรือ | 5 กรกฎาคม 1939 |
เดินเรือแรก | 7 มิถุนายน 1941 |
เข้าประจำการ | 20 มีนาคม 1942 |
ปลดระวาง | 31 มกราคม 1947 |
Stricken | 1 มิถุนายน 1962 |
ความเป็นไป | ถูกแยกชิ้นส่วนในปี 1962 |
ลักษณะเฉพาะ | |
ชั้น: | เซาท์ดาโคตา |
ขนาด (ระวางขับน้ำ): |
|
ความยาว: | 680 ฟุต (210 เมตร) (วัดรวมหัวท้าย) |
ความกว้าง: | 108 ฟุต 2 นิ้ว (32.97 เมตร) |
กินน้ำลึก: | 35 ฟุต 1 นิ้ว (10.69 เมตร) |
ระบบพลังงาน: |
|
ระบบขับเคลื่อน: |
|
ความเร็ว: | 27.5 นอต (50.9 กิโลเมตรต่อชั่วโมง; 31.6 ไมล์ต่อชั่วโมง) |
พิสัยเชื้อเพลิง: | 15,000 ไมล์ทะเล (28,000 กิโลเมตร; 17,000 ไมล์) ที่ความเร็ว 15 นอต (28 กิโลเมตรต่อชั่วโมง; 17 ไมล์ต่อชั่วโมง) |
ลูกเรือ: |
|
ยุทโธปกรณ์: |
|
เกราะ: |
|
อากาศยาน: | 3 × เครื่องบินทุ่นลอยน้ำ Vought OS2U Kingfisher |
อุปกรณ์สนับสนุนการบิน: | 2 × เครื่องดีดส่งอากาศยาน |
ยูเอสเอส เซาท์ดาโคตา (BB-57) (อังกฤษ: USS South Dakota) เป็นเรือประจัญบานลำแรกในจำนวน 4 ลำของชั้นเซาท์ดาโคตาที่กองทัพเรือสหรัฐสร้างขึ้นในช่วงทศวรรษ 1930 เป็นเรือประจัญบานรุ่นแรกของสหรัฐที่ออกแบบหลังจากสนธิสัญญานาวิกวอชิงตันเริ่มเสื่อมความสำคัญลงในช่วงกลางทศวรรษที่ 1930 เรือชั้นเซาท์ดาโคตาสามารถใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ในสนธิสัญญาที่อนุญาตให้เพิ่มขนาดปืนหลักเป็น 16 นิ้ว (406 มม.) ได้ อย่างไรก็ตาม การที่รัฐสภาไม่อนุมัติให้สร้างเรือรบขนาดใหญ่กว่าเดิม ทำให้เรือชั้นนี้ยังคงมีระวางขับน้ำใกล้เคียงกับข้อจำกัดของสนธิสัญญาที่ 35,000 ลองตัน (35,562 ตัน) การจำเป็นต้องได้รับการติดตั้งเกราะป้องกันจากปืนขนาดเดียวกับที่ติดตั้งบนเรือ บวกกับข้อจำกัดด้านระวางขับน้ำ ส่งผลให้เรือชั้นนี้มีพื้นที่ใช้สอยค่อนข้างจำกัด ปัญหานี้ทวีความรุนแรงขึ้นจากการปรับปรุงในช่วงสงคราม เพื่อเสริมระบบต่อสู้อากาศยานและเพิ่มจำนวนลูกเรือ
ยูเอสเอส เซาท์ดาโคตา มีบทบาทสำคัญยิ่งในสงครามโลกครั้งที่สอง ทันทีที่ประจำการในกองทัพเรือเมื่อกลางปี 1942 เรือก็ได้รับมอบหมายให้ไปเสริมกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรในยุทธการที่กัวดัลคะแนลที่แปซิฟิกใต้ เรือประสบอุบัติเหตุชนกับแนวปะการังที่ไม่ปรากฏบนแผนที่ แต่หลังจากซ่อมแซมเสร็จเรือก็กลับสู่แนวหน้าอีกครั้ง โดยเข้าร่วมในยุทธนาวีที่ซานตาครูซในเดือนตุลาคม และยุทธการที่กัวดัลคะแนลครั้งที่สองในเดือนพฤศจิกายน ในระหว่างยุทธนาวีครั้งหลัง ความผิดปกติของระบบไฟฟ้าทำให้เรือประสบปัญหาในการโจมตีเรือรบญี่ปุ่น และกลายเป็นเป้าหมายโจมตีของเรือญี่ปุ่นหลายลำ ผลลัพธ์คือถูกโจมตีมากกว่า 20 ครั้ง ส่งผลให้โครงสร้างส่วนบนเสียหายอย่างหนัก แต่ไม่กระทบต่อความลอยตัวของเรือมากนัก เซาท์ดาโคตาเดินทางกลับสหรัฐเพื่อทำการซ่อมแซมซึ่งกินเวลานานจนถึงปี 1943 หลังจากนั้น เรือก็ถูกส่งไปสนับสนุนกองเรือโฮมของอังกฤษเป็นเวลาสั้น ๆ เพื่อภารกิจคุ้มกันขบวนเรือไปยังสหภาพโซเวียต
ในช่วงกลางปี 1943 เซาท์ดาโคตาถูกส่งกลับไปยังแปซิฟิกอีกครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการปฏิบัติการร่วมกับกองเรือบรรทุกเครื่องบินเร็ว โดยใช้อาวุธต่อต้านอากาศยานเพื่อป้องกัน ในภารกิจนี้ เรือได้เข้าร่วมในการทัพหมู่เกาะกิลเบิร์ตและมาร์แชลล์ในปลายปี 1943 ถึงต้นปี 1944 การทัพหมู่เกาะมาเรียนาและปาเลาในช่วงกลางปี 1944 และการทัพฟิลิปปินส์ในปลายปีนั้น ในปี 1945 เซาท์ดาโคตาได้เข้าร่วมรบในยุทธการที่อิโวะจิมะ และยุทธการที่โอกินาวะ รวมถึงโจมตีญี่ปุ่นด้วยปืนใหญ่ถึง 3 ครั้ง หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลงในเดือนสิงหาคม 1945 เรือได้มีส่วนร่วมในการยึดครองญี่ปุ่นช่วงแรก แล้วจึงเดินทางกลับสหรัฐในเดือนกันยายน ต่อมาเรือถูกย้ายไปยังอู่ทหารเรือฟิลาเดลเฟียและถูกปลดประจำการเก็บรักษาไว้ในกองเรือสำรองแอตแลนติกจนถึงปี 1962 ก่อนจะถูกขายแยกชิ้นส่วน