ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ยิวยิตสู"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Xqbot (คุย | ส่วนร่วม)
โรบอต แก้ไข: es:Jiu-jitsu; ปรับแต่งให้อ่านง่าย
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 61: บรรทัด 61:


ศิลปะการต่อสู้ที่คล้ายกับโคริวยูยิสสูคือ มวยโบราณของไทยก็ถูกใช้ต่อสู้ในสงครามเหมือนกัน และกระบวนท่าก็มีความใกล้เคียงกันมากซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจจะมีต้นกำเนิดเดียวกัน แต่น่าเสียดายที่มวยไทยปัจจุบันลดความรุนแรงลงกลายมาเป็นกีฬาบนเวที หากจะเปรียบเทียบกันแล้ว มวยไทยเป็นมวยแนวยืนที่แข็งแกร่งที่สุด เป็นมวยที่ใช้แรงปะทะ รุกจู่โจมแสดงความเป็นหยางหรือบุรุษเพศอย่างชัดเจน ขณะที่ยูยิสสูเป็นมวยนอนที่ร้ายกาจ ไม่ใช้แรงปะทะ ใช้การรับแล้วทำลายจุดอ่อนคู่ต่อสู้ ซึ่งแนวนอนและการตั้งรับเป็นลักษณะหยินคือสตรีเพศ จึงกล่าวกันว่า ผู้หญิงใช้เคล็ดวิชายูยิสสูได้ลึกซึ้งมากกว่าผู้ชาย
ศิลปะการต่อสู้ที่คล้ายกับโคริวยูยิสสูคือ มวยโบราณของไทยก็ถูกใช้ต่อสู้ในสงครามเหมือนกัน และกระบวนท่าก็มีความใกล้เคียงกันมากซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจจะมีต้นกำเนิดเดียวกัน แต่น่าเสียดายที่มวยไทยปัจจุบันลดความรุนแรงลงกลายมาเป็นกีฬาบนเวที หากจะเปรียบเทียบกันแล้ว มวยไทยเป็นมวยแนวยืนที่แข็งแกร่งที่สุด เป็นมวยที่ใช้แรงปะทะ รุกจู่โจมแสดงความเป็นหยางหรือบุรุษเพศอย่างชัดเจน ขณะที่ยูยิสสูเป็นมวยนอนที่ร้ายกาจ ไม่ใช้แรงปะทะ ใช้การรับแล้วทำลายจุดอ่อนคู่ต่อสู้ ซึ่งแนวนอนและการตั้งรับเป็นลักษณะหยินคือสตรีเพศ จึงกล่าวกันว่า ผู้หญิงใช้เคล็ดวิชายูยิสสูได้ลึกซึ้งมากกว่าผู้ชาย

== ยูยิสสูใช้หลักอ่อนทำลายแข็ง ==
นักมวยไทยหลายคนยอมรับว่า การต่อสู้กับยูยิสสูนั้นอันตรายโดยเฉพาะอย่างยื่งถ้าพวกเข้าต้องต่อสู้กับยูยิสสูหญิง เพราะพวกเธอจะรวดเร็ว และเน้นโจมตีจุดอ่อนของบุรุษเพศ
นักมวยไทยชายส่วนใหญ่เห็นว่า ต่อให้พวกเข้าสู้ชนะก็จะถูกมองว่ารังแกผู้หญิง แต่ถ้าเกิดแพ้พวกเขาจะรู้สึกเสียศักดิ์ศรีลูกผู้ชายที่ชกแพ้ผู้หญิง ขณะที่ยูยิสสูหญิงอาชีพที่เคยต่อสู้กับนักมวยไทยชาย พวกเธอมีความเห็นว่า ตอนแรกเธอรู้สึกกังวลเพราะมวยไทยน่ากลัว เข้มแข็งมาก แต่เมื่อสู้กันบนเวทีแล้ว พวกนักมวยไทยชายไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่คิด เธอจะมุ่งทำลายจุดตายบนร่างนักมวยไทย เช่น การเตะจิกอวัยวะสืบพันธุ์นักมวยไทย หรือใช้มือสับกระเดือกพวกเขา ชายหนุ่มพวกนั้นจะอ่อนแอลงทันที ยูยิสสูหญิงมองว่า การที่นักมวยไทยสวมเพียงกางเกงขาสั้นทำให้เธอเห็นจุดอ่อนต่างๆบนร่างพวกเขาถนัด การเตะของมวยไทยรุนแรงแต่ก็เปิดจุดตายของเขา หากสู้ไม่มีกติกาพวกเธอสามารถใช้มือดึงอวัยวะสืบพันธุ์นักมวยไทยออกมาทำลายด้วยวิธีการล้วงกระจับนักมวยแล้วช้อนจับทั้งองคชาตและอัณฑะชายไทยให้มั่น แล้วบีบบิดตามเข็มนาฬิกา
ท่อน้ำ เส้นเอ็น เส้นประสาทและเม็ดไข่จะถูกปลิดจากขั้ว นักมวยไทยชายส่วนใหญ่จะขาดใจตายทันที สำหรับคนที่เข้มแข็งมากๆ พวกเขาอาจจะไม่ตายแต่พวกเขาก็จะสูญเสียความเป็นชายไปตลอดชีพ
ยูยิสสูหญิงยังกล่าวว่า ต่อให้พวกเธอไม่ทำร้ายเครื่องเพศนักมวยไทยแต่พวกเธอสามารถทำร้ายจุดอื่นๆได้เช่น เธอจะจับนักมวยไทยล็อคแล้วใช้มือควักลูกเดือกทิ้ง


== แหล่งข้อมูลอื่น ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==

รุ่นแก้ไขเมื่อ 22:19, 26 ตุลาคม 2553

ยูยิสสู ญี่ปุ่น: 柔術โรมาจิJujutsu ในภาษาไทยมีการเรียกหลายชื่อตั้งแต่ ยูยิสสู ยูยิตสู ภาษาอังกฤษบางครั้งจะเขียนว่า jujitsu หรือ jiujitsu

ประวัติ

ยูยิสสู ในภาษาญี่ปุ่นมีความหมายว่า ศิลปะแห่งความอ่อน เป็นชื่อเรียกของศิลปะการต่อสู้ของญี่ปุ่น โดยบางครั้งอาจจะถูกเรียกด้วยชื่ออื่น ๆ เช่น ยาวารา (yawara) , ไทจุสสุ (taijutsu)

ประวัติที่มาของยูยิสสูนั้นไม่ชัดแจ้ง โดยมากกล่าวกันว่าถูกพัฒนาขึ้นมาในช่วงยุคของสงครามสมัย ระหว่างศตวรรษที่ 8 ถึง 16 เนื่องจากเป็นยุคสมัยสงครามทำให้เกิดวิชาใหม่ ๆ ขึ้นมาจำนวนมาก ในอดีตประเทศญี่ปุ่นมีสำนักยูยิสสูอยู่หลายร้อยสำนัก โดยแต่ละสำนักมีแนวทางในการฝึกของตัวเอง โดยมากจะรับอิทธิพลมาจากศิลปะการต่อสู้โบราญของซามูไรที่เรียกกันว่า ไทจุสสุ ซึ่งหมายถึงศิลปะการใช้ร่างกาย โดยยูยิสสูนั้นเป็นชื่อเรียกกลางที่ใช้เรียก ศิลปะการต่อสู้มือเปล่าอีกชนิดหนึ่งนั่นเอง

สำนักที่มีชื่อเสียงของยูยิสสูก็เช่น ทาเคโนะอุจิ ริว ยูยิสสู (Takenouchi ryu jujutsu) , โยชิน ริว ยูยิสสู (Yoshin ryu jujutsu) และ ยางิว ชินกัน ริว (Yagyu shingan ryu)

ลักษณะการต่อสู้ของยูยิสสูในสมัยก่อนนั้นจะขึ้นอยู่กับสำนักนั้น ๆ โดยมากจะมีทั้งการโจมตี การล๊อค การทุ่ม ในบางสำนักจะมีการฝึกการใช้อาวุธด้วย จนในบางครั้งจะถูกเรียกกันว่าเป็นวิชาที่มีทุกอย่าง การต่อสู้ของยูยิสสูในสมัยก่อนนั้นจะเป็นการต่อสู้แบบไม่มีกติกา และ จะทำทุกวิถีทางเพื่อล้มคู่ต่อสู้

เนื่องจากการต่อสู้ของยูยิสสูมีความรุนแรง ในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นบางครั้งจึงถูกสั่งห้ามไม่ให้มีการทำการฝึก เมื่อไม่มีผู้สืบทอดวิชา ก็ทำให้วิชาจำนวนมากสูญหายไป นอกจากนั้นในยุคต่อมาเมื่อยุคสมัยของสงครามนั้นจบลงไป วิชายูยิสสูก็จึงถูกมองว่ามีความป่าเถื่อน และ รุนแรงเกินไป รวมทั้งมีการพัฒนาศิลปะการต่อสู้ใหม่ ๆ ออกมาทำให้ยูยิสสูเสื่อมความนิยม


ประวัติความเป็นมาในประเทศไทย

ยูยิสสูในประเทศไทย ได้เข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่ก่อนปี พ.ศ. 2464 เช่นกัน แต่ภายหลังเนื่องจากกีฬายูโดเริ่มแพร่หลายทั่วโลก ยูยิสสูถูกมองว่ามีความรุนแรงจนเกินไป จึงได้เกิดการปรับเปลี่ยนการฝึกโดยทั่วไปเป็นการฝึกกีฬายูโด

ถึงแม้ปัจจุบันจะหาหลักฐานถึงการสอนยูยิสสูในไทยได้ค่อนข้างน้อย แต่ก็ยังมีบันทึกถึงเรื่องการฝึกยูยิสสูในช่วงแรก เช่น โรงฝึกแรกที่ชื่อเรนบูกัน และ ห้องยิมของโรงเรียนเทพศิรินทร์ ซึ่งมีการสอนยูยิสสูและมีชื่อเสียงจากการแข่งขันกับโรงเรียนอื่น ๆ โดยมีนักยูยิสสูที่โด่งดังจากการแข่งขัน เช่น ฉลวย อัศวนนท์, ประจันต์ วัชรปาน, จำรัส ศุภวงศ์ , แถม สุดกังวาล, ปิ่น วิจารณ์บุตร, เชษฐ์ วิลิตกุล, สำราญ สุขุม ซึ่งบางคนได้เป็นผู้ที่ได้ไปรับวิชายูโดเข้ามาในประเทศไทยต่อมา

นักยูยิสสู 5 คน ที่ได้รับเลือกไปศึกษายูโดที่โคโดกันประเทศญี่ปุ่นเป็นชุดแรกของไทยได้แก่ 1. อ.จำรัส ศุภวงศ์ 2. อ.ประจันต์ วัชรปาน 3. อ.สมศักดิ์ กิตติสาธร 4. อ.ทนง ชุมสาย 5. อ.นาคา โมโต

ซึ่งในภายหลังโรงฝึกยูยิสสูในประเทศไทยได้เปลี่ยนเป็นยูโดเกือบทั้งหมด พบวิชายูยิสสูจำนวนน้อยที่ยังหลงเหลือโดยเป็นวิชายูยิสสูที่ถูกพัฒนามาใหม่จากอดีตผู้ฝึกยูยิสสูในอดีต เช่น วัชระยูยิสสู และ อิทเท็นยูยิสสู

ยูยิสสูในปัจจุบัน

ถึงแม้เวลาจะผ่านไปอย่างยาวนาน ยูยิสสูก็ยังมีการฝึกและสืบทอดต่อกันมา และ มีพัฒนาการต่อมาทั้งในและนอกประเทศญี่ปุ่น โดยปัจจุบันยูยิสสูของญี่ปุ่นหรือยูยิสสูที่มีการต่อสู้ในแบบดั้งเดิมคือมีการโจมตี หัก ล๊อค ทุ่ม ในบางครั้งจะถูกเรียกว่า "นิฮอน ยูยิสสู" (Nihon jujutsu) เนื่องจากไม่ต้องการให้สับสนกับยูยิสสู ที่มีการพัฒนาขึ้นมาจากบราซิล นั่นก็คือ บราซิลเลี่ยน ยูยิสสู (Jiu-jutsu) ซึ่งเน้นการต่อสู้ในท่านอนมากกว่าแบบดั้งเดิม หากสังเกตจะเห็นว่าในภาษาอังกฤษนั้นบราซิลเลี่ยน ยูยิสสู จะถูกเขียนว่า Jiu-jutsu ซึ่งแตกต่างกับการเขียนแบบญี่ปุ่น (Jujutsu)

นอกจากนั้นยังสามารถแบ่งยูยิสสูแบบญี่ปุ่นออกมาได้อีกสองประเภท คือ ยูยิสสูแบบโบราญ (Koryu jujutsu) และ ยูยิสสูสมัยใหม่ (Gedai jujutsu หรือ Modern Jujutsu)

โดนยูยิสสูแบบโบราณ คือ ยูยิสสูในสำนักที่ถูกพัฒนามาตั้งแต่สมัยยุคสงคราม ส่วนยูยิสสูสมัยใหม่ก็คือยูยิสสูที่เกิดขึ้นมาหลังยุคเมจิ เป็นวิชาถูกพัฒนาขึ้นมาใหม่ โดยมีรากฐานจากยูยิสสูแบบดั้งเดิมอีกทีหนึ่ง

ศิลปะการต่อสู้ที่คล้ายกับโคริวยูยิสสูคือ มวยโบราณของไทยก็ถูกใช้ต่อสู้ในสงครามเหมือนกัน และกระบวนท่าก็มีความใกล้เคียงกันมากซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจจะมีต้นกำเนิดเดียวกัน แต่น่าเสียดายที่มวยไทยปัจจุบันลดความรุนแรงลงกลายมาเป็นกีฬาบนเวที หากจะเปรียบเทียบกันแล้ว มวยไทยเป็นมวยแนวยืนที่แข็งแกร่งที่สุด เป็นมวยที่ใช้แรงปะทะ รุกจู่โจมแสดงความเป็นหยางหรือบุรุษเพศอย่างชัดเจน ขณะที่ยูยิสสูเป็นมวยนอนที่ร้ายกาจ ไม่ใช้แรงปะทะ ใช้การรับแล้วทำลายจุดอ่อนคู่ต่อสู้ ซึ่งแนวนอนและการตั้งรับเป็นลักษณะหยินคือสตรีเพศ จึงกล่าวกันว่า ผู้หญิงใช้เคล็ดวิชายูยิสสูได้ลึกซึ้งมากกว่าผู้ชาย

ยูยิสสูใช้หลักอ่อนทำลายแข็ง

นักมวยไทยหลายคนยอมรับว่า การต่อสู้กับยูยิสสูนั้นอันตรายโดยเฉพาะอย่างยื่งถ้าพวกเข้าต้องต่อสู้กับยูยิสสูหญิง เพราะพวกเธอจะรวดเร็ว และเน้นโจมตีจุดอ่อนของบุรุษเพศ นักมวยไทยชายส่วนใหญ่เห็นว่า ต่อให้พวกเข้าสู้ชนะก็จะถูกมองว่ารังแกผู้หญิง แต่ถ้าเกิดแพ้พวกเขาจะรู้สึกเสียศักดิ์ศรีลูกผู้ชายที่ชกแพ้ผู้หญิง ขณะที่ยูยิสสูหญิงอาชีพที่เคยต่อสู้กับนักมวยไทยชาย พวกเธอมีความเห็นว่า ตอนแรกเธอรู้สึกกังวลเพราะมวยไทยน่ากลัว เข้มแข็งมาก แต่เมื่อสู้กันบนเวทีแล้ว พวกนักมวยไทยชายไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่คิด เธอจะมุ่งทำลายจุดตายบนร่างนักมวยไทย เช่น การเตะจิกอวัยวะสืบพันธุ์นักมวยไทย หรือใช้มือสับกระเดือกพวกเขา ชายหนุ่มพวกนั้นจะอ่อนแอลงทันที ยูยิสสูหญิงมองว่า การที่นักมวยไทยสวมเพียงกางเกงขาสั้นทำให้เธอเห็นจุดอ่อนต่างๆบนร่างพวกเขาถนัด การเตะของมวยไทยรุนแรงแต่ก็เปิดจุดตายของเขา หากสู้ไม่มีกติกาพวกเธอสามารถใช้มือดึงอวัยวะสืบพันธุ์นักมวยไทยออกมาทำลายด้วยวิธีการล้วงกระจับนักมวยแล้วช้อนจับทั้งองคชาตและอัณฑะชายไทยให้มั่น แล้วบีบบิดตามเข็มนาฬิกา ท่อน้ำ เส้นเอ็น เส้นประสาทและเม็ดไข่จะถูกปลิดจากขั้ว นักมวยไทยชายส่วนใหญ่จะขาดใจตายทันที สำหรับคนที่เข้มแข็งมากๆ พวกเขาอาจจะไม่ตายแต่พวกเขาก็จะสูญเสียความเป็นชายไปตลอดชีพ ยูยิสสูหญิงยังกล่าวว่า ต่อให้พวกเธอไม่ทำร้ายเครื่องเพศนักมวยไทยแต่พวกเธอสามารถทำร้ายจุดอื่นๆได้เช่น เธอจะจับนักมวยไทยล็อคแล้วใช้มือควักลูกเดือกทิ้ง


แหล่งข้อมูลอื่น