ดเวน เวด

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ดเวน เวด
เวดในปี 2012
Utah Jazz
ตำแหน่งเจ้าของร่วม
ลีกเอ็นบีเอ
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด (1982-01-17) 17 มกราคม ค.ศ. 1982 (42 ปี)
ชิคาโก, รัฐอิลลินอย U.S.
ส่วนสูงที่ระบุ6 ft 4 in (1.93 m)
น้ำหนักที่ระบุ220 lb (100 kg)
ข้อมูลอาชีพ
ไฮสกูลHarold L. Richards
(Oak Lawn, Illinois)
วิทยาลัยมาร์เคว็ต (2001–2003)
การดราฟต์เอ็นบีเอ2003 / รอบ: 1 / เลือก: 5 โอเวอร์ออล
เลือกโดยไมอามี ฮีท
การเล่นอาชีพ2003–2019
ตำแหน่งชู้ตติ้งการ์ด
หมายเลข3, 9
ประวัติอาชีพ
20032016Miami Heat
2016–2017ชิคาโก บูลส์
2017–2018คลีฟแลนด์แควาเลียส์
20182019ไมอามี ฮีท
สถิติอาชีพ
แต้ม23,165 (22.0 แต้มต่อเกม)
รีบาวด์4,933 (4.7 รีบาวด์ต่อเกม)
แอสซิสต์5,701 (5.4 แอสซิสต์ต่อเกม)
สถิติที่ Basketball-Reference.com

ดเวน เวด หรือชื่อเต็ม ดเวน ไทโรน เวด จูเนียร์ (อังกฤษ: Dwyane Wade หรือ Dwyane Tyrone Wade, Jr. ; เกิด 17 มกราคม ค.ศ. 1982) เป็นอดีตนักบาสเกตบอลอาชีพชาวอเมริกัน เล่นในลีกเอ็นบีเอ มีฉายาว่า แฟลช (Flash) และ ดี-เวด (D-Wade) เวดได้รีไทร์แล้วในปี 2019

วัยเด็ก[แก้]

ดเวน เวด เกิดทางตอนใต้ของเมืองชิคาโก มีพ่อชื่อ ดเวน เวด ซีเนียร์ (Dwyane Wade, Sr.) กับแม่ชื่อ โจลินดา เวด (Jolinda Wade) พ่อแม่เขาหย่ากัน ดเวนอาศัยอยู่กับพ่อและแม่เลี้ยงเขาในเมือง รอบบินส์ [รัฐอิลลินอย] และเขามักพูดเสมอว่ามีพี่สาวของเขาเป็นคนที่พาเขาไปในทางที่ถูกต้อง

ระดับไฮสคูล[แก้]

เวดเรียนไฮสคูลที่ H. L. Richards High School ที่เมืองโอคลอว์น (Oak Lawn) รัฐอิลลินอย เวดไม่ได้ลงเล่นมากนักในปีสอง เพราะลูกพี่ลูกน้องของเขา ดิมิทริส แม็คแดเนีล (Demetris McDaniel) เป็นดาราในทีม เวดตัวสูงขึ้นอีกสี่นิ้วตอนขึ้นปีสาม และเล่นได้เฉลี่ย 20.7 แต้ม 7.6 รีบาวด์ ทำผลงานรวม 100 แอสซิสต์ 73 สตีล

ตอนอยู่ปีสี่ เวดทำได้เฉลี่ย 20.7 แต้ม 11.0 รีบาวด์ และช่วยให้ทีมมีสถิติชนะ 24 แพ้ 5 ได้เข้าชิงแชมป์ในสาย เขาทำลายสถิติของโรงเรียน โดยได้ 676 แต้มและ 106 สตีลภายในหนึ่งฤดูกาล

นอกจากด้านบาสเกตบอลแล้ว เวดยังเป็นนักวิ่งที่มีชื่อในระดับไฮสกูล มีมหาวิทยาลัยเพียงสามแห่งเท่านั้นที่เสนอทุนการศึกษาให้เขา ได้แก่ มหาวิทยาลัยมาร์เคว็ต (Marquette University), มหาวิทยาลัยอิลลินอยส์สเต็ต (Illinois State) และ มหาวิทยาลัยดีพอล (DePaul University)

ระดับมหาวิทยาลัย[แก้]

เวดเล่นให้กับมหาวิทยาลัยมาร์เคว็ตในเมืองมิววอร์คกี ปีแรกเวดไม่ได้ลงเล่นเนื่องจากติดปัญหาด้านการเรียน เมื่อเขามีสิทธิ์ลงเล่นในปีสอง (ปี ค.ศ. 2001-2002) เขาเป็นคนทำคะแนนสูงสุดในทีม ได้คะแนนเฉลี่ย 17.8 แต้มต่อเกม และยังทำได้ 6.6 รีบาวด์และ 3.4 แอสซิสต์ต่อเกม ให้ทีมมีสถิติชนะ 26 แพ้ 7 ซึ่งดีที่สุดนับจากฤดูกาล 1993-94 ในปี 2003 เวดเป็นคนทำคะแนนสูงสุดอีกครั้งที่ 21.5 คะแนนต่อเกม มาร์เคว็ตได้เป็นแชมในสาย Conference USA เป็นครั้งแรกด้วยสถิติชนะ 27 แพ้ 6 และเข้าไปเล่นถึงรอบสี่ทีมสุดท้ายในการแข่งชิงแชมป์ระดับมหาวิทยาลัยของเอ็นซีดับเบิลเอ

ผลงานที่น่าจดจำที่สุดในการแข่งชิงแชมป์ของเหว็ต น่าจะเป็นตอนแข่งชิงในรอบ มิดเวสต์รีเจียนนอลไฟนอล ตอนที่แข่งกับมหาวิทยาลัยเคนทักกีซึ่งถือเป็นทีมในอันดับหนึ่งในสาย เวดทำทริปเปิล-ดับเบิล ได้ 29 คะแนน 11 รีบาวด์ 11 แอสซิสต์ การเล่นที่เด่นของเวดทำให้เขาตัดสินใจเข้าดราฟตัวผู้เล่นเอ็นบีเอในปีนั้น

เมื่อ 28 กันยายน ค.ศ. 2006 มาร์เคว็ต ประกาศจะรีไทร์หมายเลขเสื้อของเวดตอนพักครึ่งของเกมระหว่างมาร์เคว็ตกับมหาวิทยาลัยโพรวิเดนซ์ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2007

โอลิมปิกส์[แก้]

เวดเล่นในโอลิมปิกส์เกมฤดูร้อน ปี ค.ศ. 2004 โดยมี อัลเลน ไอเวอร์สัน, ทิม ดังแคน, เลอบรอน เจมส์, ชอน แมริออน และ คาร์เมโล แอนโทนี ผู้เล่นระดับออลสตาร์ของเอ็นบีเอในทีม ถึงแม้ว่าจะเต็มไปด้วยผู้เล่นระดับดาราแต่ทีมก็ได้เพียงเหรียญทองแดง

เวดถูกเลือกให้ติดบาสเกตบอลทีมชาติสหรัฐอเมริกาจากปี 2006 ถึง 2008 เวดได้แข่งในเวิร์ลแชมเปียนชิพ 2006 ที่ญี่ปุ่นและได้เหรียญทองแดง เวดจะเข้าร่วมแข่งในโอลิมปิกส์เกม 2008 ที่ปักกิ่ง สำหรับปี 2006 เวดได้เป็นกัปตันทีมร่วมกับ เลอบรอน เจมส์ และ คาร์เมโล แอนโทนี

อาชีพการเล่นเอ็นบีเอ[แก้]

เวด ถูกดราฟเป็นอันดับที่ห้าในการดราฟของเอ็นบีเอในปี 2003 โดยไมอามี ฮีท และกลายเป็นดาวในทีมทันที เขาทำได้ 16 คะแนน 4 รีบาวด์ และ 4 แอสซิสต์ในปีแรก และยังทำผลงานได้ดีในรอบเพลยออฟโดยเฉพาะตอนที่เจอกับอินดีอานา เพเซอรส์ในรอบก่อนชิงแชมป์คอนเฟอเรนซ์ตะวันออก แต่ว่าในปีนั้นผู้เล่นหน้าใหม่อีกสองคนคือ คาเมโล แอนโทนี และ เลอบรอน เจมส์ กลับที่สนใจของสื่อมวลชนมากกว่า จากความสำเร็จในปีแรกของ เวด เขาก็ได้รับการคัดตัวเป็นทีมชาติสหรัฐ

ฤดูกาล 2004-05 เมื่อแชคิล โอนีลถูกเทรดจากทีมลอสแอนเจลิส เลเกอรส์มายังฮีท ผลงานของเวดดีขึ้นในทุกด้านไม่ว่าจะเป็นคะแนนเฉลี่ย แอสซิสต์ และ รีบาวด์ ได้รับเลือกในเกมออลสตาร์ ฮีทขยับผลงานจากชนะ 42 แพ้ 40 ในปีก่อนหน้ามาเป็น ชนะ 59 แพ้ 23 หรือดีขึ้นถึง 17 เกม และเป็นสถิติแพ้ชนะที่ดีที่สุดในคอนเฟอเรนซ์ตะวันออก

ในรอบเพลย์ออฟ 2005 รอบแรกกับนิวเจอร์ซีส์ เน็ตส์ ฮีทชนะรวดโดยเวดเล่นได้เฉลี่ย 26.3 คะแนน 8.8 แอสซิสต์ 6.0 รีบาวด์ และเปอร์เซนต์การชู้ต 50% ถือเป็นผู้เล่นคนที่เจ็ดที่สามารถทำ 25 คะแนน 8 แอสซิสต์ 6 รีบาวด์และชู้ตอย่างน้อย 50% (อีกหาคนที่เหลือล้วนอยู่ในหอเกียรติยศได้แก่ บ็อบ คอสี, ออสการ์ รอเบิร์ตสัน, วิลต์ แชมเบอร์เลน, แลร์รี เบิร์ด, แมจิก จอห์นสัน และ ไมเคิล จอร์แดน) เวดทำได้อีกครั้งในรอบสองเอาชนะวอชิงตัน วิซารดส์ 4 เกมรวด ที่ผลงาน 31 แต้ม 7 รีบาวด์ 8 แอสซิสต์ต่อเกม ฮีทไปแพ้ดีทรอยต์ พิสตันส์ (ทีมป้องกันแชมป์) ใน 7 เกมตอนแข่งรอบชิงแชมป์คอนเฟอร์เรนซ์ตะวันออก เวดทำคะแนนได้ 40 และ 36 ในเกม 2 และเกม 3 ขณะตอนที่เป็นไข้ ไซนัสอักเสบ และเจ็บเข่า เขาบาดเจ็บกล้ามเนื้อซี่โครงในเกม 5 ทำให้อดเล่นในเกม 6 และเล่นได้จำกัดในเกม 7 ความพ่ายแพ้ในเกม 7 ส่วนหนึ่งมาจากสภาพที่ไม่สมบูรณ์ของเวด ซึ่งก่อนหน้านี้ฮีทนำพิสตันส์อยู่ 3 ต่อ 2 เกม

ฤดูการ 2005-06 เวดถูกเลือกให้เล่นในเกมรวมดาราเอ็นบีเออีกเป็นครั้งที่สอง และยังเป็นคนที่ทำให้ทีมชนะด้วย เขาเอาลูกที่อัลเลน ไอเวอร์สันชู้ตพลาดยัดกลับลงห่วง ตลอดฤดูกาลเวดเล่นเฉลี่ย 27.2 แต้ม 6.7 แอสซิสต์ 5.7 รีบาวด์ 1.95 สตีล ในรอบเพลย์ออฟ เวดเจ็บสะโพกแต่ก็กลับมาพาทีมชนะในรอบแรก และชนะดีทรอยต์ พิสตันส์ ในรอบชิงคอนเฟอร์เรนซ์ตะวันออก เข้ารอบชิงแชมป์เอ็นบีเอเป็นครั้งแรก

ในรอบชิง ฮีทพบกับดัลลัส แมฟเวอริกส์ เวดยังโชว์ความสามารถของเขา ในเกม 3, 4 และ 5 เวดทำได้ 42, 36 และ 43 คะแนนตามลำดับ พาทีมจากการเป็นรอง 0 ต่อ 2 เกม มานำ 3 ต่อ 2 เกม ฮีทชนะในเกม 6 และคว้าแชมป์เอ็นบีเอ และเวดได้รับรางวัลเอ็มวีพีรอบไฟนอล

ในฤดูกาล 2006-07 เวดได้รับเลือกเล่นในเกมรวมดาราเป็นปีที่สามติดต่อกัน แต่ทีมฮีทก็เริ่มต้นฤดูกาลโดยชนะเพียง 20 แต่แพ้ถึง 25 เกม[1] แต่หลังจากที่แชคหายจากการบาดเจ็บ และโค้ชแพท ไรเลย์ กลับมาหลังผ่าตัดสะโพกและหัวเข่า[2] ฮีทมีท่าทีว่าจะทำผลงานในครึ่งหลังได้ดี แต่ในเกมระหว่างฮีทกับฮิวส์ตัน รอกเก็ตส์เมื่อ 21 กุมภาพันธ์ เวดหัวไหล่ซ้ายเคลื่อนระหว่างการพยายามขโมยลูกจาก เชน แบททิเยร์ และต้องพาออกนอกสนามด้วยรถเข็น[3] เวดต้องตัดสินใจระหว่างการพักฟื้นและกลับมาเล่นใหม่ช่วงปลายฤดูกาล หรือผ่าตัดและรอจนฤดูกาลหน้ากว่าจะเล่นได้อีก[4] เวดประกาศเมื่อ 5 มีนาคมว่าจะเลื่อนการผ่าตัดออกไปและพักเพื่อพยายามกลับมาเล่นให้ทีมให้ทันช่วงเพลย์ออฟ[5]

เวดกลับมาเล่นอีกครั้งในวันที่ 8 เมษายน หลังจากพักไป 23 เกม ในเกมแรกที่กลับมา เวดแข่งกับชาล็อต บ็อบแคทส์ทำได้ 12 คะแนน 8 แอสซิสต์ แต่แพ้ต่อเวลาที่คะแนน 103 ต่อ 111[6] เวดจบฤดูกาลด้วยสถิติเฉลี่ย 27.4 แต้ม 7.5 แอสซิสต์ 4.7 รีบาวด์ และ 2.1 สตีล ต่อเกม[7]

ในรอบเพลย์ออฟ เวด เล่นได้เฉลี่ย 23.5 แต้ม 6.3 แอสซิสต์ 4.8 รีบาวด์ต่อเกม แต่ฮีทก็ตกรอบแรกโดยแพ้ ชิคาโก บุล สี่เกมรวด[8] เวดผ่าตัดไหล่ซ้ายและเข่าซ้ายและจะต้องพักช่วงเดือนแรกของฤดูกาล 2007-08[9]

รางวัลที่ได้รับ[แก้]

  • แชมป์เอ็นบีเอ กับทีมไมอามี ฮีท: ปี 2006
  • รางวัลเอ็มวีพีรอบไฟนอล: ปี 2006
  • ได้รับเลือกเล่นในเกมออลสตาร์: ปี 2005, 2006, 2007
  • เหรียญทองในกีฬาโอลิมปิก กับทีมชาติสหรัฐ ที่ปักกิ่ง ประเทศจีน ปี 2008
  • เหรียญทองแดงในกีฬาโอลิมปิก กับทีมชาติสหรัฐ ที่เอเธนส์ ประเทศกรีซ ปี 2004
  • เหรียญทองแดงในฟีบาเวิร์ลแชมเปียนชิพ กับทีมชาติสหรัฐ ปี 2006
  • แชมป์เอ็นบีเอ กับทีมไมอามี ฮีท ปี 2012

อ้างอิง[แก้]

  1. Miami Heat schedule and game log, espn.com, เข้าถึงข้อมูล 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550
  2. Pacers Storm Back, Beat Heat in Shaq's Return, nba.com, เข้าถึงข้อมูล 12 เมษายน พ.ศ. 2550
  3. Associated Press. Wade injured in Riley's return; Heat lose to Rockets, espn.com, เข้าถึงข้อมูล 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550
  4. Wade considers surgery, espn.com, เข้าถึงข้อมูล 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550
  5. Wade says he'll try to return for playoffs, espn.com, เข้าถึงข้อมูล 5 มีนาคม พ.ศ. 2550
  6. Wade's return doesn't spell win as Heat fall to Bobcats, espn.com, เข้าถึงข้อมูล 8 เมษายน พ.ศ. 2550
  7. Dwyane Wade stats, espn.com, เข้าถึงข้อมูล 18 เมษายน พ.ศ. 2550
  8. Bulls strip Heat's crown, win first series since Jordan era, espn.com, เข้าถึงข้อมูล 27 เมษายน พ.ศ. 2550
  9. Wade might need offseason to recover, espn.com, เข้าถึงข้อมูล 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2550

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]