การไล่ผีที่ไวนูอีโอมาทา
ในเดือนตุลาคม 2007 มีการไล่ผี (mākutu lifting) ที่ชานเมืองไวนูอีโอมาทา (Wainuiomata) นครเวลลิงตัน ประเทศนิวซีแลนด์ เป็นเหตุให้ เจเน็ต โมซิส (Janet Moses) หญิงวัยยี่สิบสองปีถึงแก่ความตาย และหญิงวัยสิบสี่ปีอีกคนบาดเจ็บ ต่อมาในปี 2009 สมาชิกเก้าคนของครอบครัวผู้ตาย ซึ่งทั้งหมดเป็นญาติข้างมารดาหรือคู่สมรสของญาติเหล่านั้น ถูกดำเนินคดีเนื่องในการดังกล่าว[1] ลุงหนึ่งคนของผู้ตาย กับป้าอีกสี่คนของผู้ตาย ถูกพิพากษาว่า ทำให้ผู้ตายจมน้ำตาย[2]
การไล่ผีครั้งนี้ รวมถึงการดำเนินคดีในภายหลัง มีชื่อเพราะส่งผลให้การไล่ผีของพวกเมารี (Māori) ที่เรียก "มากูตู" (mākutu) กลายเป็นที่รับรู้ของสาธารณชนนิวซีแลนด์ และของปัจเจกชนกลุ่มใหญ่ซึ่งเมื่อทราบเรื่องแล้วก็พากันงดเว้นวิธีไล่ผีดังกล่าว นอกจากนี้ ยังทำให้สื่อสนใจการไล่ผีและพวกเมารีอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนด้วย
ภูมิหลัง
[แก้]"มากูตู" เป็นคำในภาษาเมารีซึ่งเป็นนามก็ได้เป็นกริยาก็ได้แล้วแต่บริบท มีความหมายว่า คำสาป เวทมนตร์[3] หรือคุณไสย[4] ตามอักขรวิธีปัจจุบัน คำ "mākutu" เขียนโดยมีเครื่องหมายเมครอน (macron) "ā" ด้วย แต่ในเอกสารประวัติศาสตร์ รวมถึงเอกสารปัจจุบันบางฉบับ เช่น หนังสือพิมพ์ ไม่ใช้เครื่องหมายดังกล่าว เพราะข้อจำกัดทางเทคนิค
ตามประวัติศาสตร์แล้ว เคยมีพระราชบัญญัติห้ามหมอผี ค.ศ. 1907 (Tohunga Suppression Act 1907) ซึ่งตราขึ้นด้วยแรงจูงใจทางการเมือง ห้ามกิจกรรมของหมอผีหรือที่เรียก "โทฮังกา" (tohunga) แต่พระราชบัญญัตินี้ยกเลิกไปเมื่อปี 1962
เหตุการณ์
[แก้]เจเน็ต โมซิส จิตวิปริตมาแต่เดิมแล้ว เธอสูญเสียยาย และความสัมพันธ์ของเธอกับคู่รักซึ่งมีบุตรด้วยกันสองคนก็ไม่ราบรื่น อนึ่ง ครอบครัวของเธอใช้รูปสิงโตเป็นสัญลักษณ์ และสมาชิกคนหนึ่งของครอบครัวก็สักรูปสิงโตไว้บนกายพร้อมข้อความว่า "ครอบครัวกลมเกลียว" (Family united) ด้วย[5] ต่อมา โรงแรมแห่งหนึ่งในเมืองเกรย์ทาวน์ (Greytown) ปลดรูปปั้นสิงโตออก และการปลดนี้ส่งผลต่อพฤติกรรมของโมซิส ครอบครัวของเธอว่า นับแต่นั้นเธอก็ "ทำตัวเหมือนสิงโต"[6] ภายหลัง ศาลฟังคำให้การของพยานผู้เชี่ยวชาญว่า เธอมี "ความผิดปรกติทางจิตวิทยาหรือจิตเวชเป็นพื้นอยู่แล้ว" (underlying psychiatric or psychological disorder)[7]
ความวิปริตของโมซิสทำให้ครอบครัวเป็นกังวล พวกเขาจึงพากันปรึกษาทีมี ราฮี (Timi Rahi) ซึ่งเป็นแก่บ้าน หรือที่ภาษาเมารีเรียก "คาอูมาทูอา" (kaumātua) ราฮีสวดมนต์วิงวอนให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเหลือเธอ และแนะนำให้ครอบครัวเธอเอารูปสิงโตกลับคืนที่เดิม ครอบครัวก็ทำตาม ราฮียังชี้แจงต่อครอบครัวนี้ด้วยว่า เป็นหน้าที่ของพวกเขาที่จะต้องรักษาเธอ[6] เมื่อราฮีกลับ ครอบครัวของโมซิสซึ่งญาติข้างมารดาเป็นใหญ่นั้นจึงจัดพิธีไล่ผีที่ห้องแถวซึ่งยายผู้วายชนม์ของโมซิสเคยอยู่ พิธีดังกล่าวทำกันแบบนั่งเทียน เพราะไม่มีใครในบรรดาผู้ร่วมพิธีมีความรู้เกี่ยวกับการไล่ผีแบบมากูตูเลย ระหว่างพิธีนั้น มีการใช้น้ำอย่างมากเพื่อทำให้พรมเปียกโชก ถึงขนาดที่ต้องเจาะรูเล็ก ๆ ที่พื้นเพื่อระบายน้ำออก ชาวบ้านใกล้เรือนเคียงให้การว่า ได้ยินเสียงกระทืบตึงตังเป็นจังหวะทั้งคืน[8]
การพิจารณาคดีในภายหลังปรากฏว่า ญาติทั้งหลายช่วยกันกรอกน้ำเข้าเบ้าตาและลำคอของเธอเพื่อไล่ผี[9] ครั้นเวลาประมาณ 8:00 นาฬิกาของวันที่ 12 ตุลาคม 2007 โมซิสตายเพราะจมน้ำ บิดาของเธอใช้เวลาทั้งคืนเดินทางจากเมืองไครสต์เชิร์ชมาสมทบกับบุตรสาว เขามาถึงเมื่อเวลา 16:30 นาฬิกาของวันนั้น จึงได้รับทราบการตายของบุตรสาวในเวลาดังกล่าว[5] ส่วนเจ้าพนักงานตำรวจได้รับแจ้งเรื่องเมื่อการตายผ่านไปแล้วเก้าชั่วโมง[10]
คดี
[แก้]การพิจารณาคดีซึ่งเกิดขึ้นในภายหลังนั้นมุ่งประเด็นไปที่ความยินยอมของผู้ตายในอันที่จะเข้าร่วมการไล่ผี การพิจารณาดำเนินไปยี่สิบเก้าวัน พยานหนึ่งร้อยเอ็ดปากขึ้นเบิกความ และส่วนใหญ่ให้การเกี่ยวกับแบบแผนทางวัฒนธรรมและศาสนา คณะลูกขุนประชุมปรึกษาเป็นเวลายี่สิบชั่วโมง ก่อนวินิจฉัยว่า ญาติข้างมารดาห้าคนจากทั้งหมดแปดคนของผู้ตายมีความผิดฐานฆ่าคน ส่วนสมาชิกอีกหนึ่งคนของครอบครัวผู้ตายซึ่งถูกตั้งข้อหาเช่นกันนั้นได้รับการยกฟ้องระหว่างพิจารณาคดี[10]
ไมก์ อันทูโนวิก (Mike Antunovic) ทนายฝ่ายจำเลย โต้แย้งว่า จำเลยไม่มีเจตนาฆ่า แต่แท้จริงแล้วประสงค์จะช่วยเหลือผู้ตาย[9] นักโทษทั้งหมดจึงไม่ถูกพิพากษาจำคุก แต่ให้ทำงานบริการชุมชนแทน[11]
ระหว่างพิจารณา ชาร์ลี โมซิส (Charlie Moses) ปู่ของผู้ตาย ให้การว่า "เราเถียงกันจบไปแล้ว พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ทำอะไรกันอยู่ ผมบอกแล้วว่า อย่าทำ แต่เขาก็ยังทำกันอยู่ ความผิดพลาดข้อนี้...พวกเขาต้องชดใช้ไปทั้งชีวิต ผมแช่งให้เขาเจอเหมือนกัน"[12]
ตามระเบียบปฏิบัติทางคดีในประเทศนิวซีแลนด์ ชื่อเสียงเรียงนามของบุคคลจำนวนหนึ่งซึ่งเกี่ยวข้องในคดีนั้นถูกปกปิดไว้เพื่อมิให้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้เสียหายที่อายุต่ำกว่าเกณฑ์แพร่งพราย
การไต่สวนเพื่อแสดงสาเหตุการตายในขั้นตอนสุดท้ายนั้นให้คำแนะนำว่า ครอบครัวพึงปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญหรือแก่บ้านที่มีประสบการณ์ก่อนลงมือทำพิธี[13] โพอู เทมารา (Pou Temara) ศาสตราจารย์ภาษาและประเพณีเมารีประจำมหาวิทยาลัยไวกาโต (Waikato University) กับราวีรี ทาโอนูอี (Rawiri Taonui) หัวหน้าสำนักการศึกษาเมารีและท้องถิ่น มหาวิทยาลัยแคนเทอร์เบรี (Canterbury University) กล่าวว่า คำแนะนำดังกล่าวมีเหตุผลดี แต่พวกเมารีก็คงไล่ผีตามประเพณีต่อไป[14]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ "Makutu: Curse-lifting a family tradition". The Dominion Post. 8 June 2009. สืบค้นเมื่อ 30 November 2011.
- ↑ "Jury returns with makutu trial verdicts". The Dominion Post. 12 June 2009. สืบค้นเมื่อ 30 November 2011.
- ↑ Witchcraft
- ↑ "makutu". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-07-22. สืบค้นเมื่อ 2013-12-10.
- ↑ 5.0 5.1 "Father wasn't told of makutu death". The Dominion Post. 23 May 2009. สืบค้นเมื่อ 30 November 2011.
- ↑ 6.0 6.1 Palmer, Rebecca (15 June 2009). "The devil's in the detail". The Dominion Post. สืบค้นเมื่อ 30 November 2011.[ลิงก์เสีย]
- ↑ "Makutu victim probably mentally ill". The Dominion Post. 28 May 2009. สืบค้นเมื่อ 30 November 2011.
- ↑ "Carpet soaked during curse-lifting". The Dominion Post. 26 May 2009. สืบค้นเมื่อ 30 November 2011.
- ↑ 9.0 9.1 "Anger over manslaughter verdicts". One News / NZPA. 12 June 2009. สืบค้นเมื่อ 25 October 2011.
- ↑ 10.0 10.1 "A woman drowned by too much love". The Dominion Post. 13 June 2009. สืบค้นเมื่อ 30 November 2011.
- ↑ "No jail terms for makutu manslaughter culprits". The Dominion Post. NZPA. 14 August 2009. สืบค้นเมื่อ 30 November 2011.
- ↑ "Deadly curse verdict: five found guilty". The Dominion Post. 13 June 2009. สืบค้นเมื่อ 30 November 2011.
- ↑ "Janet Moses died from 'accidental drowning'". Stuff.co.nz. NZPA. 12 August 2010. สืบค้นเมื่อ 30 November 2011.
- ↑ Ash, Julie (14 August 2010). "Moses case 'won't stop makutu lifting'". The Dominion Post. สืบค้นเมื่อ 30 November 2011.