โรบิน ธิก

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก Robin Thicke)
โรบิน ธิก
ธิก ในปี 2019
ข้อมูลพื้นฐาน
ชื่อเกิดโรบิน ชาลส์ ธิก
รู้จักในชื่อธิก
เกิด (1977-03-10) มีนาคม 10, 1977 (47 ปี)
แนวเพลงบลู-อายด์โซล
อาชีพนักร้อง ,นักแสดง
ช่วงปี1994–ปัจจุบัน
ค่ายเพลงNu America, Star Trak, Interscope
เว็บไซต์www.robinthicke.com

โรบิน ชาลส์ ธิก (อังกฤษ: Robin Charles Thicke) ( (/ˈθɪk/) เกิดเมื่อวันที่ 10 มีนาคม ค.ศ. 1977 เป็นนักร้อง นักแต่งเพลง นักดนตรี เป็นนักแสดงในบางโอกาส

ประวัติ[แก้]

โรบิน ชาลส์ ธิก เป็นลูกของนักแสดง นักร้องสาว กลอเรีย โลริง และนักแสดงชาวแคนาดา อลัน ธิก ในวัยเด็กเขาสนใจในดนตรีโดยเฉพาะเพลงโซลคลาสสิกอย่าง มาร์วิน เกย์ และสตีวี วันเดอร์ ที่มีอิทธิพลต่อเขา เขาตัดสินใจที่จะเข้าสู่วงการดนตรีเมื่ออายุได้ 16 ปี ธิกกลายเป็นเพื่อนกับประธานค่ายอัพทาวน์เรคคอร์ด อังเดร ฮาร์เรลล์ และมีสัญญากับนูอเมริกาเรคคอร์ด ค่ายย่อยของอินเตอร์สโคปเรคคอร์ดส

ธิกได้เขียนเพลงดังให้กับนักร้องเพลงป็อปอย่าง จอร์แดน ไนต์ เขียนและร่วมโปรดิวซ์ให้กับอัลบั้มของเขาเอง ,อัชเชอร์ ,คริสตินา อากีเลรา ,มายา ,แบรนดี ,ไมเคิล แจ็กสัน และ มาร์ก แอนโธนี ต่อมาในปี 2005 เขาได้รับรางวัลแกรมมีครั้งแรกในสาขาเพลงร่วมงานยอดเยี่ยมในอัลบั้มของอัชเชอร์ที่ชื่อ Confessions และในฐานะศิลปินเขาบันทึกเสียงและแสดงภายใต้นามสกุลของเขา "ธิก" (อังกฤษ: Thicke) ต่อมาเดือนมิถุนายน 2005 เขาแต่งงานกับนักแสดงสาว พอลลา แพ็ตตัน คนที่เขาเริ่มออกเดทตั้งแต่อายุ 16 ปี และในปี 2015 ทั้งคู่ก็หย่าร้างกันในเวลาต่อมา

อาชีพทางด้านดนตรี[แก้]

ในปี 2000 เขาออกอัลบั้มเพลงโดยใช้ชื่อว่า "ธิก" (อังกฤษ: Thicke) โดยใช้ชื่ออัลบั้มแรกว่า Cherry Blue Skies ที่มีเพลงสไตล์บลู-อายด์โซล มากกว่าแนวเพลงป็อป โดยในปี 2002 เขาออกซิงเกิลแรกที่ชื่อ "When I Get You Alone" ที่มีท่อนแซมเปิ้ลมาจากเพลงของวอลเตอร์ เมอร์ฟี ในเพลง "A Fifth of Beethoven" ในมิวสิกวิดีโอเขามีภาพลักษณ์ไม่โกนหนวดเครา ผมยาว ดูเถื่อน ๆ ปั่นจักรยายอยู่บนถนนในแมนฮัตตัน ได้รับการเปิดพอควรทางช่อง เอ็มทีวี 2 และ BET และทางสถานีวิทยุประเภทเออร์เบิร์น และเพลงประสบความสำเร็จบนตารางอันดับเพลงทั่วโลก สามารถขึ้นท็อป 20 ในออสเตรเลีย เบลเยี่ยม และอิตาลี และติดท็อป 10 ในนิวซีแลนด์ และท็อป 3 ในเนเธอร์แลนด์ และเพลงยังบรรจุอยู่ในเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Agent Cody Banks

ความสำเร็จนี้จึงทำให้อัลบั้มเปลี่ยนชื่อมาเป็น A Beautiful World เนื่องจากการออกซิงเกิล 2 ที่ชื่อ "Brand New Jones" อัลบั้มไม่ได้รับการประชาสัมพันธ์มาก เข้าอันดับบิลบอร์ด 200 ที่อันดับ 152 มียอดขาย 63,000 ชุดในอเมริกา[1]

ในปี 2005 เขาเป็นแขกรับเชิญในเพลงรีมิกซ์ของวิลล์ สมิธ ในเพลง "Switch" หลังจากที่เขาเซ็นสัญญากับค่ายเน็ปจูนส์ เขาเริ่มทำงานอัลบั้มชุดที่ 2 ชุด The Evolution of Robin Thicke มีซิงเกิลแรกคือ "Wanna Love U Girl" ที่มีโปรดิวเซอร์คือ ฟาร์เรลล์ วิลเลียมส์ โดยภาพลักษณ์ใหม่ของเขาคือตัดผมยาวออกไป หลังจากนั้นเกือบปีหลังออกซิงเกิลจึงออกอัลบั้มเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม ค.ศ. 2006 ซึ่งมีเพลงที่ร่วมงานกับ ลิล เวย์น และเฟธ อีแวนส์ (ในเพลง "Got 2 Be Down") รวมถึงฟาร์เรลล์ เขายังโปรโมตอัลบั้มโดยการทัวร์ร่วมกับอินเดีย.อารีย์ และเปิดคอนเสิร์ตให้กับจอห์น เลเจนด์ ในปลายปี 2006

ซิงเกิลที่ 2 เป็นเพลงบัลลาดที่ชื่อ "Lost Without U" ซึ่งเขาได้ร้องเพลงในรายการของโอปราห์ วินฟรีย์ และอเมริกันไอดอล เพลงนี้ขึ้นชาร์ทได้สูงสุดอันดับ 14 บนชาร์ทบิลบอร์ดฮ็อต 100 และอันดับ 1 บนชาร์ทเพลงฮ็อต อาร์แอนด์บี/ฮิปฮอป ถือเป็นศิลปินคนผิวขาวที่ขึ้นอันดับ 1 คนแรกหลังจอร์จ ไมเคิลเคยทำได้ไว้[2] เขาแสดงเพลงนี้ในรายการ Good Morning America และแสดงในมิวสิกวิดีโอร่วมกับภรรยาของเขา พอลลา แพ็ตตัน

ในอัลบั้มนี้มียอดขายในอเมริกาอยู่มากกว่า 1.5 ล้านชุด หลังจากนั้นได้ออกขายใหม่ในรูปแบบ Deluxe Edition ที่มีเพลงใหม่ 3 เพลง ออกวาขายเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2007 ตัวอัลบั้มสามารถขึ้นชาร์ทอันดับ 5 บนบิลบอร์ด 200 ได้ และอันดับ 1 บนชาร์ทบิลบอร์ดท็อปอาร์แอนด์บี/ฮิปฮอปอัลบั้มส์[1] ซึ่งต่อมาในเดือนมีนาคม 2007 ทาง RIAA ออกมายืนยันยอดการขายในระดับแผ่นเสียงทองคำ ซึ่งก็ออกซิงเกิลที่ 3 ต่อมาคือ "Can U Believe" ขึ้นชาร์ทเพลงบิลบอร์ดฮ็อตอาร์แอนด์บี/ฮิปฮอป ที่อันดับ 15 และอันดับ 99 บนบิลบอร์ด 100[2] [3] ต่อมาได้ออกซิงเกิลที่ 4 ที่ชื่อ "Got 2 Be Down" ขึ้นชาร์ท Billboard's Hot R&B/Hip-Hop Singles & Tracks ที่อันดับ 60[2]

ธิกออกอัลบั้มชุดที่ 3 ชุด Something Else เมื่อวันที่ 30 กันยายน ค.ศ. 2008[4] ขึ้นชาร์ทบิลบอร์ด 200 ได้ที่อันดับ 3 มีซิงเกิลแรกคือ "Magic" และเพลงนี้ยังเป็นเพลงทางโฆษณาทางโทรทัศน์ในยุโรปของโทรศัพท์มือถือซัมซุง

ธิกกับอัลบั้มชุดที่ 6 ด้วยเพลง Blurred Lines ร่วมกับ ที.ไอ. และ ฟาร์เรลล์ วิลเลียมส์ เมื่อวันที่ 26 มีนาคม ค.ศ. 2013 ในรูปแบบดิจิดอลดาว์นโหลดทั่วโลกผ่าน iTunes เพลงนี้ประสบความสำเร็จที่สุด และดีกว่า Lost Without U ในระดับหนึ่ง ด้วยการแต่งกายแนวโมเดล แนวดนตรีร่วมสมัยที่ฟาร์เรลล์ โปรดิวไว้โดนใจวัยรุ่นทั่วโลกและทำได้ดีกว่าเพลง Wanna Love U Girl อีกด้วย และ Music Video ได้ Paula Patton มาร่วมใน MV นี้ด้วย Blurred Lines ได้ขึ้นชาร์ตอันดับ 1 ถึง 9 ประเทศ รวมถึงสหรัฐอเมริกาด้วย มียอดดาว์นโหลดถึง 11.63 ล้านก๊อปปี้ทั่วโลกและเป็นสุดยอดเพลงแห่งปี[5] โดยในตอนนี้ก็มีซิงเกิลใหม่ออกมานั่นก็คือ Give It 2 U และ Feel Good ออกมาแล้ว

ธิกออกอัลบั้มชุดที่ 7 ในชื่ออัลบั้มว่า พอลล่า ซึ่งหลังจากการใช้ชีวิต กับ Paula Patton นานถึง 9 ปี ซึ่งแยกทางกันเมื่อกุมภาพันธ์ 2014.[6] ทิคเริ่มความคิด ที่จะออกอัลบั้มนี้ เพื่อจะสื่อถึงพอลล่า จึงใช้อัลบั้มนี้ตามมา ด้วยซิงเกิล Get Her Back เปิดตัวในเดือนพฤษภาคม 2014 ที่งานBillboard Music Awardsและปล่อยดาว์นโหลดในเวลาต่อมา [7][8][9][10]

ผลงานอัลบั้ม[แก้]

  • Cherry Blue Skies (2002)
  • A Beautiful World (2003)
  • The Evolution of Robin Thicke (2006)
  • Something Else (2008)
  • Sex Therapy (2009)
  • Love After War (2011)
  • Blurred Lines (2013)
  • พอลล่า (2014)

อ้างอิง[แก้]

  1. 1.0 1.1 "Artist Chart History - Robin Thicke Albums". Billboard. สืบค้นเมื่อ 2006-09-29.
  2. 2.0 2.1 2.2 "Artist Chart History - Robin Thicke Singles". Billboard.com. สืบค้นเมื่อ 2007-02-27.
  3. "Thicke Penning New Songs As Current Set Sizzles". Billboard.com. สืบค้นเมื่อ 2007-03-04.
  4. "Thicke Sharpens His Soul On 'Magic'". Billboard.com. สืบค้นเมื่อ 2008-04-16.
  5. http://www.mediatraffic.de/tracks-2013.htm
  6. TMZ Staff (24 February 2014). "Robin Thicke's Wife Enough Is Enough ... We're Separating". TMZ.com. TMZ. สืบค้นเมื่อ 17 June 2014.
  7. Stutz, Colin (19 May 2014). "Robin Thicke Debuts 'Get Her Back' at Billboard Music Awards (Video)". Billboard.com. Billboard. สืบค้นเมื่อ 17 June 2014.
  8. "Get Her Back - Single on iTunes". itunes.apple.com. Apple. สืบค้นเมื่อ 17 June 2014.
  9. "Get Her Back on Amazon". amazon.com. Amazon. สืบค้นเมื่อ 17 June 2014.
  10. "Get Her Back on Google Play". play.google.com. Google. สืบค้นเมื่อ 17 June 2014.