อินทผลัม
อินทผลัม | |
---|---|
ต้นอินทผลัม | |
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ | |
อาณาจักร: | Plantae |
ไฟลัม: | Streptophyta |
ชั้น: | Equisetopsida |
ชั้นย่อย: | Magnoliidae |
อันดับ: | Arecales |
วงศ์: | Arecaceae |
สกุล: | Phoenix |
สปีชีส์: | P. dactylifera |
อินทผลัม [อิน-ทะ-ผะ-ลำ][1] เป็นพืชตระกูลปาล์ม ในวงศ์ Arecaceae ชื่อสามัญ Date palm, Dates มีหลายสายพันธุ์ เติบโตได้ดีในเขตที่มีอากาศร้อนและแห้งแล้งอย่างทะเลทราย ทว่า คนไทยมักเรียก อินทผาลัม เป็นพืชเก่าแก่ของตะวันออกกลาง อ้างอิงจากประวัติศาสตร์ว่าพบแถบเมโสโปเตเมีย หลังมนุษย์ได้อพยพไปตั้งรกรากที่นั่นและมีพืชอย่างอินทผลัมซึ่งทนต่อสภาพแห้งแล้งแบบทะเลทราย โดยใช้ลำต้นสร้างบ้านเป็นที่อยู่อาศัย ขณะที่ผลเป็นอาหารทั้งของคนและอูฐ ปัจจุบันไม้ผลชนิดนี้ มีสรรพคุณทางยาและมีประโยชน์มหาศาล
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
[แก้]อินทผลัมเป็นพืชตระกูลปาล์ม มีชื่อเรียกท้องถิ่นแตกต่างกันไป อาหรับ เรียก ตัมร มลายู เรียก กุรหม่า มีหลายสายพันธุ์ มีถิ่นกำเนิดในแถบตะวันออกกลาง สามารถเจริญเติบโตได้ดีในภูมิภาคที่มีอากาศร้อนและแห้งแล้งแบบทะเลทราย ลำต้นมีความสูงประมาณ 30 เมตร มีขนาดลำต้นประมาณ 30–50 เซนติเมตร มีใบติดอยู่บนต้นประมาณ 40–60 ก้าน ทางใบยาว 3–4 เมตร ใบเป็นแบบขนนก ใบย่อยพุ่งออกหลายทิศทาง ช่อดอกจะออกจากโคนใบ ผลทรงกลมรี ออกเป็นช่อ ความยาวผล 2-4 เซนติเมตร มีรสหวานฉ่ำ รับประทานได้ทั้งผลดิบและผลสุก โดยผลสดจะมีสีเหลืองไปจนถึงสีส้ม เมื่อแก่จัดจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลถึงน้ำตาลเข้ม (ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์) ทั้งนี้ พัฒนาการของผล แบ่งเป็น 4 ระยะ ได้แก่ ระยะผลดิบ ระยะสมบูรณ์ ระยะสุกแก่ ระยะผลแห้ง โดยผลสุกสามารถนำไปตากแห้งเก็บไว้รับประทานได้หลายปี และจะมีรสชาติหวานจัดเหมือนกับนำไปเชื่อมด้วยน้ำตาล[2]
ต้นกำเนิดและการกระจายพันธุ์
[แก้]อินทผลัมเป็นพืชพื้นเมืองของคาบสมุทรอาหรับไปจนถึงปากีสถานตอนใต้ เช่นในมลรัฐรอบอ่าวเม็กซิโก อิหร่าน อิรัก โอมาน ปากีสถาน ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย การปลูกอินทผลัมได้มีการเพาะปลูกมาหลายพันปี โดยจะเติบโตได้ในภูมิอากาศแบบอบอุ่นชื้นกึ่งเขตร้อน (subtropical biome) มีการใช้ประโยชน์ในด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม เช่น อาหารสัตว์ ยารักษาโรค เชื้อเพลิง และอาหาร มนุษย์ได้ทำการกระจายพันธุ์ไปปลูกตามที่ต่าง ๆ ตามความเหมาะสม เช่นใน อัฟกานิสถาน แคลิฟอร์เนีย จีน อียิปต์ เวียดนาม สเปน และอื่นๆ เพื่อประโยชน์ทางการค้า[3]
ส่วนต่าง ๆ และคุณสมบัติ
[แก้]ส่วนของพืช | การใช้ประโยชน์ |
---|---|
เมล็ด | ใช้ทำเป็นอาหารสำหรับสัตว์ หรือลูกปัดในเครื่องประดับ นำมาสกัดน้ำมันและทำเป็นสบู่ได้ |
ผลไม้ | มีฤทธิ์ทางยา ใช้ในการรักษาอาการเจ็บคอ หวัด หรือโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร เช่นกระเพาะอาหาร หรือลำไส้ |
ลำต้น | นำไม้มาเป็นเชื้อเพลิงได้ |
เส้นใยจากลำต้น | นำมาผลิตเป็นเชือกได้ หรือนำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ได้ เช่น ตะกร้า อานอูฐ กระเป๋า กระดาษ หรือเฟอร์นิเจอร์ |
ใบไม้ | สามารถนำใบแห้งมามุงหลังตา หรือทำเป็นผนังกั้น สำหรับการบังแดด |
แผ่นใบ และก้านช่อดอก | ใช้เป็นเชื้อเพลิง |
ไส้ไม้ (Palm Pith) | ทำเป็นแป้งอินผลัมได้ |
ต้นอินผลัม | ใช้ในการตกแต่งพื้นที่ ทำให้บริเวณนั้นแปรสภาพเป็นทะเลทราย |
สารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ (Bioactive Compounds) โดยการใช้ประโยชน์ส่วนมากจะเป็นส่วนของผลและเมล็ด เนื่องจากมีคุณค่าทางโภชนาการที่สูง และมีคุณสมบัติทางยา นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติในการออกฤทธิ์ทางชีวภาพ ซึ่งมีศักยภาพในการพัฒนายารักษาโรคและใช้ในผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเครื่องสำอางได้อีกด้วย โดยที่ผลจะมีส่วนประกอบทางเคมีดังนี้ Phenolic acids, Flavonoids (Quercetin, apigenin, rutin), Carotenoids (Beta-carotene, lycopene), Anthocyanins, Fatty acid (myristic, stearic, linolenic acids) และ Non-starch polysaccharides ส่วนในเมล็ดของอินทผลัมจะมีส่วนประกอบทางเคมีที่แตกต่างจากในผลเล็กน้อยคือมี Flavonoids ที่มีความหลายหลายมากกว่า เช่น Epicatechin, catechin, procyanidlins, naringenin, luteolin, chrysoeriol และ tricin ใน Carotenoids จะมี Beta-carotene และ luten มี Tocopherols ใน Fatty acid ประกอบด้วย oleic acid, palmitic acid และ lauric acid และยังมี Carboxylic acid ซึ่งแตกต่างจากในผล แต่ในเมล็ดจะไม่มีส่วนของ Non-starch polysaccharides[5]
การใช้ประโยชน์และการผลิตอินทผลัมในประวัติศาสตร์โลก
[แก้]แม้ว่าถิ่นกำเนิดที่แท้จริงของอินทผลัม (Phoenix dactylifera L.) จะสูญหายไปตามกาลเวลา แต่ก็สามารถยืนยันได้ว่ามีการเพาะปลูกอินทผลัมมาตั้งแต่ 4,000 ปี ก่อนคริสต์ศักราช โดยพบหลักฐานการนำอินทผลัมไปใช้ในการก่อสร้างวิหารเทพเจ้าจันทร์ใกล้กับเมืองอูร์ในอิรักใต้(Popenoe, 1913; 1973)
ข้อมูลข้างต้นได้รับการยืนยันจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี เช่น ซากปรักหักพังของชาวสุเมเรียน อคาเดียน และบาบิโลน แสดงให้เห็นถึงการใช้ต้นปาล์มและใบปาล์มมุงหลังคา นอกจากนี้ ยังมีการพบบันทึกที่มีการใช้อินทผลัมเพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์ นอกเหนือจากคุณค่าทางอาหาร นอกจากนี้ยังพบว่าอินทผลัมมีความเกี่ยวข้องกับศาสนาต่าง ๆ เช่น ศาสนายิว ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากศาสดาอับราฮัม ซึ่งเกิดและเติบโตในเมืองอูร์อันเก่าแก่ซึ่งเป็นที่ปลูกอินทผาลัม
โดยในชาวยิวถือว่าวันที่นี้เป็นหนึ่งในผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งเจ็ดและใช้ในการเฉลิมฉลอง และในศาสสนาอิสลามมีการพูดถึงอินทผลัมมาที่สุด โดยในอัลกุรอานได้มีการกล่าวว่าศาสดามูฮัมหมัดกล่าวว่าทรัพย์สินที่ดีที่สุดคืออินทผาลัม ซึ่งอินทผลัมสามารถรักษาอาการผิดปกติได้หลายอย่าง และเขาได้เรียกร้องให้ชาวมุสลิมกินอินทผลัมและดูแลอินทผาลัม
ตามการบันทึกข้อมูลขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) กล่าวว่าอินผลัมถือว่าเป็นพืชอุตสหกรรมการเกษตรที่มีผลผลิตราว 5.4 ล้านเมตริกตัน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากพื้นที่การเกษตรแถบเอเชียตะวันตกเฉียงใต้และแอฟริกาเหนือซึ่งมีสภาพแวดล้อมแห้งแล้ง เป็นพืชที่ให้ผลไม้ในราคาสูง และกล่าวได้ว่าเป็นพืชที่มีความสำคัญในพื้นที่ทะเลทราย
การผลิตอินทผลัมมีการขยายตัวขึ้นในทุกปี ซึ่งผู้ที่ผลิตอินทผลัมรายใหญ่ของโลกจะอยู่ในบริเวณตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ การกระจายพันธุ์ของอินทผลัมจะแยกตามประเทศ สำหรับประเทศผู้ที่ผลิตอินทผลัมเป็นหลัก โดยเฉลี่ยในช่วงปี พ.ศ. 2542-2544 อิหร่าน ซาอุดีอาระเบีย และอิรัก มีพื้นที่เก็บเกี่ยวเกือบครึ่งหนึ่งของโลก ตัวเลขทางการค้าระบุว่าประมาณร้อยละ 93 ของอินทผลัมที่เก็บเกี่ยวนั้นถูกใช้ในท้องถิ่น และอินทผลัมเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่ใช่พันธุ์ส่งออกที่มีชื่อเสียง
ประวัติศาสตร์บ่งบอกว่าอินทผลัมเป็นพืชดั้งเดิมของโลกเก่า (หมายถึงยุโรป แอฟริกา และเอเชีย) เพิ่งยุคหลังๆ นี้เองที่อินทผลัมถูกนำมาปลูกเป็นสวนเพาะพันธุ์สมัยใหม่ในสหรัฐอเมริกา อิสราเอล และประเทศแถบซีกโลกใต้
ในปี พ.ศ. 2544 ประเทศผู้ผลิตอินทผลัมห้าอันดับแรก ได้แก่ อียิปต์ อิหร่าน ซาอุดีอาระเบีย ปากีสถาน และอิรัก คิดเป็นประมาณร้อยละ 69 ของการผลิตทั้งหมด หากรวมห้าประเทศที่สำคัญที่สุดในลำดับถัดไป เช่น แอลจีเรีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซูดาน โอมาน และโมร็อกโก เปอร์เซ็นต์นี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 90 เปอร์เซ็นต์ สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการผลิตอินทผาลัมส่วนใหญ่ของโลกกระจุกตัวอยู่ในไม่กี่ประเทศ ซึ่งอยู่ในภูมิภาคเดียวกัน[6]
ประเทศผู้ผลิตอินทผลัมรายใหญ่ในปัจจุบัน และประโยชน์ของอินทผลัม
[แก้]ประเทศผู้ที่มีการมูลค่าผลิตทางการเกษตรที่มาหที่สุดในปี พ.ศ. 2566 คือ ประเทศซาอุดิอาราเบีย ซึ่งมีมูลค่า6,099,301 พันเหรียญสหรัฐ รองลงมาเป็น อิหร่าน อิรัก ตูนีเซีย และปากีสถานตาลัมดับ ดังแสดงตามตารางด้านล่างดังนี้[6]
ประเทศ | มูลค่าผลผลิตทางการเกษตร (พันเหรียญสหรัฐ) |
---|---|
ซาอุดิอาราเบีย | 6099301 |
อิหร่าน | 5209784 |
อิรัก | 617125 |
ตูนีเซีย | 451322 |
ปากีสถาน | 410953 |
ที่มา : FAOSTAT |
นอกจากประโยชน์ที่กล่าวมาในหัวข้อก่อน ๆ ในปัจจุบันมีการวิจัยว่าสารในอินทผลัมมีประโยชน์ในหลากหลายด้าน โดยมีความมุ่งหวังไปในด้านที่เกี่ยวข้องกับเครื่องสำอาง โดยมีรายงานว่าสารในอินทผลัมมีส่วนช่วย ดังนี้[5]
- ป้องกัน UV
- ลดโรคทางผิวหนัง
- ป้องกันการถูกทำลายของผิว และช่วยในการรักษาแผล
- ป้องกันการเกิดริ้วรอย
- เป็นสารที่ช่วยในการชะลอวัย
- รักษาโรคผิวหนัง
- เป็นสาร Antioxidant และ Anti-inflammatory
- เป็นสารที่สามารถช่วยในการทำความสะอาดได้
- เพิ่มการงอกของผม และป้องกันการผมร่วง
- ช่วยในการป้องกันการถูกทำลายของฟันและเล็บ
วิธีการเก็บเกี่ยว และการสกัด
[แก้]การเก็บเกี่ยวอินทผลัมในปัจจุบันต้องคำนึงถึงสายพันธุ์ และจุดประสงค์ในการบริโภค ความสุกของอินทผลัมจะถูกพิจารณาโดยดูจาก ผลย่อย ช่อผล และลำต้น ซึ่งต้องอาศัยการสังเกตด้วยตา เช่น สีของผล ความสุก นอกจากนี้ยังสามารถพิจารณาโดยใช้ทางด้านเคมีเข้ามาช่วย เช่น ปริมาณน้้ำ น้ำตาล และเอนไซม์ภายในผล อินทผลัมสามารถแยกเก็บได้เป็น 3 ช่วงการเจริญเติบโต ซึ่งการเก็บในแต่ละช่วง อาศัยการคำนึงทางด้าน สายพันธุ์ สภาพอากาศและความต้องการของตลาดเข้าร่วมด้วย
ซึ่ง 3 ช่วงการเจริญเติบโตจะถูกแยกดังนี้
- Khalal: จะมีการเจริญเติบโตอย่างเต็มที่ แข็งและกรอบ มีความชื้น 50-85% มีสีเหลืองสดหรือสีแดง เน่าเสียได้ง่าย
- Rutab: มีสีน้ำตาลบางส่วน มีความชื้น 30-45% มีเส้นใยที่นิ่ม เน่าเสียได้ง่าย
- Tamar: จะมีสีน้ำตาลเข้ม มีความชื้น 10-25% เนื้อสัมผัสมีตั้งแต่อ่อน ยืดหยุ่น ไปจนถึงแข็ง ป้องกันแมลงได้ และสามารถเก็บรักษาไว้ได้นานโดยไม่มีข้อควรระวังเป็นพิเศษ
โดยทั่วไปเมื่ออินทผลัมถึงระยะ Khalal ก็ถือว่าพร้อมสำหรับการซื้อขายเป็นผลไม้ "สด" ซึ่งจะต้องเป็นสายพันธุ์ที่มีแทนนินต่ำ เนื่องจากรสชาติที่ได้จะหวานไม่ฝาด ในระยะต่อมาคือ Rutab เนื่องจากมีการเน่าเสียได้ง่าย จึงจัดได้ว่าเป็นระยะที่ให้ราคาสูง เนื่องด้สยระบบการขนส่งที่ยากลำบาก และในระยะ Tamar ถือว่าเป็นระยะที่ให้ผลผลิตที่ไม่เน่าเสีย เนื่องจากผ่านกระบวนการทำให้แห้ง จึงกล่าวได้ว่าระยะนี้เป็นระยะที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการตลาดในรูปแบบอินทผาลัม "แห้ง" ซึ่งเหมาะในการเก็บรักษาและนำไปบริโภคได้ทั้งปี[6]
การเก็บเกี่ยวผลสด
[แก้]ในสมัยก่อนจะใช้คนในการเก็บเกี่ยว ดังนั้นเมื่อต้นยิ่งสูง การเก็บเกี่ยวจะยิ่งยาก ต้นทุนในการเก็บเกี่ยวจึงสูงขึ้นไปด้วย อาจมีการใช้บันไดเพื่อช่วยในการปีนขึ้นไปเก็บ หรือใช้ลิฟต์ในการยกคนขึ้นไปเก็บ ซึ่งการเก็บอินทผลัมต้องใช้แรงงานที่มีทักษะในการเก็บ ซึ่งการใช้แรงงานคนต้องใช้เวลาในการเก็บสูง และต้องเสียต้นทุนส่วนใหญ่ไปกับการจ้างคนมาเก็บผลผลิต ดังนั้นจึงมีการพัฒนาเครื่องมือในการช่วยในการเก็บ เพื่อการลดต้นทุนทางด้านการเก็บเกี่ยว โดยมีการพยายามพัฒนาหุ่นยนต์ที่จะสามาารถพิจารณาความพร้อมในการเก็บเกี่ยวของผล และช่วยในการเก็บเกี่ยวผลผลิต[8]
การสกัดน้ำยางในต้น
[แก้]โดยวิธีที่จะนำเสนอคือวิธีการแบบท้องถิ่น โดยที่จะมีการเอาใบออก และทำความสะอาดผิวหน้าที่จะทำการกรีด แล้วทำการปิดส่วยที่ทำการเฉือนออก ทำการใส่ท่อเข้าไปในลำต้น และทำการแขวนหม้อที่เอาไว้เก็บเกี่ยวเพื่อรองรับของเหลวที่จะออกมา ทำการเก็บ 2 ครั้ง/วัน โดยเปลี่ยนหม้อทุกๆครั้ง และมีการกรีดเพิ่มเล็กน้อย โดยน้ำที่ได้จะนำไปผ่านกระบวนการต่อ โดยการเติม phosphoric acid ลงไป และทำการกรอง[9]
การสกัดน้ำมันอินทผลัม
[แก้]ทำการเก็บเกี่ยวช่อผลของอินทผลัม และนำไปส่งโรงหมักภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากการเก็บเกี่ยว เพื่อป้องกันไม่ให้สารที่ไม่ต้องการเพิ่มจำนวน เช่นกรดไขมันอิสระ๖FFA) นำไปสกัดด้วยวิธีการทำเข้าเครื่องอัดบีบ โดยก่อนอื่นต้องทำการฆ่าเชื้อช่อผลด้วยไอน้ำที่อุณหภูมิ 140 องศาสเซลเซียส เป็นเวลา 75-90นาที นอกจากจะทำให้สะอาดแล้ว ยังเป็นการช่วยกระตุ้นการทำงานของเอ็นไซม์ที่จะช่วยสรา้งน้ำมันอีกด้วย หลังจากนั้นจึงนำไปแยกผล และทำการปอกเปลือก และนำเข้าเครื่องบีบอีดต่อไป
น้ำมันดิบที่ได้จะถูกเก็บรักษาโดยการทำให้แห้ง และของเสียที่ได้จากกระบวนการนี้ ได้แก่ ทะลายปาล์ม และเส้นใย
คุณภาพน้ำมันปาล์มดิบที่มีคุณภาพดีที่สุดจะต้องมีเปอร์เซ็นต์ FFA น้อยกว่า 5% โดยมีความชื้นน้อยกว่า 0.1% และเปอร์เซ็นต์ของสิ่งสกปรกไม่เกิน 0.01% [10]
รูปภาพของอินทผลัม
[แก้]Photo of the plant and leaves, flowers, fruit and/or seeds
การขยายพันธุ์
[แก้]การขยายพันธุ์อินทผลัมสามารถทำได้ 3 วิธี คือ
- จากการเพาะเม็ด
- จากการแยกหน่อจากต้นแม่
- จากเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
การขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเม็ด
[แก้]การขยายพันธุ์จากการเพาะเม็ด ปัจจุปันไม่เป็นที่นิยมใช้กันในเชิงพานิชย์เชิงฟาร์มเกษตรขนาดใหญ่เพื่อผลิตผลที่มีคุณภาพ นิยมใช้วิธีนี้สำหรับขุดล้อมต้นขายเป็นปาล์มประดับมากกว่า
ข้อดี
[แก้]- ขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว ต้นทุนต่ำ เจริญเติบโตได้ดี
ข้อเสีย
[แก้]- ไม่รู้เพศ ว่าเป็นเพศผู้หรือเพศเมีย อินทผลัมเป็นพืชที่ไม่สมบูรณ์เพศ การขยายพันธุ์จากการเพาะเม็ดจึงไม่สามารถ บอกได้ว่าต้นไหนเพศผู้ ต้นไหนเพศเมีย และโดยปกติอัตราส่วนต้นเพศผู้ต่อเพศเมีย อยู่ที่ประมาณ 50:50 จึงอาจจะทำให้ได้ต้นตัวผู้ที่มีมากเกินจำเป็นในสวน ต้นตัวผู้ที่เหมาะสมเพียงพอในสวนควรมีประมาณ 25% ก็เพียงพอ
- ต้นที่เกิดขึ้นมาจะมีลักษณะทางพันธุกรรมที่แตกต่างกันไป บางต้นอาจจะโตช้า โตเร็ว ผลโต ลักษณะทางกายภาพ จะแตกต่างกันไปบ้าง เช่น ขนาดผล สีสัน รสชาติ ฝาดมาก หวานมาก หวานน้อย จะไม่เหมือนกันทั้งหมด ควบคุมการให้ผลผลิตได้ยาก แต่ละต้นจึง ต้องตั้งชื่อเฉพาะของต้นนั้นๆ ซ้ำกันไม่ได้
ดังนั้นการปลูกด้วยวิธีนี้ จึงเหมาะกับการปลูกที่ลดต้นทุน และพัฒนาสายพันธุ์ใหม่ๆขึ้นมา ใช้เวลาในการปลูกกว่าจะให้ผลผลิต ประมาณ 3 ขึ้นไป
การขยายพันธุ์ด้วยการแยกหน่อ
[แก้]การขยายพันธุ์จากการแยกหน่อปลูก เป็นการขยายพันธุ์ที่นิยมใช้กันมาช้านาน จนถึงปัจจุบัน ทั้งการขยายแปลงปลูก การค้าต้นพันธุ์ อินทผลัมเมื่อต้นอายุ 2 ปีขึ้นไปจะเริ่มสร้างหน่อ แขนงขึ้นมา รอบๆต้น มี 2 ประเภท คือหน่อดิน และ หน่ออากาศ ทั้งสองประเภทสามารถแยกขยายไปปลูกต่อได้ คล้ายๆแยกหน่อกล้วย
ข้อดี
[แก้]- หน่อที่แยกออกมาจะมีพันธุกรรมเหมือนต้นแม่ทุกประการ ทั้งทางกายภาพ และ พันธุกรรม (เหมือนต้นแม่ทุกประการ )
- รู้เพศชัดเจน หน่อที่แยกมาจากต้นแม่ที่เป็นเพศอะไร หน่อก็จะเป็นเพศนั้น
- ผลผลิตที่ได้จะเหมือนกันทุกต้น ชื้อพันธุ์สามารถใช้ชื่อเดียวกันได้ ควบคุมคุณภาพได้ง่าย
- ให้ผลผลิตได้เร็ว เพราะหน่อที่แยกมาเป็นต้นที่โต พอสมควร เมื่อฟื้นตัวสมบูรณ์ จะสามารถให้ผลผลิตได้เลย
ข้อเสีย
[แก้]- ราคาหน่อจะสูง ต้นทุนในการปลูกจะสูงตามไปด้วย เพราะหน่อที่ออกมามีจำนวนจำกัด ไม่พอเพียงกับความต้องการ
- ต้องดูแลเอาใจใส่ในระยะแยกที่เพิ่งแยกหน่อมาปลูก เพราะจะเกิดเป็นเชื้อรา รากเน่าโคนเน่าได้ง่าย
การขยายพันธุ์ด้วยเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
[แก้]การขยายพันธุ์จากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยใช้หน่อจากต้นแม่พันธ์ พันธุ์แท้(พันธุ์ที่เป็นที่ยอมรับเป็นสากล) มาทำการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเป็นต้นกล้าคุณภาพขึ้นมาที่เป็นทางเลือกที่แก้ปัญหาจาก การเพาะเม็ด และ การแยกหน่อ เหมาะกับการขยายพันธุ์ เชิงคุณภาพได้อย่างดียิ่ง
ข้อดี
[แก้]- ได้ต้นที่เกิดขึ้น พันธุกรรมจะเหมือนต้นแม่พันธุ์ทุกประการ (เหมือนการแยกหน่อ)
- รู้เพศชัดเจน เป็นต้นเพศเมีย 100% ไม่มีการกลายพันธุ์
- สายพันธุ์ที่ได้เป็นสายพันธุ์มาตรฐานสากล เป็นที่ยอมรับในระดับสากลอยู่แล้ว
- ผลผลิตที่ได้จะเหมือนกันทุกต้น ชื้อพันธุ์สามารถใช้ชื่อเดียวกันได้ ควบคุมคุณภาพได้ง่าย
ข้อเสีย
[แก้]- ราคายังคงสูงอยู่ในปัจจุบัน สามารถขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อได้แล้วโดยโครงงานของนิสิตปริญญาเอกที่คณะเกษตรศาสตร์ฯ มหาวิทยาลัยนเรศวร เป็นแห่งแรกในประเทศไทย แต่ยังมีจำนวนไม่มาก และต้นกล้ายังไม่สูง จึงไม่สามารถทำในเชิงพาณิชย์ได้
ประโยชน์ของอินทผลัม
[แก้]สามารถแบ่งได้ 2 ด้านใหญ่คือ
- ด้านคุณค่าทางโภชนาการ สารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายของอินทผลัม เช่น แคลเซียม ซัลเฟอร์ เหล็ก โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส แมงกานีส แมกนีเซียม และน้ำมันโวลาไตล์ ทั้งยังอุดมไปด้วยเส้นใยอาหาร ซึ่งช่วยลดอาการท้องผูก รวมถึงให้พลังงานสูง บำรุงร่างกายที่อ่อนล้าให้กลับมีกำลัง นอกจากนี้ยังสามารถบำรุงกล้ามเนื้อมดลูกและสร้างน้ำนมแม่ด้วย
- ด้านการรักษาโรค อินทผลัมช่วยบำรุงร่างกาย บำรุงสายตา ลดความหิว แก้กระหาย แก้โรควิงเวียนศีรษะ ช่วยลดเสมหะในลำคอ ทำให้กระดูกแข็งแรง นอกจากนี้ยังฆ่าเชื้อโรค พยาธิและสารพิษที่ตกอยู่ในลำไส้และระบบทางเดินอาหาร มีฤทธิ์ในการกำจัดสารพิษและยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคอันเป็นสาเหตุให้เกิดโรคมะเร็งในช่องท้อง
ในทางศาสนาอิสลาม
[แก้]ในทางศาสนาอิสลาม นบีมุฮัมมัด ศาสดาได้สอนว่า ผู้ใดที่จะลดศีลอดให้รับประทานอาหารมื้อแรกด้วยอินทผลัมและน้ำบริสุทธิ์ เนื่องจากในอินทผลัมมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์จำนวนมากต่อร่างกาย จึงเหมาะอย่างมากกับผู้ที่อดอาหารมาเป็นระยะเวลานาน
อ้างอิง
[แก้]- ↑ พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้สะกดคำนี้ว่า อินทผลัม
- ↑ "Palm Pedia. "Phoenix dactylifera"".
- ↑ "Phoenix dactylifera L. | Plants of the World Online | Kew Science". Plants of the World Online (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Properties of Date Palm (Phoenix dactylifera), and Its Applications: A Review" https://www.researchgate.net/publication/362788837_Properties_of_Date_Palm_Phoenix_dactylifera_and_Its_Applications_A_Review
- ↑ 5.0 5.1 Alharbi, Khlood Lafi; Raman, Jegadeesh; Shin, Hyun-Jae (2021-09). "Date Fruit and Seed in Nutricosmetics". Cosmetics (ภาษาอังกฤษ). 8 (3): 59. doi:10.3390/cosmetics8030059. ISSN 2079-9284.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help) - ↑ 6.0 6.1 6.2 "Date Palm Cultivation". www.fao.org.
- ↑ "FAOSTAT". www.fao.org.
- ↑ "Date palm products. Chapter 5". www.fao.org.
- ↑ "A VISION SYSTEM FOR DATE HARVESTING ROBOT" https://www.researchgate.net/publication/352212974_A_VISION_SYSTEM_FOR_DATE_HARVESTING_ROBOT
- ↑ Mustapa, Ana Najwa. "Extraction of palm oil from palm mesocarp using sub-critical R134a".
{{cite journal}}
: Cite journal ต้องการ|journal=
(help)
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ:7
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ:3
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ:0
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ:5
- ↑ Mohammed, Naba Jasim; Othman, Norinsan Kamil; Al-Gburi, Ahmed Jamal Abdullah; Yusop, Rahimi M. (2023-01). "Date Palm Seed Extract for Mild Steel Corrosion Prevention in HCl Medium". Separations (ภาษาอังกฤษ). 10 (1): 54. doi:10.3390/separations10010054. ISSN 2297-8739.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help)