เถาคันแดง
เถาคันแดง | |
---|---|
ผลของเถาคัน | |
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ | |
อาณาจักร: | Plantae |
หมวด: | Magnoliophyta |
ชั้น: | Magnoliopsida |
อันดับ: | Vitales |
วงศ์: | Vitaceae |
สกุล: | Parthenocissus |
สปีชีส์: | P. quinquefolia |
ชื่อทวินาม | |
Parthenocissus quinquefolia (L.) Planch. |
เถาคันแดง[1] (อังกฤษ: Virginia creeper) เป็นไม้เถาเลื้อยเนื้อแข็ง เถามีสีเขียวขนาดเล็ก มีมือเกาะแตกจากข้อไม่มีขน มีถิ่นกำเนิดในทางตะวันออกและตอนกลางของทวีปอเมริกาเหนือ, ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศแคนาดา, ทางตะวันออกและตอนกลางของสหรัฐอเมริกา, ทางตะวันออกของประเทศเม็กซิโก, และประเทศกัวเตมาลา, ไปทางตะวันตกไกลถึงรัฐแมนิโทบา, รัฐเซาท์ดาโคตา, รัฐยูทาห์ และรัฐเท็กซัส ในประเทศไทยมีชื่อท้องถิ่นว่า เถาคัน, เถาคันแดง, เถาคันขาว, เครือหุนแป, เครือพัดสาม
ลักษณะทั่วไป
[แก้]เถาคันแดงเป็นพรรณไม้เลื้อย ชอบพาดพันตามต้นไม้ที่มีขนาดใหญ่ ใบเป็นใบย่อยประมาณ 3 ใบ แผ่นใบด้านล่ามีขนเล็กน้อย ลักษณะใบนั้นตรงริมขอบใบเป็นจักซี่ฟัน เมื่อสดอวบน้ำใบย่อยปลายสุดรูปไข่หรือรูปไข่กลับกว้าง 1–4 ซ.ม. ยาว 1.5–6 ซ.ม. ดอกมีลักษณะคล้ายดอกกะตังบายหรือดอกเถาวัลย์ปูนหรือฝิ่นต้นและดอกนั้นจะออกเป็นช่อใหญ่กระจุกแบนและแน่น ออกที่ซอกใบดอกย่อยขนาดเล็กสีเขียวอ่อน ผลมีขนาดกลมโตเท่าผลมะแว้ง ผลดิบนั้นจะเป็นสีเขียวใช้กินเป็นอาหารได้ ส่วนผล เมื่อสุกจะเป็นสีดำขนาด 0.5–1 ซ.ม. ถ้าบีบจะมีน้ำออกเป็นสีม่วงแดงทำให้คันมาก
ถิ่นที่อยู่
[แก้]พบในป่าเต็งรัง, ป่าผสมผลัดใบ, ที่ชื้นไม่มีน้ำท่วมขัง ส่วนเถาคันที่เกิดขึ้นตามป่านั้นมักจะอยู่ได้จนเถามีขนาดโตเท่าข้อมือของคนและถ้าตัดออกจะเห็นเนื้อภายในเป็นวง ๆ มีสีแดงสลับกัน ลักษณะคล้ายเถาวัลย์เปรียง
การใช้ประโยชน์
[แก้]ภาคใต้ นิยมนำใบรวมทั้งผลอ่อนมาแกงส้มปลา แกงพุงปลา[2] แกงเหลือง ภาคอีสานนำส่วนใบปรุงรสในการต้มเป็ด ต้มปลา เครือข่ายหมอพื้นบ้านภาคอีสาน (มหาสารคาม) มีตำรับยารักษาอาการเหน็บชาในวัยชราด้วยสมุนไพร 3 ชนิด คือ ส้มขี้มอด, หูลิง, เครือทางควาย โดยนำเอาแก่นขอไม้ทั้งสามต้มรวมกันใช้ดื่ม ผลแก่สามารถนำไปหมักทำไวน์ (มีรสเปรี้ยวคล้ายองุ่น) ใบนำไปทำเป็นผงนัว (ปรุงรสอาหาร)[3]
สรรพคุณทางแพทย์แผนไทย
[แก้]- เถา ใช้ปรุงเป็นยาต้มกิน เป็นยารักษาโรคกษัยทำให้เส้นหย่อน เป็นยาขับลมขับเสมหะ เป็นยาฟอกเลือด ดับพิษตานซาง
- ราก แก้อักเสบเนื่องจากเป็นแผลในกระเพาะอาหาร และต้มกินน้ำเป็นยาขับพยาธิไส้เดือน ขับปัสสาวะ แก้นิ่ว เป็นยาฟอกโลหิต แก้ฟกซ้ำภายใน ขับเลือดเน่า ขับน้ำคาวปลาและรักษาอาการฟกช้ำภายใน
- ใบ นำไปอังไฟให้พอเหี่ยว ใช้ปิดฝีบ่มหนอง ถ้าฝีนั้นแตกก็จะทำให้ดูดหนองคล้ายขี้ผึ้งอิดติโยนของฝรั่ง
- อื่น ๆ พรรณไม้ชนิดนี้จะมีอยู่ 2 ชนิด ชนิดที่มีต้นเขียวเรียกว่าเถาคันขาว ส่วนชนิดที่เป็นสีแดงนั้นเรียกว่าเถาคันแดง และนิยมใช้สีแดงปรุงเป็นยา[4]
คุณค่าทางโภชนาการ
[แก้]- เถาคัน, ผล ประกอบด้วยสารอาหารดังต่อไปนี้คือ[5]
วิตามินเอ (Total Vitamin A (RE) ) | 39 μg / 100 g |
เบต้า เคโรทีน (Beta-carotene) | 236 μg / 100 g |
วิตามินอี (Vitamin E) | 2.64 mg / 100 g |
วิตามินบี 1 (Thiamin ) | 0.02 mg / 100 g |
วิตามินบี 2 (Riboflavin ) | 0.09 mg / 100 g |
ไนอะซิน (Niacin ) | 1.62 mg / 100 g |
วิตามินซี (Vitamin C ) | 8 mg / 100 g |
พลังงาน (Energy ) | 27 kcal / 100 g |
น้ำ (Water ) | 93.4 g / 100 g |
โปรตีน (Protein ) | 0.4 g / 100 g |
ไขมัน (Fat ) | 0.4 g / 100 g |
คาร์โบไฮเดรต (Carbohydrate ) | 5.5 g / 100 g |
ใยอาหาร (กาก) (Crude/ Dietar ) | -- g / 100 g |
เถ้า (Ash ) | 0.3 g / 100 g |
แคลเซียม (Calcium ) | -- mg / 100 g |
ฟอสฟอรัส (Phosphorus ) | -- mg / 100 g |
ธาตุเหล็ก (Iron ) | -- mg / 100 g |
(retinol ) | -- μg / 100 g |
* หมายเหตุ -- คือ ไม่ได้ทำการวิเคราะห์ / mg คือ มิลลิกรัม / μg คือ ไมโครกรัม / g คือ กรัม / kcal คือ กิโลแคลอรี
อ้างอิง
[แก้]- ↑ เต็ม สมิตินันทน์ (2006). "ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย". สำนักงานหอพรรณไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 พฤษภาคม 2010.
- ↑ อรทัย เนียมสุวรรณ; นฤมล เส้งนนท์; กรกนก ยิ่งเจริญ; พัชรินทร์ สิงห์ดำ (กรกฎาคม–กันยายน 2012). "พฤกษศาสตร์พื้นบ้านของพืชกินได้จากป่าชายเลนและป่าชายหาดบริเวณเขาสทิงพระ จังหวัดสงขลา" (PDF). วารสารวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น. 40 (3): 981–991. eISSN 2586-9531.
- ↑ "ส้มออบแอบแก้อักเสบ ลดแผลในกระเพาะ". รักบ้านเกิด. 3 ธันวาคม 2008. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 มีนาคม 2016.
- ↑ วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม (1999). "เถาคัน". พจนานุกรมสมุนไพรไทย (5 ed.). กรุงเทพฯ: รวมสาส์น (1977). pp. 341–342. ISBN 974-24-6373-5.
- ↑ "ความรู้เกี่ยวกับ เถาคัน, ผล ( treebine fruit )". Vitamin.co.th. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 กรกฎาคม 2013. สืบค้นเมื่อ 4 กันยายน 2012.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ Parthenocissus quinquefolia