เจ้าหญิงกาโรลีน มาทิลด์แห่งชเลสวิช-ฮ็อลชไตน์-เซอเนอร์ปอร์-ออกัสเทนเบิร์ก
หน้าตา
เจ้าหญิงกาโรลีน มาทิลด์แห่งชเลสวิช-ฮ็อลชไตน์-เซอเนอร์ปอร์-ออกัสเทนเบิร์ก | |||||
---|---|---|---|---|---|
เจ้าหญิงกาโรลีน มาทิลด์แห่งชเลสวิช-ฮ็อลชไตน์-เซินเนอร์บอร์-ออกัสเทนเบิร์ก | |||||
เจ้าหญิงแห่งแห่งชเลสวิช-ฮ็อลชไตน์-เซินเนอร์บอร์-ออกัสเทนเบิร์ก ดัชเชสแห่งชเลสวิส-ฮ็อลชไตน์ | |||||
ประสูติ | 25 มกราคม 2403 ดัชชีชเลสวิช | ||||
สิ้นพระชนม์ | 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2475 (72 ปี) | ||||
พระสวามี | ฟรีดริช เฟอร์ดินานด์ ดยุกแห่งแห่งชเลสวิช-ฮ็อลชไตน์ | ||||
| |||||
พระบุตร | 6 พระองค์ | ||||
ราชวงศ์ | โฮเอินโลเออ-ลังเงินบวร์ค | ||||
พระบิดา | เฟรเดอริก ดยุกที่ 8 แห่งแห่งชเลสวิช-ฮ็อลชไตน์ | ||||
พระมารดา | เจ้าหญิงอาเดลาอีดแห่งโฮเอินโลเออ-ลังเงินบวร์ค |
เจ้าหญิงกาโรลีน มาทิลด์แห่งชเลสวิช-ฮ็อลชไตน์-เซินเนอร์บอร์-ออกัสเทนเบิร์ก (อังกฤษ: Princess Karoline Mathilde of Schleswig-Holstein-Sonderburg-Augustenburg) ประสูติเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2403 เป็นพระธิดาใน เฟรเดอริก ดยุกที่ 8 แห่งแห่งชเลสวิช-ฮ็อลชไตน์ และ เจ้าหญิงอาเดลาอีดแห่งโฮเอินโลเออ-ลังเงินบวร์ค พระองค์เป็นพระมาตุลาใน เจ้าชายวิลเฮ็ล์ม มกุฎราชกุมาร ด้วยเป็นพระขนิษฐาใน เอากุสเทอ วิคโทรีอา แห่งชเลสวิช-ฮ็อลชไตน์
พระองค์ทรงเสกสมรสกับ ฟรีดริช เฟอร์ดินานด์ ดยุกแห่งแห่งชเลสวิช-ฮ็อลชไตน์ เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2428 มีพระบุตรดังนี้
- เจ้าหญิงวิกตอเรีย อเดลไฮด์แห่งชเลสวิช-ฮ็อลชไตน์
- เจ้าหญิงอเล็กซานดรา วิกตอเรียแห่งชเลสวิช-ฮ็อลชไตน์-เซินเนอร์บอร์-กลึคส์บวร์ค
- เจ้าหญิงเฮเลนา แอดิเลดแห่งเดนมาร์ก
- เจ้าหญิงแอดิเลดแห่งชเลสวิช-ฮ็อลชไตน์-เซินเนอร์บอร์-กลึคส์บวร์ค
- วิลเฮ็ล์ม ฟรีดริช ดยุกแห่งชเลสวิช-ฮ็อลชไตน์
- เจ้าหญิงกาโรลีน มาทิลด์แห่งชเลสวิช-ฮ็อลชไตน์-เซินเนอร์บอร์-กลึคส์บวร์ค
- อนึ่ง พระองค์ทรงเป็นพระอัยยิกา (ยาย) ใน เจ้าหญิงซิบิลลาแห่งซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา และเป็นพระราชปัยยิกา (ยายทวด) ใน สมเด็จพระราชาธิบดีคาร์ลที่ 16 กุสตาฟแห่งสวีเดน โดยพระองค์สิ้นพระชนม์ลงเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2475 สิริพระชันษา 72 ปี
อ้างอิง
[แก้]- Profile of Karoline Mathilde Prinzessin zu Schleswig-Holstein-Sonderburg-Glücksburg, thePeerage.com; accessed 15 August 2014
- "Princess Karoline Dies at 72 in Germany", The New York Times, 21 February 1932