พูดคุย:โปลิตบูโร

ไม่รองรับเนื้อหาของหน้าในภาษาอื่น
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

Politburo โพลิตบุโร (Politburo) มาจากการเรียก Political Bureau อย่างย่อ ถ้อยคำนั้นยังเกิดมาจากภาษาเยอรมัน Politbüro หรือในภาษารัสเซีย Политбюро โพลิตบุโรนั้นเป็นองค์การบริหารของพรรคการเมือง ส่วนมากเป็นของพรรคการเมืองคอมมิวนิสต์ซึ่งรู้จักกันว่าเป็นสภาบริหารสูงสุดของสหภาพโซเวียตจากปี 1952 จนถึง 1966 ทำหน้าที่เป็นผู้กำหนดนโยบายส่วนกลางและเป็นตัวรัฐบาลของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียตซึ่งโพลิตบุโรนั้นจะถูกเลือกมาจากสมาชิกสูงสุดของคณะกรรมการกลาง ในทางทฤษฎีแล้วโพลิตบุโรทำหน้าที่เหมือนเป็นสำนักงานทางการเมืองของคณะกรรมการกลางซึ่งจะถูกเลือกเพื่อมานำพรรคระหว่างสมัยการประชุมของคณะกรรมการและด้วยอำนาจที่ได้รับมอบหมายที่ครอบคลุมแค่พรรค โพลิตบุโรและสมาชิกจะรับผิดชอบและอยู่ในอำนาจจากความเห็นชอบจากคณะกรรมการกลาง ในความจริงโพลิตบุโรนั้นจะตรวจตราการปฏิบัติการของคณะกรรมการและตัดสินใจนโยบายหลัก ๆ ทั้งหมดซึ่งจะถูกส่งต่อลงไปยังคณะกรรมการกลาง, รัฐสภาสูงสุดของสหภาพโซเวียตและสภาพรรค การควบคุมของโพลิตบุโรนั้นขยายจากพรรคไปยังรัฐบาลเพราะสมาชิกพรรคนั้นได้ถือหน้าที่ที่สำคัญทางการเมืองและระเบียบพรรคไว้ทั้งหมด ด้วยเหตุนั้นเพื่อจะให้แน่ใจได้ว่านโยบายของโพลิตบุโรถูกสนับสนุนโดยองค์กรรัฐบาลทั้งหมด

ประวัติของโพลิตบุโรอาจแบ่งได้เป็น 4 ช่วง แต่ละช่วงก็จะมีลักษณะสำคัญต่างกันไปแต่ในประวัติศาสตร์ของโซเวียตทั้งหมดแล้วนั้น โพลิตบุโรได้เล่นบทบาทพิเศษทั้งในพรรคและทางด้านการเมืองของรัฐ

1917

ยุคแรกนั้นโพลิตบุโรมีระยะเวลาอยู่แค่ประมาณ 2 สัปดาห์เท่านั้น จากวันที่ 10 [23] ตุลาคม ปี 1917 ถึงวันที่ 24 ตุลาคม [6 พฤศจิกายน] ปี 1917 เป็นวันที่พรรคบอลเชวิคทำการรัฐประหารเป็นผลสำเร็จในเมือง Petrograd การประชุมของคณะกรรมการกลางในวันที่ 10 [23] ตุลาคม ปี 1917เป็นการแสดงให้เห็นแนวทาง “การจลาจลทางทหาร”และ การเลือกสำนักงานทางการเมืองเพื่อจัดหา “ผู้นำการเมือง” ระหว่างการปฏิวัติ โพลิตบุโรประกอบด้วยสมาชิก 7 คนคือ Lenin, Zinovyev, Kamenev, Trotsky, Stalin, Sokolnikov and Bubnov โพลิตบุโรไม่ได้มีบทบาทอะไรเลยระหว่างการจลาจลเดือนพฤศจิกายน Trotsky ได้เขียนไว้ว่า โพลิตบุโรไม่เคยจัดการประชุมขึ้นเลยสักครั้งเดียว หลังจากการรัฐประหารในเมือง Petrograd โพลิตบุโรก็ได้หมดหน้าที่ลงแล้วกรรมการกลางได้เข้ามาทำหน้าที่นี้ต่อไป


1919-1952

ช่วงที่ 2 ในประวัติศาสตร์ของโพลิตบุโรเริ่มในปี 1919 เมื่อสภาพรรคที่ 8 (8 มีนาคม 1919 - 23 มีนาคม 1919) ได้แปรญัญติของพรรคและก่อตั้งโพลิตบุโรและเลขาธิการเป็นการถาวร โพลิตบุโรนั้นถือว่าเป็นองค์การบริหารรองจากคณะกรรมการกลางและสมาชิกของโพลิตบุโรนั้นจะถูกเลือกโดยคณะกรรมการกลางตามกฎหมายแล้วนั้นไม่จำเป็นต้องมีการแบ่งภายในโพลิตบุโร คณะกรรมการกลางเลือกทั้งสมาชิกสมาชิก (full members) (chleny) และสมาชิกผู้สมัคร (candidate member) (kandidaty v chleny) สมาชิกผู้สมัครจะสิทธิเข้าร่วมการอภิปรายแต่ไม่มีสิทธิที่จะออกเสียง


โพลิตบุโรทำการเลือกสมาชิกขึ้นเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 1919 โดย คณะกรรมการกลาง ซึ่ง Lenin, Kamenev, Krestinsky, Stalin และ Trotsky ได้กลายมาเป็นสมาชิก ส่วน Bukharin, Zinovyev และ Kalinin นั้นเป็นสมาชิกผู้สมัคร บทบาทตามพิธีในการที่จะตัดสินใจปัญหาเร่งด่วนต่าง ๆ นั้นในยุคนี้โพลิตบุโรนั้นต้องคอยปรึกษาหารือกับคณะกรรมการกลางก่อน โพลิตบุโรจัดการประชุมครั้งแรกขึ้นในวันที่ 16 เมษายน ปี 1919 ในปี 1919-1921 องค์การนี้มีการประชุมทั้งหมด 95 ครั้งในการที่จะลดการปะทะกันและหลีกเลี่ยงการถือพวกก่อนการประชุมจะมีการจัดการประชุมระเบียบการพิจารณาซึ่งคำสั่งที่มีการติอย่างรุนแรงจะถูกแพร่เสียก่อนเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งระหว่างการการประชุมจริงซึ่งในการประชุมจะมีการอภิปรายในหัวข้อเรื่องและลงความเห็นตัดสินใจในปัญหาที่สำคัญ หลังจากการที่แต่เดิมแต่ละพรรคชาตินิยมซึ่งคณะกรรมการกลางที่ถูกเลือกขึ้นมาใหม่จะทำการเลือกโพลิตบุโรแต่การเป็นสมาชิกนั้นได้ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไประหว่างนี้ โพลิตบุโรในช่วงนี้จะถือว่าเป็นตำแหน่งสำคัญหลักในพรรคและในการบริหารรัฐและค่อย ๆ บังรัศมีบทบาทของคณะกรรมการกลาง เพราะว่าเลขาธิการพรรคเป็นคนวางแผนระเบียบวาระต่าง ๆ ทั้งยังจัดหาเอกสารข้อมูลต่าง ๆ ในการอภิปรายและส่งคำตัดสินใจต่าง ๆ ของโพลิตบุโรไปยังตำแหน่งที่ต่ำกว่า ทำให้เลขาธิการใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์ซึ่งก็คือสตาลินในขณะนั้นกลายมาเป็นสมาชิกโพลิตบุโรที่ทรงอิทธิพลที่สุด

ในปี 1924-1930 สตาลินประสบความสำเร็จในการขับไล่สมาชิกโพลิตบุโรที่มีอยู่แต่เดิมออกและมีอำนาจเหนือโครงสร้างนี้ทั้งหมดโดยการกำจัดศัตรูทางการเมืองของ ในวันที่ 23 กรกฎาคม 1926 คณะกรรมการกลางเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของโพลิตบุโรที่มีการขับไล่สมาชิกคนหนึ่ง (Zinovyev) คนที่มีความเห็นแตกต่างจากแนวความคิดทั่วไปและทำแบบอย่างสำหรับวิธีปฏิบัติซึ่งครอบงำตลอดทั้งหมดของประวัติศาสตร์สหภาพโซเวียต สมาชิกโพลิตบุโรส่วนใหญ่จะถูกปลดอออกจากตำแหน่งด้วยข้ออ้างหลากหลายโดยคณะกรรมการ ช่วงที่ 2 นั้นสิ้นสุดลงในเดือนตุลาคม 1952 เมื่อสภาพรรคเห็นด้วยกับสตาลินที่จะเปลี่ยนญัญติของพรรคและแทนที่โพลิตบุโรด้วยสภาบริหารสูงสุดที่ใหญ่กว่า (25 full members, 10 candidates) ในจำนวนนี้รวมถึง N.S. Khurushchov ซึ่งในตอนหลังเดาว่าสตาลินตั้งในให้สมาชิกที่เข้ามาใหม่นั้นเป็นเหมือนตัวสำรองไว้แทนสมาชิกเก่าที่ถูกออกไปด้วยวัตถุประสงค์การปราบปราม ความฉุกละหุกก็เกิดขึ้นและความวุ่นวายก็ตกไปอยู่กับคณะผู้นำในขณะนั้นภายใต้โครงสร้างนี้หลังจากการกดขี่ไม่ยับยั้งของสตาลินและสภาบริหารสูงสุดก็เข้มแข็งมากขึ้นเรื่อย ๆ จนมากพอที่จะสามารถปลด Nikita Khrushchev จากการเป็นผู้นำพรรคได้ในปี 1964 เห็นได้ชัดว่าสตาลินวางแผนจะให้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโครงสร้างของตัวพรรคสูงสุดแต่การมรณกรรมของสตาลิน (5 มีนาคม 1953) ทำให้ผู้สืบต่อตำแหน่งนั้นกลับไปใช้แบบแผนแบบเดิมและสภาบริหารนั้นมีหน้าที่ไม่แตกต่างอะไรกับโพลิตบุโร พอในปี 1966 โพลิตบุโรชื่อเก่าก็ได้ถูกนำกลับมาใช้สำหรับโครงสร้างนี้อีก



1966-1990

โพลิตบุโรถูกนำกลับเข้าไปอย่างเดิมในปี 1966 เมื่อ Leonid Brezhnev ย้อนกลับไปใช้แบบแผนอย่างเดิม สภาพรรคที่ 23 แปรญัญติและตั้งโพลิตบุโรขึ้นมาใหม่ซึ่งทั้งสมาชิก (full members) และสมาชิกผู้สมัคร (candidate members) ขนาดจริง ๆ ของโพลิตบุโรนั้นไม่คงที่แต่ปกติแล้วประกอบไปด้วยสมาชิก 12-15 คนและสมาชิกผู้สมัคร 6-8 คน ประธานของโพลิตบุโรคือเลขาธิการใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์และตามธรรมเนียมปฏิบัติก็จะเป็นผู้นำของสหภาพโซเวียต อย่างไรก็ตามโพลิตบุโรนั้นไม่มีหัวหน้าอย่างเป็นทางการหรือเลขาธิการใหญ่ของพรรคซึ่งบ่อยครั้งจะเป็นหัวหน้าของคณะกรรมการกลางที่จะเล่นบทบาทผู้นำเสมอ ในทางปฏิบัติสมาชิกโพลิตบุโรที่มีอำนาจส่วนใหญ่จะเป็นสมาชิกของเลขาธิการของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์สหภาพโซเวียตซึ่งเลขาธิการใหญ่เป็นผู้นำของกลุ่มนี้ พวกที่มีที่นั่งนั้นเป็นแค่หนึ่งในสองซึ่งจะมีอิทธิพลน้อยกว่า การเลือกโพลิตบุโรโดยคณะกรรมการกลางนั้นกลายมาเป็นการทำเป็นพอเป็นพิธี ในความเป็นจริงแล้วโพลิตบุโรตัดสินใจเองว่าใครจะถูกเลือกมาเป็นและใครที่จะถูกขับไล่ออกไป

ในทศวรรษ 1970 และต้น 1980 Brezhnev ขณะที่เป็นเลขาธิการใหญ่ยังได้ใช้ตำแหน่งของเขาสับเปลี่ยนสมาชิกภายโพลิตบุโรบางครั้งบางคราวแต่ Brezhnev ไม่เคยได้เผชิญหน้ากับฝ่ายปรปักษ์จริง ๆ อย่างเช่น สมาชิกโพลิตบุโร Voronov, Shelest, Kosygin, Podgorny และคนอื่น ๆ ที่ถูกขับไล่เพื่อตำแหน่งที่เป็นอิสระมากกว่าที่จะเป็นเพื่อจุดมุ่งหมายทางการเมือง พวกที่เป็นบอลเชวิคเกาที่นั่งอยู่ในโซเวียตโพลิตบุโรพอในปลายทศวรรษ 1980 นั้นถูกแทนที่โดยสมาชิกพรรคที่มีประวัติการณ์ของการรับใช้อย่างภักดียาวนานในพรรค

1990-1991

ตามแผน Perestroika มิคาอิล กอร์บาชอฟได้เผชิญกับความต้องการของสาธารณรัฐในโซเวียตที่ต้องการเป็นตัวแทนอย่างเท่าเทียมในโครงสร้างพรรค กอร์บาชอฟตกลงที่จะปฏิรูปโพลิตบุโรซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายของโพลิตบุโรในช่วงกลางทศวรรษ 1990 สภาที่ 28 ของพรรคคอมมิวนิสต์ประกาศว่าโพลิตบุโรจะร่วมตัวแทนจากแต่ละสาธารณรัฐของสหภาพโซเวียตและสมาชิกทั้งหมดจะมีสิทธิของตนอย่างเท่าเทียมกัน ตามกฎข้อบังคับใหม่เมื่อที่เลขาธิการคนแรกขององค์กรพรรคของสาธารณรัฐถูกปลดออก ผู้สืบต่อตำแหน่งของเขาจะเข้ามาอยู่ในโพลิตบุโรได้ในคณะกรรมการกลางครั้งต่อไป คณะกรรมการกลางได้เลือกสมาชิก (full members) 14 คนรวมทั้งเลขาธิการของพรรคคอมมิวนิสต์แต่ละชาติ การแบ่งแตกแยกออกของสหภาพโวเซียตขัดขวางคณะกรรมกลางในการที่จะทำตามระเบียบนี้ ผู้สืบตำแหน่งของ Gumbaridze (พรรคคอมมิวนิสต์ Georgian), Pogosyan (พรรคคอมมิวนิสต์ Armenian) and Polozkov (พรรคคอมมิวนิสต์ Russian SFSR) ได้เคยได้ถูกเลือกเข้าไปในโพลิตบุโร ส่วนสถาบันของสมาชิกผู้สมัครนั้นถูกล้มเลิกไป เจ้าหน้าที่ของรัฐระดับสูงหลายคนถูกให้ออกจากโพลิตบุโรเนื่องด้วยการเปลี่ยนแปลงจาก Perestroika ซึ่งอย่างไรก็ตามพวกเขาก็ยังคงเป็นสมาชิกของพรรคที่ต้องตั้งใจรับผิดชอบในฐานะที่เป็นสมาชิกของสภา ในปี 1990 สภาพรรคที่ 28 ได้ตกลงที่จะส่งอำนาจของโพลิตบุโรไปยังรัฐสภาและด้วยการล่มสลายของสหภาพโซเวียตและการต่อต้านในภายหลังของพรรคคอมมิวนิสต์ รวมทั้งการเกิดรัฐประหารที่ไม่สำเร็จ การมีอยู่ของโพลิตบุโรจึงสิ้นสุดลงในเดือนกันยายน ปี 1991 • มีผู้หญิงเพียง 2 คนเท่านั้นที่เคยได้เป็นสมาชิกของโพลิตบุโร