ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ฐานธรณีภาค"
ล โรบอต เพิ่ม: ar, be-x-old, bg, ca, cs, da, de, el, eo, es, et, eu, fi, fr, ga, gl, hr, hu, it, ja, ko, lt, lv, mn, nl, no, pl, pt, ro, ru, simple, sk, sl, sq, sv, uk, vec, vi, zh |
Applezapotis (คุย | ส่วนร่วม) ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัด 1: | บรรทัด 1: | ||
'''ฐานธรณีภาค''' ({{lang-en|Asthenosphere}} มีรากศัพท์ภาษากรีกคำว่า ''"asthenēs"'' แปลว่าไม่แข็งแรง และคำว่า ''"sphere"'' แปลว่าโลก) เป็นส่วนที่มีลักษณะยืดหยุ่นตั้งอยู่ในชั้นหินหนืดตอนบนของโลกและตั้งอยู่ใต้ชั้น[[ธรณีภาค]] ฐานธรณีภาคมีขอบเขตที่ระดับความลึกระหว่าง 100 – 200 กิโลเมตรจากชั้นพื้นผิว แต่สามารถขยายตัวไปจนถึงระดับความลึก 400 กิโลเมตร |
|||
== |
==ลักษณะเฉพาะ== |
||
⚫ | ฐานธรณีภาคเป็นส่วนหนึ่งของชั้นหินหนืดตอนบนและวางตัวใต้ชั้น[[ธรณีภาค]] นอกจากนี้ยังเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่ของ[[แผ่นเปลือกโลก]] ความร้อนและความดันทำให้ชั้น[[ธรณีภาค]]มีลักษณะหลอมและมีความหนาแน่นต่ำ [[คลื่นไหวสะเทือน]]มีความเร็วต่ำเมื่อเคลื่อนผ่านชั้นฐานธรณีภาคเมื่อเทียบกับชั้น[[ธรณีภาค]] เรียกว่า บริเวณความเร็วคลื่นต่ำและความเร็วของคลื่นไหวสะเทือนจะลดลงเมื่อความแข็งแกร่งของชั้นนั้นๆ ลดลง ใต้แผ่นสมุทรซึ่งมีขนาดบางระดับชั้นฐานธรณีภาคจะอยู่ไม่ห่างจากระดับพื้นผิวและจะห่างไม่กี่กิโลเมตรเมื่ออยู่ในบริเวณ[[เทือกเขากลางสมุทร]] |
||
⚫ | บริเวณส่วนบนของชั้นฐานธรณีภาคเป็นชั้นที่มีความแข็งและมีชั้น[[ธรณีภาค]]ซึ่งรวมไปถึงชั้น[[เปลือกโลก]]มีการเคลื่อนที ด้วยสภาวะที่มีความร้อนและความดันสูงทำให้หินส่วนนี้มีความยืดหยุ่นและสามารถเคลื่อนที่ได้ตั้งแต่ไม่กี่เซนติเมตรต่อปีไปจนถึงเคลื่อนได้เป็นระยะทางหลายพันกิโลเมตร อย่างไรก็ตามการไหลของ[[หินหนืด]]เป็นลักษณะกระแสวนและมีการแผ่รังสีความร้อนออกมาจากภายในโลก สำหรับหินที่อยู่เหนือชั้นฐานธรณีภาคจะมีความยืดหยุ่น, เปราะและแตกหักซึ่งทำให้เกิด[[รอยเลื่อน]]ได้ ชั้น[[ธรณีภาค]]ซึ่งมีความแข็งกว่าจะลอยหรือเคลื่อนที่อย่างเชื่องช้าบนชั้นฐานธรณีภาคทำให้เกิดการเคลื่อนที่ของชั้นเปลือกโลก |
||
⚫ | ฐานธรณีภาคเป็นส่วนหนึ่งของชั้นหินหนืดตอนบนและวางตัวใต้ชั้น[[ธรณีภาค]] |
||
⚫ | |||
ใต้แผ่นสมุทรซึ่งมีขนาดบาง ระดับชั้นฐานธรณีภาคจะอยู่ไม่ห่างจากระดับพื้นผิวและจะห่างไม่กี่กิโลเมตรเมื่ออยู่ในบริเวณ[[เทือกเขากลางสมุทร]](mid-oceanic ridge) |
|||
⚫ | |||
⚫ | บริเวณส่วนบนของชั้นฐานธรณีภาคเป็นชั้นที่มีความแข็งและมีชั้น[[ธรณีภาค]]ซึ่งรวมไปถึงชั้น[[เปลือกโลก]] |
||
⚫ | |||
⚫ | |||
=='''อ้างอิง'''== |
=='''อ้างอิง'''== |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 20:49, 30 มกราคม 2553
ฐานธรณีภาค (อังกฤษ: Asthenosphere มีรากศัพท์ภาษากรีกคำว่า "asthenēs" แปลว่าไม่แข็งแรง และคำว่า "sphere" แปลว่าโลก) เป็นส่วนที่มีลักษณะยืดหยุ่นตั้งอยู่ในชั้นหินหนืดตอนบนของโลกและตั้งอยู่ใต้ชั้นธรณีภาค ฐานธรณีภาคมีขอบเขตที่ระดับความลึกระหว่าง 100 – 200 กิโลเมตรจากชั้นพื้นผิว แต่สามารถขยายตัวไปจนถึงระดับความลึก 400 กิโลเมตร
ลักษณะเฉพาะ
ฐานธรณีภาคเป็นส่วนหนึ่งของชั้นหินหนืดตอนบนและวางตัวใต้ชั้นธรณีภาค นอกจากนี้ยังเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลก ความร้อนและความดันทำให้ชั้นธรณีภาคมีลักษณะหลอมและมีความหนาแน่นต่ำ คลื่นไหวสะเทือนมีความเร็วต่ำเมื่อเคลื่อนผ่านชั้นฐานธรณีภาคเมื่อเทียบกับชั้นธรณีภาค เรียกว่า บริเวณความเร็วคลื่นต่ำและความเร็วของคลื่นไหวสะเทือนจะลดลงเมื่อความแข็งแกร่งของชั้นนั้นๆ ลดลง ใต้แผ่นสมุทรซึ่งมีขนาดบางระดับชั้นฐานธรณีภาคจะอยู่ไม่ห่างจากระดับพื้นผิวและจะห่างไม่กี่กิโลเมตรเมื่ออยู่ในบริเวณเทือกเขากลางสมุทร
บริเวณส่วนบนของชั้นฐานธรณีภาคเป็นชั้นที่มีความแข็งและมีชั้นธรณีภาคซึ่งรวมไปถึงชั้นเปลือกโลกมีการเคลื่อนที ด้วยสภาวะที่มีความร้อนและความดันสูงทำให้หินส่วนนี้มีความยืดหยุ่นและสามารถเคลื่อนที่ได้ตั้งแต่ไม่กี่เซนติเมตรต่อปีไปจนถึงเคลื่อนได้เป็นระยะทางหลายพันกิโลเมตร อย่างไรก็ตามการไหลของหินหนืดเป็นลักษณะกระแสวนและมีการแผ่รังสีความร้อนออกมาจากภายในโลก สำหรับหินที่อยู่เหนือชั้นฐานธรณีภาคจะมีความยืดหยุ่น, เปราะและแตกหักซึ่งทำให้เกิดรอยเลื่อนได้ ชั้นธรณีภาคซึ่งมีความแข็งกว่าจะลอยหรือเคลื่อนที่อย่างเชื่องช้าบนชั้นฐานธรณีภาคทำให้เกิดการเคลื่อนที่ของชั้นเปลือกโลก
ประวัติ
ความรู้เรื่องชั้นฐานธรณีภาคเริ่มมีการศึกษาตั้งแต่ ค.ศ. 1926 แต่ได้มีการวิเคราะห์และพิสูจน์จนเป็นที่ยอมรับจากการศึกษาการเกิดแผ่นดินไหวบริเวณเกรทชีเลียนซึ่งเกิดในวันที่ 22 พฤษภาคม ค.ศ. 1960
อ้างอิง
- Donald L. Turcotte and Gerald Schubert. Geodynamics, 2nd ed., Cambridge University Press 2001
- GEMS Institute of higher education,Nepal.Environment Management Club, Kushal
- An Introduction to the Solar System; McBride and Gilmour; Cambridge University Press 2004