ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ลิลิตตะเลงพ่าย"
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
เป็นเหตุการ์ณของตองอูกับอยุธยา |
เกะะะห ป้ายระบุ: blanking การแก้ไขแบบเห็นภาพ |
||
บรรทัด 9: | บรรทัด 9: | ||
|ชื่ออื่น = - |
|ชื่ออื่น = - |
||
}} |
}} |
||
'''ลิลิตตะเลงพ่าย''' เป็นบทประพันธ์ประเภท[[ลิลิต]] ประพันธ์ขึ้นโดย[[สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส]]และ [[พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นภูบาลบริรักษ์]] เพื่อสดุดีวีรกรรมของ[[สมเด็จพระนเรศวรมหาราช]] ในวาระงานพระราชพิธีฉลองตึก[[วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม]]ใน[[รัชกาลที่ 3]] โดยตะเลงในที่นี้หมายถึง [[พม่า]] |
|||
ที่มาของเรื่อง |
|||
1.พระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) |
|||
2.วรรณคดีเก่าเรื่อง ลิลิตยวนพ่าย ลิลิตพระลอ |
|||
3.จินตนาการของผู้แต่ง คือ ช่วงบทนิราศ |
|||
จุดมุ่งหมายในการแต่ง |
|||
1.เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช |
|||
2.ฉลองตึกวัดพระเชนตุพนฯ สมัย รัชกาลที่ 3 |
|||
3.สร้างสมบารมีของผู้แต่ง (เพราะผู้แต่งขอไว้ว่าถ้าแต่งเสร็จขอให้สำเร็จสู่พระนิพพาน) |
|||
== ลักษณะการแต่ง == |
|||
แต่งด้วยลิลิตสุภาพ ประกอบด้วย ร่ายสุภาพ โคลงสองสุภาพ โคลงสามสุภาพ และโคลงสี่สุภาพ แต่งสลับกันไป จำนวน 439 บท โดยได้แบบอย่างการแต่งมาจาก[[ลิลิตยวนพ่าย]]ที่แต่งขึ้นในสมัยอยุธยาตอนต้น ลิลิตเปรียบได้กับงานเขียนมหากาพย์ จัดเป็นวรรณคดีประเภทเฉลิมพระเกียรติ[[พระมหากษัตริย์]] |
|||
== เนื้อเรื่องย่อ == |
|||
เริ่มต้นด้วยการชมพระบารมีและพระบรมเดชานุภาพของ[[สมเด็จพระนเรศวรมหาราช]] แล้วดำเนินความตามประวัติศาสตร์ว่า [[พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรง]]ทรงทราบว่า [[สมเด็จพระมหาธรรมราชา]] เสด็จสวรรคต สมเด็จพระนเรศวรได้ครองราชสมบัติ พระองค์จึงตรัสปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่า[[กรุงศรีอยุธยา]]ผลัดเปลี่ยนกษัตริย์ สมเด็จพระนเรศวรและ[[สมเด็จพระเอกาทศรถ]] พระพี่น้องทั้งสองอาจรบพุ่งชิงความเป็นใหญ่กัน ยังไม่รู้เหตุผลประการใด ควรส่งทัพไปดินแดนอยุธยา เป็นการเตือน[[สงคราม]]ไว้ก่อน ถ้าเหตุการณ์เมืองอยุธยาไม่ปกติสุขก็ให้โจมตีทันที ขุนนางทั้งหลายก็เห็นชอบตามพระราชดำรินั้น พระเจ้าหงสาวดีจึงตรัสให้ พระมหาอุปราชเตรียมทัพร่วมกับ[[พระมหาราชเจ้านครเชียงใหม่]] แต่พระมหาอุปราชากราบทูลพระบิดาว่าโหรทายว่าชันษาของพระองค์ร้ายนัก |
|||
สมเด็จพระเจ้าหงสาวดีตรัสว่าพระมหาธรรมราชาไม่เสียแรงมีโอรสล้วนแต่เชี่ยวชาญกล้าหาญในศึกมิเคยย่อท้อการสงคราม ไม่เคยพักให้พระราชบิดาใช้เลยต้องห้ามเสียอีก ผิดกับพระองค์ และให้พระมหาอุปราชาไปเอาภัสตราภรณ์สตรีมาทรงเสีย พระมหาอุปราชาทรงอับอายและหวาดกลัวพระราชอาญาของพระบิดายิ่งนัก จึงเตรียมจัดทัพหลวงและทัพหัวเมืองต่างๆ เพื่อยกมาตีอยุธยา ขณะนั้นสมเด็จพระนเรศวรเตรียมทัพจะไปตี[[กัมพูชา]]เป็นการแก้แค้นที่ถือโอกาสรุกรานอยุธยาหลายครั้งระหว่างที่อยุธยาติดศึกกับพม่า พอสมเด็จพระนเรศวรทรงทราบข่าวศึกก็ทรงถอนกำลังไปสู้รบกับพม่าทันที ทัพหน้ายกล่วงหน้าไปตั้งที่ตำบลหนองสาหร่าย |
|||
ฝ่ายพระมหาอุปราชาทรงคุมทัพมากับพระเจ้าเชียงใหม่รี้พลรบ 5 แสน เข้ามาทาง[[ด่านเจดีย์สามองค์]] ทรงชมไม้ ชมนก ชมเขา และคร่ำครวญถึงพระสนมกำนัลมาตลอดจนผ่านไทรโยคลำกระเพิน และเข้ายึดเมือง[[กาญจนบุรี]]ได้โดยสะดวก ต่อจากนั้นก็เคลื่อนพลผ่านพนมทวนเกิดลางร้ายลมเวรัมภาพัดฉัตรหัก ทรงตั้งค่ายหลวงที่ตำบล[[ตระพังตรุ]] ฝ่ายสมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถทรงเคลื่อน[[พยุหยาตราทางชลมารค]] ไปขึ้นบกที่ปากโมก บังเกิดศุภนิมิต ต่อจากนั้นทรงกรีฑาทัพทางบกไปตั้งค่ายที่ตำบลหนองสาหร่าย เมื่อทรงทราบว่าพม่าส่งทหารมาลาดตะเวน ทรงแน่พระทัยว่าพม่าจะต้องโจมตีกรุงศรีอยุธยาเป็นแน่ จึงรับสั่งให้ทัพหน้าเข้าปะทะข้าศึกแล้ว ล่าถอยเพื่อลวงข้าศึกให้ประมาท แล้วสมเด็จพระนเรศวรมหาราชกับสมเด็จพระเอกาทศรถทรงนำทัพหลวงออกมาช่วย ช้างพระที่นั่งลองเชือกตกมันกลับเขาไปในหมู่ข้าศึกแม่ทัพนายกองตามไม่ทัน สมเด็จพระนเรศวรมหาราชตรัสท้าพระมหาอุปราชาทำ[[ยุทธหัตถี]]และทรงได้รับชัยชนะ โดยทรงใช้พระแสงของ้าวฟันพระมหาอุปราชาขาดคาคอช้าง พระแสงของ้าวนั้นได้รับการขนานนามในภายหลังว่า [[พระแสงของ้าวเจ้าพระยาแสนพลพ่าย]] ทางด้านสมเด็จพระเอกาทศรถได้ทรงกระทำยุทธหัตถีมีชัยชนะแก่[[มังจาชโร]] |
|||
เมื่อกองทัพพม่าแตกพ่ายไปแล้วสมเด็จพระนเรศวรมาหาราชรับสั่งให้สร้าง[[สถูป]]เจดีย์เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระมหาอุปราชา เสด็จแล้วจึงเลิกทัพกลับกรุงศรีอยุธยา เป็นอันจบเนื้อเรื่อง |
|||
== แหล่งข้อมูลอื่น == |
|||
{{วิกิซอร์ซ|ลิลิตตะเลงพ่าย}} |
{{วิกิซอร์ซ|ลิลิตตะเลงพ่าย}} |
||
รุ่นแก้ไขเมื่อ 10:49, 29 พฤษภาคม 2560
บทความนี้ได้รับแจ้งให้ปรับปรุงหลายข้อ กรุณาช่วยปรับปรุงบทความ หรืออภิปรายปัญหาที่หน้าอภิปราย
|
ลิลิตตะเลงพ่าย | |
---|---|
ชื่ออื่น | - |
กวี | กรมพระปรมานุชิตชิโนรส และ กรมหมื่นภูบาลบริรักษ์ |
ประเภท | เฉลิมพระเกียรติ |
คำประพันธ์ | ลิลิต |
ความยาว | 439 บท |
ยุค | รัตนโกสินทร์ |
ปีที่แต่ง | 16-118ปีในการแต่ง |
ส่วนหนึ่งของสารานุกรมวรรณศิลป์ |
วิกิซอร์ซ มีงานต้นฉบับเกี่ยวกับ: