ผู้ใช้:Tangpanicha
ไฟฟ้าสถิต
ไฟฟ้าสถิต (Static electricity หรือ Electrostatic Charges) เป็นปรากฏการณ์ที่ปริมาณประจุไฟฟ้าขั้วบวกและขั้วลบบนผิววัสดุมีไม่เท่ากันปกติจะแสดงในรูปการดึงดูด,การผลักกันและเกิดประกายไฟ
ประจุไฟฟ้า (Charge) ประจุไฟฟ้าเป็นปริมาณทางไฟฟ้าปริมาณหนึ่งที่กำหนดขึ้นธรรมชาติ ของสสารจะประกอบด้วยหน่วยย่อยๆ ที่มีลักษณะและ มีสมบัติเหมือนกันที่เรียกว่า อะตอม(atom)ภายในอะตอม จะประกอบด้วยอนุภาคมูลฐาน3ชนิดได้แก่ โปรตอน (proton) นิวตรอน (neutron) และ อิเล็กตรอน (electron)โดยที่โปรตอนมีประจุไฟฟ้าบวกกับนิวตรอนที่เป็นกลางทางไฟฟ้ารวมกันอยู่เป็นแกนกลางเรียกว่านิวเคลียส (nucleus) ส่วนอิเล็กตรอน มี ประจุ ไฟฟ้าลบ จะอยู่รอบๆนิวเคลียส ตามปกติวัตถุจะมีสภาพเป็นกลางทางไฟฟ้า กล่าวคือจะมีประจุไฟฟ้าบวกและประจุไฟฟ้าลบ เท่ากัน เนื่องจากในแต่ละอะตอมจะมีจำนวนอนุภาคโปรตอนและอนุภาคอิเล็กตรอนเท่ากัน เป็นไปตามกฏการอนุรักษ์ประจุ ( Law of Conservation of Charge ) เมื่อนำวัตถุสองชนิดมาถูกันจะเกิดการถ่ายเทประจุระหว่างวัตถุทั้งสองชนิดทำให้วัตถุหนึ่งมีปริมาณประจุบวกมากกว่าประจุลบ จึงมีประจุสุทธิเป็นบวก และวัตถุอีกอันหนึ่งมีปริมาณ ประจุลบมากกว่าประจุบวก จึงมีประจุสุทธิเป็นลบ เราสามารถวัดค่าไฟฟ้าสถิตได้โดยใช้ Static Field Meter โดยหน่วยที่วัดคือ โวลท์
การเกิดไฟฟ้าสถิต การที่ปริมาณประจุไฟฟ้าขั้วบวกและขั้วลบบนผิววัสดุมีไม่เท่ากันทำให้เกิดแรงดึงดูดเมื่อวัตถุทั้ง 2 ชิ้นมีประจุต่างชนิดกันหรือเกิดแรงผลักกัน เมื่อวัสดุทั้ง 2 ชิ้นมีประจุชนิดเดียวกันเราสามารถสร้างไฟฟ้าสถิตโดยการนำผิวสัมผัสของวัสดุ 2 ชิ้นมาขัดสีกัน พลังงานที่เกิดจากการขัดสีกันทำให้ประจุไฟฟ้าบนผิววัสดุจะเกิดการแลกเปลี่ยนกัน โดยจะเกิดกับวัสดุประเภทที่ไม่นำไฟฟ้า หรือที่เรียกว่า ฉนวน ตัวอย่างเช่น ยาง,พลาสติก และแก้ว สำหรับวัสดุประเภทที่นำไฟฟ้านั้น โอกาสเกิดปรากฏการณ์ประจุไฟฟ้าบนผิววัสดุไม่เท่ากันนั้นยาก แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้
การถ่ายเทประจุไฟฟ้า (Electrostatic Discharge) คือการถ่ายเทประจุไฟฟ้าที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อประจุไฟฟ้าบนผิววัสดุ 2 ชนิดไม่เท่ากัน
ตัวอย่างการเกิดไฟฟ้าสถิตและการถ่ายเทประจุไฟฟ้า เมื่อเราใส่รองเท้าหนังแล้วเดินไปบนพื้นที่ปูด้วยขนสัตว์หรือพรม เมื่อเดินไปจับลูกบิดประตูจะมีความรู้สึกว่าถูกไฟช๊อต ที่เป็นเช่นนี้สามารถอธิบายได้ว่า เกิดประจุไฟฟ้าขึ้นจากการขัดสีของวัตถุ 2 ชนิด วัตถุใดสูญเสียอิเล็คตรอนไปจะมีประจุไฟฟ้าเป็นบวก ส่วนวัตถุใดได้รับอิเล็คตรอนมาจะมีประจุไฟฟ้าเป็นลบ ซึ่งขึ้นอยู่กับวัตถุที่มาขัดสีกัน ร่างกายของคนเราเป็นตัวกลางทางไฟฟ้าที่ดี เมื่อเราเดินผ่านพื้นที่ปูด้วยขนสัตว์หรือพรม รองเท้าหนังของเราจะขัดสีกับพื้นขนสัตว์หรือพรม ทำให้อิเล็คตรอนถ่ายเทจากรองเท้าหนังไปยังพื้นพรม เมื่อเราเดินไปเรื่อย ๆ อิเล็คตรอนจะถ่ายเทจากรองเท้าไปยังพื้นมากขึ้น จึงทำให้เรามีประจุไฟฟ้าเป็นบวกกระจายอยู่เต็มตัวเรา เมื่อเราไปจับลูกบิดประตู ซึ่งเป็นโลหะจะทำให้อิเล็คตรอนจากประตูถ่ายเทมายังตัวเรา ทำให้เรารู้สึกว่าคล้าย ๆ ถูกไฟช๊อต ในลักษณะเดียวกันถ้าเราใส่รองเท้ายาง รองเท้ายางจะรับอิเล็คตรอนจากผ้าขนสัตว์หรือพรมจะทำให้เรามีประจุไฟฟ้าเป็นลบ เมื่อเราเข้าไปใกล้และจะจับลูกบิดประตู จะทำให้อิเล็คตรอนถ่ายเทจากเราไปยังลูกบิดประตู เราจะมีความรู้สึกว่าคล้าย ๆ ถูกไฟช๊อต
ทำไมไฟฟ้าสถิตถึงเป็นปัญหา ในสภาพแวดล้อมในการทำงานของเรา ไฟฟ้าสถิตเป็นสิ่งที่เราต้องให้ความสนใจ นอกจากไฟฟ้าสถิตจะมีผลต่อคน เมื่อไปสัมผัสกับวัสดุประเภทตัวนำแล้ว ทำให้รู้สึกสะดุ้งเหมือนถูกไฟช็อตแล้ว ไฟฟ้าสถิตยังส่งผลต่อกระบวนการในการผลิตด้วย ปัจจุบันชิ้นงานอิเลคทรอนิคส์นับวันจะมีขนาดเล็กลงและประสิทธิภาพที่สูงขึ้น การมีวงจรไฟฟ้ามากมายในขนาดของชิ้นงานที่เล็กลง จะส่งผลให้ชิ้นงานยิ่งไวต่อไฟฟ้าสถิตไฟฟ้าสถิตจะถูกส่งจากคนงานในสายการผลิต เครื่องมือ และอุปกรณ์อื่นๆ ไปยังชิ้นงานอิเล็คทรอนิคส์ ซึ่งมีผลทำให้คุณสมบัติทางไฟฟ้าของชิ้นงานเหล่านั้นเปลี่ยนไป อาจจะเป็นการลดคุณภาพลงหรือทำลายชิ้นงาน มีการศึกษาและพบว่ามากกว่า 50% ของชิ้นงานที่เสียหายล้วนมีผลมาจากไฟฟ้าสถิต
ข้อควรปฏิบัติเกี่ยวกับไฟฟ้าสถิต เพื่อควบคุมไฟฟ้าสถิต มีแนวทางในการปฏิบัติดังนี้ 1. ออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนอิเล็คทรอนิคส์/เครื่องมืออิเล็คทรอนิคส์ ให้ทนต่อไฟฟ้าสถิต เท่าที่เป็นไปได้ 2. ลดหรือขจัดเหตุในการเกิดไฟฟ้าสถิต มีหลายปัจจัยที่ต้องพิจารณา เช่น -พื้น / วัสดปูพื้น - ความชื้นของอากาศในห้อง - เก้าอี้ - รองเท้า - ชุดที่สวมใส่ - วิธีทำความสะอาด 3.สลายไฟฟ้าสถิตที่เกิดขึ้น วิธีการนี้คือการต่อสายดิน (Grounding) เป็นการถ่ายเทประจุไฟฟ้าที่เกิดขึ้นให้มีศักดิ์เป็นศูนย์ (0) เท่ากับพื้นดิน เราสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาเรื่องไฟฟ้าสถิตได้โดยการให้พนักงานในสายการผลิตใช้ สายรัดข้อมือ (WristStrap)การใช้กระเบื้องยางปูพื้นชนิด Static Dissipative PVC หรือ Static Conductive PVC
กฎของคูลอมบ์ "แรงดูดหรือแรงผลักระหว่างประจุไฟฟ้าเป็นสัดส่วนโดยตรงกับผลคูณระหว่างประจุและเป็นสัดส่วนโดยผกผันกับกำลังสองของระยะ ทางระหว่างประจุนั้น"
F = แรงระหว่างประจุไฟฟ้า มีหน่วยเป็น นิวตัน
Q1 , Q2 = ประจุไฟฟ้าทั้งสอง มีหน่วยเป็น คูลอมบ์
R = ระยะห่างระหว่างประจุ มีหน่วยเป็น เมตร
k = ค่าคงที่ในกฎของคูลอมบ์ = 9000000000 Nm2/c2
หลักการ ประจุต่างกันจะดูดกันและประจุต่างกันจะผลักกัน
สนามไฟฟ้า
สนามไฟฟ้า คือ บริเวณรอบ ๆ ประจุไฟฟ้าที่ประจุไฟฟ้า
สามารถส่งอำนาจไปถึง ถ้า Q เป็นประจุ + จะได้รับแรงใน
ทิศทางเดียวกับ สนามไฟฟ้า ถ้า Q เป็นประจุ - จะได้รับแรง
ในทิศตรงข้ามกับสนามไฟ ฟ้า
E = สนามไฟฟ้า มีหน่วยเป็น นิวตัน/คูลอมบ์
Q = ประจุไฟฟ้าที่ทำให้เกิดสนามไฟฟ้า
R = ระยะระหว่างประจุ
k = ค่าคงที่ 9x109 Nm2/c2
สนามไฟฟ้าระหว่างแผ่นโลหะคู่ขนานจะมีค่าคงที่ และ
มีค่าเท่ากับ
E = สนามไฟฟ้า
V = ความต่างศักย์ มีหน่วยเป็น โวลต์
d = ระยะห่างระหว่างแผ่น มีหน่วยเป็น เมตร
จุดสะเทิน คือ ตำแหน่งที่มีความเข้มของสนามไฟฟ้า
เป็นศูนย์
จุดสะเทินจะอยู่ระหว่างประจุทั้งสอง หรือภาย
นอกของ ประจุทั้งสอง จะขึ้นอยู่กับประจุไฟฟ้าทั้งสองดังนี้
1. ประจุไฟฟ้าชนิดเดียวกัน จุดสะเทินจะอยู่ระหว่าง
ประจุทั้งสอง และอยู่ใกล้ประจุไฟฟ้าที่มีแรงทางไฟฟ้าน้อย
2. ประจุไฟฟ้าต่างชนิดกัน จุดสะเทินจะอยู่ภายนอก
ของประจุทั้ง สอง และอยู่ใกล้ทางประจุไฟฟ้าที่มีแรง
ไฟฟ้าน้อย Q2 < Q1
ณ จุดสะเทิน จะได้ E1 = E2
ศักย์ไฟฟ้า
ศักย์ไฟฟ้า คือ ระดับไฟฟ้าที่มีอยู่ในวัตถุนั้น ๆ ประจุ
ลบจะเคลื่อนที่จากจุดที่มีศักย์ไฟฟ้าต่ำไปยังศักย์ไฟฟ้าสูง
ส่วนประจุบวกจะเคลื่อนที่จากจุดที่มีศักย์ไฟฟ้าสูงไปสู่จุด
ที่มีศักย์ไฟฟ้าต่ำ
V = ศักย์ไฟฟ้า มีหน่วยเป็น Volt
Q = ประจุไฟฟ้า
R = ระยะจากประจุไฟฟ้า ถึงจุดที่ต้องการหาศักย์ไฟฟ้า
k = ค่าคงที่ = 9000000000 Nm2/c2
ความต่างศักย์ไฟฟ้าระหว่างจุด 2 จุด คือ ผลต่างระหว่างศักย์
ไฟฟ้าของ จุด 2 จุดนั้น
VAB = ความต่างศักย์ไฟฟ้าระหว่าง A กับ B
VA = ศักย์ไฟฟ้าที่จุด A
VB = ศักย์ไฟฟ้าที่จุด B
พลังงานศักย์ไฟฟ้า คือ พลังงานศักย์ต่อหนึ่งหน่วยประจุ
ทที่ใช้ในการเคลื่อนประจุไฟฟ้าจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุด
หนึ่งในสนามไฟฟ้า มีหน่วยเป็นจูล
Ep = พลังงานศักย์ไฟฟ้า
q = ประจุไฟฟ้า มีหน่วยเป็น คูลอมบ์
V = ศักย์ไฟฟ้า มีหน่วยเป็น โวลต์
ส่วนพลังงานในการเคลื่อนประจุจากจุด A ที่มีความต่างศักย์
ไฟฟ้า VA ไปยังจุด B ที่มีความต่างศักย์ไฟฟ้า VB จะเป็นดังนี้
W = พลังงานที่ใช้ในการเคลื่อนประจุ มีหน่วยเป็นจูล
q = ประจุไฟฟ้าที่เคลื่อนระหว่างจุด A กับ B
V = ความต่างศักย์ไฟฟ้าระหว่างจุด A กับจุด B
จาก
V = Ed
ดังนั้น
d = ระยะระหว่างจุด 2 จุดในสนามไฟฟ้า
ความเร็วของประจุ
ประจุ +q เคลื่อนที่จากจุด A ไปยังจุด B พลังงานศักย์
ไฟฟ้าจะ เปลี่ยนไปเป็นพลังงานจลน์
พลังงานศักย์ไฟฟ้าที่ลด = พลังงานจลน์ที่เพิ่มขึ้น
; v = ความเร็วของประจุ มีหน่วยเป็น m/s
ความประจุไฟฟ้า
ความจุไฟฟ้า หมายถึง ความสามารถในการกักเก็บ
ประจุของวัตถุ วัตถุที่สามารถรับประจุได้มากแต่ทำให้ศักย์
ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นน้อย แสดงว่า วัตถุนั้นมีความจุไฟฟ้ามาก
ความจุไฟฟ้าของวัตถุใด ๆ จะเป็นอัตราส่วนระหว่าง
ประจุไฟฟ้ากับศักย์ไฟฟ้าของวัตถุนั้น
C = ความจุไฟฟ้า มีหน่วยเป็นฟารัด (F) หรือคูลอมบ์/โวลต์
Q = ปริมาณประจุไฟฟ้า
V = ศักย์ไฟฟ้า
สัญลักษณ์แทนตัวเก็บประจุ จะเป็นรูปแผ่นขนานด้วย
ขีด 2 ขีด
ความจุของวัตถุชนิดต่าง ๆ
1. ทรงกลม - ความจุจะแปรผันตามรัศมีของทรงกลม
ดังนั้นตัวนำทรงกลมใหญ่ จะมีความจุมากกว่าตัวนำทรง
กลมเล็ก
แต่
C = ความจุไฟฟ้า
R = รัศมีของทรงกลม
k = ค่าคงที่
2. แผ่นโลหะที่ขนานกัน
C = ความจุไฟฟ้า
Q = ประจุไฟฟ้าโดยการเหนี่ยวนำ
V = ความต่างศักย์ไฟฟ้าระหว่างแผ่นทั้งสอง
A = พื้นที่ของแผ่นโลหะ มีหน่วยเป็นตารางเมตร
d = ระยะระหว่างแผ่นโลหะ
= Permittivity Constant
= 8.85x10-12 C2/N-m2
พลังงานสะสมในตัวเก็บประจุ สามารถหาได้จากพื้นที่ใต้
กราฟเนื่อง จากถ้าความต่างศักย์ V ที่ต่อกับตัวเก็บประจุ
มีค่าเพิ่มขึ้น ประจุ Q บนตัวเก็บประจุจะมีค่าเพิ่มขึ้นด้วย
พื้นที่ใต้กราฟ = พลังงานสะสมในตัวเก็บประจุ
มีหน่วยเป็นจูล
การต่อตัวเก็บประจุ
1. แบบอนุกรม ประจุ Q แต่ละตัวจะเท่ากัน คือ
Qรวม = Q1 = Q2 = Q3
2. แบบขนาน ความต่างศักย์ระหว่างแต่ละตัวจะเท่ากันคือ
Vรวม = V1 = V2 = V3
Qรวม = Q1 + Q2 + Q3
CVAB = C1VAB + C2VAB + C3VAB
C = C1 + C2 + C3ข้อความตัวเอน