ผู้ใช้:Kanjikyz46
น้ำอบไทย (อังกฤษ: Scented water) คือ นํ้าที่ปรุงด้วยเครื่องหอมแล้วอบด้วยควันกำยานหรือเทียนอบ และนำมาปรุงด้วยเครื่องหอม มีลักษณะเป็น น้ำใสสีเหลืองอ่อน ๆ [1]
ประวัติความเป็นมา[แก้]
น้ำอบไทยเป็นหนึ่งในเครื่องหอมไทยโบราณที่ประวัติความเป็นมา มีความยาวนานนับรวมเวลาตั้งแต่มีหลักฐานการบันทึกไว้ ตั้งแต่ครั้งปลายกรุงศรีอยุธยาจนเข้ากรุงรัตนโกสินทร์เป็นเวลา 250 ปี หลักฐานที่มีปรากฎในโคลงกลอนมีปรากฎคำว่า น้ำอบในนิราศพระปฐมของสุนทรภู่ครูกวีที่ว่าไว้ "มะลิซ้อนสารภีมาลีตลบ เหมือนน้ำอบเจือกุหลาบซาบนาสา รื่นรื่นกลิ่นเสาวคนธ์สุมณฑา เหมือนกลิ่นผ้าแพรหอมย้อมมะเกลือ" (นิราศพระปฐม) ในบทกลอนกล่าวไว้ชัดเจนว่า น้ำอบนั้นเริ่มแพร่หลายมายาวนานแล้ว ในแผ่นดินล้นเกล้ารัชกาลที่2 พระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงโปรดน้ำอบไทยเป็นอย่างยิ่ง มีการปรุงแต่งน้ำอบหลากหลายตำรับเพื่อขึ้นทูลเกล้าถวายส่วนใหญ่น้ำอบในแผ่นดินรัชกาลที่ 2 จะเป็นทางสายวังหลังวังเดิมฝั่งธนบุรี ซึ่งล้วนแต่ถ่ายทอดการทำมาจากกรุงเก่าทั้งสิ้น
แต่เดิมสตรีในราชสำนักไทยนั้น นิยมการอบร่ำผ้าผ่อนท่อนสไบกันมานานหนักหนา การนำกลิ่นอบร่ำจากเครื่องหอมที่ได้จากยางไม้หอมกำยาน จากเปลือกไม้เช่นชะลูด หรือจะแก่นไม้ที่ได้จากแก่นไม้จันทร์ นำมาเผาทำให้เกิดควันอบลงบนพื้นผ้า ให้ความหอมจับฝั่งแน่นในเนื้อผ้า แล้วนำดอกไม้ไทยกลิ่นหอมมาเป็นตัวแต่งกลิ่น ให้ความหอมของดอกไม้หอมเป็นตัวผสานกลิ่น เช่นเดียวกับน้ำอบ การคิดค้นนำกลิ่นอบร่ำมาแทรกใส่ในน้ำลอยดอกไม้ซึ่งเป็นที่มาของการทำน้ำอบ ได้แปลงมาจากการอบร่ำหีบหรืออบร่ำผ้าในแบบดั้งเดิมนั้นเอง การอบร่ำคือการอบซ้ำซ้อนอยู่หลายๆรอบ การอบน้ำด้วยควันกำยานแล้วนำน้ำมาอบดอกดอกไม้หอมอีกครั้ง ก่อนนำมาปรุงแต่งกลิ่นด้วยพิมเสนและชะมดเช็ด เพื่อให้เกิดกลิ่นเฉพาะตัว สำหรับน้ำอบตำรับวังหลวงนี้ ตำรับที่ได้รับความนิยมว่าเป็นน้ำอบชั้นวิเศษคือ ตำรับพระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าพวงสร้อยสอางค์ เนื่องจากพระองค์มีหน้าที่ปรุงพระสุคนธ์ถวายล้นเกล้ารัชการที่ 5 ตำหนักของพระองค์พวงสร้อยสอางค์ในพระราชฐานชั้นใน จึงอบอวลไปด้วยกรุ่นกลิ่นน้ำอบไทยเครื่องหอมแบบโบราณฟุ้งกระจายไปทั่วตำหนัก น้ำอบตำหรับพระองค์พวงสร้องสอางค์นี้ จะเน้นกลิ่นไม้จันทร์หอมแทรกอยู่ในน้ำอบด้วยเสมอ กลิ่นดอกกระดังงาไทยที่นำมาล่นไฟแล้วลอยอบน้ำไว้จะแทรกอยู่ในน้ำที่อบร่ำด้วยเครื่องร่ำกำยานกลิ่นพิกุลอบอวลตามมาตามลำดับ เป็นกลิ่นประจำของน้ำอบตำหรับนี้ ส่วนตำหนักพระองค์พวงสร้อยสอางค์นั้นขึ้นชื่อในการปรุงน้ำอบไทยรวมทั้งเครื่องหอมชนิดอื่น ๆ อีกมากมาย ตำหนักพระองค์พวงสร้อยวอางค์มีการอบน้ำอบขายจำหน่ายแป้งร่ำแป้งหินดินสอพองน้ำปรุง สีผึ้งกระทิ เครื่องร่ำกำยาน เทียนอบรวมไปถึงธูปหอมอีกด้วย ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการนำเอาหัวน้ำหอมจากต่างประเทศเข้ามาประยุกต์ใช้กับเครื่องหอมโบราณ ของไทย ทำให้เกิดลักษณะของการทำน้ำอบเป็น 2 อย่าง คือ น้ำอบไทย กับน้ำอบฝรั่ง ทำให้ค่านิยมของการใช้น้ำอบไทยลดลง ทำให้พวกน้ำหอมใช้เป็นที่แพร่หลายในกลุ่มประชาชนจนถึงทุกวันนี้
จากคำบอกเล่าของคุณยายเยาวัยนาฎ ชินะโชติ ท่านทรงเล่าไว้บรรยากาศในตำหนักของทูลกระหม่อม วไลยลงกรณ์ เรือนไม้สำหรับข้าหลวงทูลกระหม่อมนั้น มีห้องเก็บของอุปกรณ์ทำน้ำอบไทยของคุณประมูล พื้นที่โล่งนี้ใช้เป็นที่ทำน้ำอบไทย มีเครื่องใช้หลายอย่างมากมายเต็มไปหมด น้ำอบไทยคุณประมูลมีชื่อเสียงมาก เจ้านายทุกตำหนักทรงใช้น้ำอบของคุณประมูลทั้งนั้น แม้แต่สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีพระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 ก็ทรงโปรด รวมทั้งเจ้านายที่ประทับอยู่นอกวังสวนสุนันทา จะให้ข้าหลวงถือขวดแก้วเจียรไนมาซื้อน้ำอบไทยที่เรือนพักของคุณประมูล น้ำอบไทยจะบรรจุอยู่ในขวดโหลแก้วใบใหญ่ (โหลยาดอง) ข้าง ๆโหลวางชามกระเบื้อง ใส่กรวยและกระบวยทองเหลืองสำหรับตักน้ำอบ มีผ้าขาวสะอาดวางบนถาดสำหรับเช็ดขวดน้ำอบเมื่อน้ำอบไหลเปียกด้านนอกขวด เวลาจะตักน้ำอบต้องใช้กระบวยด้ามยาวคนแป้งที่นอนก้นขวดให้ผสมกันเป็นเนื้อเดียว เวลาคนน้ำอบลำบากมากเพราะคนแรงไม่ได้กระบวยจะกระทบข้างขวดโหลแก้วเกิดร้าวและแตกได้ ราคาน้ำอบกระบวยเล็ก ๆ นิดเดียว ราคา 5 สตางค์ [2]
ปัจจุบันน้ำอบไทยเริ่มค่อย ๆ เสื่อมลง มีเพียงแต่ผู้สูงอายุที่ยังคงใช้ หรือจะใช้อีกทีตอนมีพิธีกรรมหรือประเพณีต่าง ๆ ด้วยวัฒนธรรมการใช้น้ำอบไทยที่เปลี่ยนไป จึงทำให้น้ำอบไทยเริ่มเลือนหายไปจากสังคมไทย เหลือเพียงแค่ไม่กี่เจ้าที่ยังทำขายออกสู่ตลาดอย่างเช่น น้ำอบนางลอย นอกนั้นก็จะเป็นสูตรเฉพาะตามชุมชนท้องถิ่นที่ไม่ได้มีการเผยแพร่กระบวนการทำแต่อย่างใด
ส่วนผสมและขั้นตอนการทำน้ำอบไทย[แก้]
|
1. ผงกำยาน
2. เปลือกชะลูด
3. หัวน้ำหอม
4. ดอกมะลิ
5. ดอกไม้ที่เราชอบ
6. ชะมดเช็ด
7. แป้งร่ำ
8. น้ำตาลทรายแดง
9. น้ำตาล
10. ผงไม้จันทน์
11. ผิวมะกรูด
12. น้ำสะอาด
13. ใบพลู
14. ใบเตยแบบหั่น
|
1. หม้อ
2. โถกระเบื้องปากกว้างพร้อมฝา
3. กระบวย
4. ผ้าขาวบาง
5. เตาแก๊ส
6. ทัพพี
7. เทียนอบ
8. ช้อน
9. ขวด
10. จานดินเผาขนาดเล็ก
11. ตะคัน
12. ทวน
|
1. ตวงน้ำสะอาดใส่หม้อ จากนั้นนำดอกมะลิ, ดอกกุหลาบ (หรือดอกไม้อื่น ๆ ที่มีกลิ่นหอม) เด็ดเอาไฟลนที่ขั้วของดอกกุหลาย และบีบขั้วที่ลนไฟใส่ในน้ำ เด็ดกลีบลงลอยน้ำทิ้งไว้ 1 คืน
หมายเหตุ: ขั้นตอนนี้ต้องทำตอนเย็นเพราะดอกไม้จะคลายกลิ่นตอนกลางคืน
2. รุ่งเช้าตักดอกมะลิและดอกกุหลาบออกจากหม้อ
3. เอาน้ำมาตังไฟให้เดือด จากนั้นใส่ชะลูด และใบเตยแบบหั่นยาวประมาณ 1-2 นิ้ว ใส่ลงไปในน้ำ จากนั้นปิดไฟ แล้วรอให้น้ำเริ่มเย็นจึงนำดอกมะลิและดอกกหุลาบมาลอยน้ำเหมือนเดิม ตั้งทิ้งไว้อีก 1 คืน
4. เมื่อถึงรุ่งเช้าก็ตักดอกไม้ทั้งหมดออก แล้วแบ่งน้ำออกเป็น 2 หม้อ
หมายเหตุ: หากต้องการให้กลิ่นไหนนำสามารถใส่หัวน้ำหอมกลิ่นนั้นลงไปเยอะ ๆ
5. นำทวนไปวางไวกลางหม้อ ตั้งไฟเผาตะคันให้ร้อนมาก จากนั้นนำที่คีบ คีบตะคันมาวางไว้บนทวน
6. ตัก น้ำตาลทรายแดง กำยาน ผงไม้จันทน์ น้ำตาล และผิวมะกรูด ใส่ลงไปในตะคันในขณะที่ยังร้อน ๆ จากนั้นคนให้เข้ากัน
7. ตักส่วนผสมทั้งหมดมาไว้ในชามแล้วใส่หัวน้ำหอม (เลือกใส่ได้ตามกลิ่นที่ชอบ) ผสมลงไปแล้วคนให้เข้ากัน
8. จากนั้นจุดเทียบอบแล้วดับเพื่อให้เกิดควัน ปิดฝาหม้อทิ้งไว้สักครู่ ของในหม้อก็จะมีกลิ่นหอมจากดอกไม้และควันเทียนอบอวลติดอยู่ ปิดฝาหม้อไว้สักพักหนึ่ง
9. จากนั้นลองเปิดฝาหม้อดูว่ามีไขเทียนขึ้นหรือไม่ หากไขเทียนยังไม่ขึ้นให้ปิดฝารอจนกว่าไขเทียบจะขึ้น
10. นำส่วนผสมจากข้อ 7 มาใส่ลงตะคันแล้วปิดฝาหม้อ
11. นำชะมดเช็ดเพียง 1 จุด ป้ายลงไปในใบพลู จากนั้นนำไปเผา
12. นำชะมดเช็ดที่ละลายแล้ว ไปผสมกับแป้งร่ำ
13. จากนั้นผสมแป้งร่ำกับหัวน้ำหอมแล้วใส่ลงไปในหม้อที่อบดอกไม้ไว้
14. ทำการโกรก (การโกรกคือ การเทให้ไหลลงไปเรื่อย ๆ)
15. ทำซ้ำตั้งแต่ ข้อที่ 6 จำนวน 5-7 ครั้ง หรือตามความต้องการ
16. ใช้ผ้าขาวบางกรองเศษดอกไม้
17. ตักใส่ขวดและปิดฝาขวดให้เรียบร้อย
หมายเหตุ: ระหว่างใส่ขวด คนแป้งให้เข้ากันเพื่อให้ได้ส่วนผสมที่กันทุกขวด
สรรพคุณของน้ำอบไทย[แก้]
ประพรมคลายร้อนช่วยให้เย็นขึ้น สามารถดับพิษร้อนได้ เพราะสมุนไพรที่ใช้มีสรรพคุณคลายร้อน ทั้งไม้จันทน์หอม ทั้งชะลูดและใบเตย มีสรรพคุณดับพิษร้อนที่อยู่ในร่างการ เมื่อทาแล้วสามารถดับพิษร้อนที่อยู่ในร่างกายได้ทันที ขณะที่พิมเสน แป้งร่ำและแป้งหินเป็นตัวที่ช่วยให้เกิดความเย็นสบาย [3]
ความสำคัญของน้ำอบในเชิงประเพณีวัฒนธรรมไทย[แก้]
ในสังคมไทยสมัยโบราณ การใช้เครื่องหอมได้สอดแทรกอยู่ในประเพณีต่าง ๆ ควบคู่กับการดำเนินชีวิต เช่น ประเพณีการโกนผมไฟ พิธีสรงน้ำพระ การรดน้ำดำหัวในวันสงกรานต์ ตลอดถึงการรดน้ำศพ แต่ที่นิยมใช้กันมากที่สุดคือใช้เป็นเครื่องประทินผิว ซึ่งหลักฐานการใช้น้ำอบไทยหรือเครื่องหอมแบบไทยนั้นมีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย
อ้างอิง[แก้]
- ↑ ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสถาน.
- ↑ คนรักไม้ดอกหอมและเครื่องหอมไทย. “น้ำอบไทยตำหรับวังหลวง.” (6 กุมภาพันธ์ 2560). https://www.facebook.com/permalink.php?id=618245741648114&story_fbid=834776106661742 (สืบค้นเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2560).
- ↑ อานนท์ ภาคมาลี. “น้ำอบไทย.” (17 มีนาคม 2556) . [1]https://www.gotoknow.org/posts/526699 (สืบค้นเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2560).