ผู้ใช้:Chanitpol.game/กระบะทราย

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

สาหร่ายพวงองุ่น[แก้]

สาหร่ายทะเล เป็นพืชชั้นต่ำชนิดหนึ่งที่อาศัยอยู่ในทะเล และเป็นอาหารที่นิยมบริโภคในต่างประเทศมาเป็นเวลานานแล้ว ประเทศที่นิยมบริโภคสาหร่ายทะเลได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี และฟิลิปปินส์ โดยสาหร่ายที่เราเห็นกันอยู่ในภาพนี้ มีชื่อว่า สาหร่ายพวงองุ่น ชื่อวิทยาศาสตร์ของมันคือ Caulerpa lentillifera J. Agardh เป็นสาหร่ายทะเลสีเขียวที่มีใบ (รามูลัส) เป็นเม็ด ทรงกลม ใส สีเขียว มีแขนงตั้งตรงลักษณะคล้ายพวงองุ่นแตกออกมาจากส่วนที่เลื้อยไปตามพื้นผิว ส่วนปลายของแขนงย่อยเป็นทรงกลม ซึ่งแตกปกคลุมหนาแน่นเกือบตลอดความยาวแขนง มีรอยคอดชัดเจนระหว่างปลายแขนงย่อยที่เป็นทรงกลมกับส่วนก้านสั้น

สาหร่ายทะเลเป็นอาหารที่นิยมบริโภคในต่างประเทศมาเป็นเวลานาน ประเทศที่นิยมบริโภคสาหร่าย ทะเล ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ฟิลิปปินส์ เป็นต้น นอกจากนี้สาหร่ายทะเลยังมีประโยชน์หลากหลาย ไม่ว่าจะใช้ ในอุตสาหกรรมอาหาร เป็นส่วนประกอบของเครื่องส าอางค์ ปุ๋ย ยารักษาโรค อาหารสัตว์ เป็นต้น ในปัจจุบัน มีการนิยมบริโภคสาหร่ายทะเลมากขึ้น เนื่องจากสาหร่ายทะเลมีคุณประโยชน์มากมาย จัดเป็นอาหารสุขภาพ ประเทศที่มีการเลี้ยงและส่งออกสาหร่ายมีหลายประเทศ เช่น ประเทศจีน เวียดนาม แคนาดา ฟิลิปปินส์ เป็น ต้น ในประเทศไทยนั้นมีการบริโภคสาหร่ายทะเลในจังหวัดทางภาคใต้และภาคตะวันออก โดยรับประทานแทน ผัก ในปัจจุบันกรมประมงสามารถเพาะเลี้ยงสาหร่ายทะเลได้หลายชนิด โดยหนึ่งในนั้น ได้แก่ สาหร่ายพวงองุ่น ซึ่งเป็นสาหร่ายที่มีคุณค่าทางอาหารสูงและเป็นหนึ่งในอาหารยอดนิยมของชาวญี่ปุ่น

สาหร่ายพวงองุ่น เป็นสาหร่ายทะเลสีเขียว (green algae) หรือมีชื่อสามัญว่า Sea Grapes หรือ Green Caviar เนื่องจากมีเม็ดกลมและเป็นช่อคล้ายพวงองุ่น หรือคล้ายไข่ปลาคาร์เวียร์ นอกจากนี้ยังมีชื่อ เรียกว่า Lelato, Ararusip, Lato ชาวญี่ปุ่นเรียกสาหร่ายชนิดนี้ว่า umibudo มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Caulerpa lentillifera J. Agardh อยู่ในครอบครัว Caulerpaceae เป็นสาหร่ายที่มีการแพร่กระจายอยู่ในเขต tropical และ subtropical พบได้ในประเทศอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ไทย เวียดนามและญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังแพร่กระจาย ไปเขตร้อน ได้แก่ เคนยา มาดากัสการ์ มอริเซียส โมแซมบิก โซมาเลีย อาฟริกาใต้ แทนซาเนียและปาปัวนิวกินี เจริญเติบโตได้ดีในน้ าที่มีสารอาหารบริบูรณ์และแสงแดด มีลักษณะคล้ายองุ่น สีเขียวสด มีคุณค่าทางอาหารสูง จัดเป็นอาหารทะเลที่ส าคัญในญี่ปุ่นและฟิลิปปินส์ มีทั้งการเก็บเกี่ยวจากธรรมชาติและจากการเลี้ยงในบ่อดิน การเลี้ยงแบบเชิงพาณิชย์ในจังหวัดโอกินา เริ่มต้นในปี 1986 (Trono and Toma, 1993)

ทัลลัสประกอบด้วยสโตลอนที่คืบคลานไปตามพื้นและแตกแขนงได้ แขนงตั้งตรงสูง 1-6 ซม. ประกอบด้วยรามูลัสที่เป็นเม็ดกลม เส้นผ่าศูนย์กลาง 1.5-2 มม. มีก้านสั้น ๆ เรียงกันคล้ายช่อพริกไทย แต่ละ รามูลัสมีรอยคอดระหว่างก้านและส่วนที่เป็นเม็ดกลมสีเขียวใส ขึ้นบนก้อนหิน หรือพื้นทรายที่น้ าตื้น ๆ ใกล้ แนวปะการัง (Lewmanomont and Ogawa 1995) นอกจากนี้สามารถพบได้ในพื้นทรายปนโคลน และ สามารถปรับสภาพให้เจริญเติบโตได้ดีในบ่อเลี้ยง แต่ไม่สามารถทนทานต่อน้ าจืด สาหร่ายพวงองุ่นเป็นหนึ่งในสาหร่ายที่รับประทานได้ของประเทศไทย (กาญจนภาชน์, 1978) สาหร่ายชนิดนี้อุดมด้วยแร่ธาตุ และวิตามินหลายชนิด ทั้งกรดไขมัน PUFA วิตามินบี 2 วิตามินอี และเกลือแร่ ได้แก่ I, P, Zn, Ca, Mg, Se, Fe, Mn, Co มีลักษณะคล้ายองุ่น เนื่องจากมีรสชาติดีและมีคุณค่าทางอาหารจึง จัดเป็น 1 ใน 5 อาหารแนะน าส าหรับผู้ที่ไปเยือนเมืองโอกินาว่า เป็นอาหารสุขภาพ ชาวโอกินาว่าเชื่อว่าการ รับประทานสาหร่ายทะเล ช่วยให้หายป่วยได้เร็วขึ้น เนื่องจากมีวิตามินเอ วิตามินซีและเกลือแร่สูง เป็นแหล่ง ส าคัญของแมกนีเซียม ที่ช่วยลดความด้นโลหิต และป้องกันโรคหัวใจล้มเหลว ช่วยต้านมะเร็ง ไอโอดีนสูงจึง ช่วยผู้ป่วยที่เป็นโรค ไทรอยด์(http://www.onlyfoods.net/caulerpa-lentillifera.html)

ิยมบริโภคกับอาหารทะเล รับประทานสดแทนผัก สลัด ตกแต่งจานอาหาร อีกทั้งยังเป็นอาหารที่มีราคาแพง ตาราง แสดงคุณค่าทางอาหารของสาหร่าย C. lentillifera (Ratana-arporn and Chirapart , 2006) องค์ประกอบทางเคมีอย่างหยาบ มิลลิกรัม/ 100 กรัม น้ าหนักแห้ง โปรตีน 12.49 ไขมัน 0.86 เยื่อใย 3.17 เถ้า 24.2 คาร์โบไฮเดรต 59.27 ความชื้น 25.31

เกลือแร่ มิลลิกรัม/ 100 กรัม น้ าหนักแห้ง ฟอสฟอรัส 1030 โปแตสเซียม 970 แคลเซียม 780 แมกนีเซียม 630 สังกะสี 2.6 แมงกานีส 7.9 เหล็ก 9.3

ไมโครกรัม/100 กรัมน้ าหนักแห้ง

ทองแดง 2200 ไอโอดีน 1424 วิตามิน มิลลิกรัม /100 กรัมน้ าหนักสด E 2.22 C 1.00 Thiamin 0.05 Riboflavin 0.02 Niacin 1.09 นอกจากนี้สาหร่าย C. lentillifera ยังมีกรดอะมิโนจ าเป็นเกือบ 40% ของกรดอะมิโนรวม ซึ่ง ใกล้เคียงกับในไข่และโปรตีนถั่วเหลือง และมีกรดอะมิโนชนิด aspartic และ glutamic สูงประมาณ 25% ของ ปริมาณกรดอะมิโนทั้งหมดท าให้สาหร่ายมีกลิ่นและรสเฉพาะตัว

การเลี้ยงสาหร่าย C. lentillifera ประเทศฟิลิปปินส์ มีการเลี้ยงสาหร่ายพวงองุ่นทั้งในบ่อดินและบ่อน้ าธรรมชาติ ในประเทศไทยนั้น กรมประมงริเริ่มการเลี้ยงสาหร่ายชนิดนี้ตั้งแต่ปี 2536 โดยปลูกในบ่อพักน้ าชีวภาพ นัจจุบันสามารถเลี้ยงมี ปริมาณมากเพื่อการขยายผลเชิงพาณิชย์ได้ รูปแบบการเลี้ยง สามารถเลี้ยงได้ 3 รูปแบบ ได้แก่ ระบบการเลี้ยงในบ่อพักน้ าแบบธรรมชาติระบบ การเลี้ยงในบ่อดินหรือบ่อเลี้ยงสัตว์น้ า เช่น บ่อเลี้ยงกุ้ง หรือบ่อเลี้ยงปลา และระบบการเลี้ยงในบ่อคอนกรีต การเลี้ยงสาหร่ายในบ่อดิน ขั้นตอนการปลูกและการจัดการสาหร่ายในบ่อดิน 1. การปลูกสาหร่าย ปลูกได้ทั้งแบบหว่านและแบบปักช า โดยในช่วงเริ่มต้นปลูกครั้งแรก เติมน้ า ความเค็ม 27-30 ส่วนในพัน ประมาณ 40 เซนติเมตร เมื่อปลูกแล้วประมาณ 1 สัปดาห์จึง ค่อยเพิ่มระดับน้ าให้อยู่ในระดับที่แสงส่องถึง ขึ้นกับความโปร่งแสงของน้ า โดยมากรักษา ระดับน้ าให้มีความลึกประมาณ 60-100 ซม. แบบปักช ามีข้อดีกว่าแบบหว่าน เนื่องจาก สาหร่ายจะมีอัตราความหนาแน่นที่ใกล้เคียงกันและควบคุมความหนาแน่นได้ ท าให้สาหร่าย ที่โตมีแขนงที่ยาวและมีขนาดสม่ าเสมอ นอกจากนี้สามารถปลูกสาหร่ายบนแผงอวนหรือตา ข่ายได้ท าให้สาหร่ายมีความสะอาดและมีคุณลักษณะดี 2. หลังจากการปลูกประมาณ 1-2 เดือน จะสามารถเก็บเกี่ยวสาหร่ายได้ และความถี่ในการเก็บ เกี่ยว 2 สัปดาห์ต่อครั้ง 3. การจัดการระบบน้ า ควรมีการสูบน้ าเข้าบ่อเลี้ยงประมาณ 2 ครั้งต่อสัปดาห์หรือดัดแปลงบ่อ ด้วยการติดตั้งท่อน้ าเข้าออกแบบมีลิ้นปิดเปิดตามระดับน้ าธรรมชาติ นอกจากนี้ความถี่ในการ สูบน้ าเข้ายังขึ้นกับอายุการเลี้ยงและความหนาแน่นของสาหร่าย เพื่อเพิ่มสารอาหาร ธรรมชาติ การหมุนเวียนน้ า และการรักษาระดับน้ าในบ่อเลี้ยง 4. อาจติดตั้งเครื่องตีน้ ารอบช้าหรือระบบยกน้ าเพื่อเพิ่มการหมุนเวียนน้ าและป้องกันการแบ่งชั้น ของน้ า และติดตั้งท่อระบายน้ าผิวบนออก ในฤดูฝน 5. เพื่อป้องกันการบังแสงและแก่งแย่งสารอาหาร ควรสุ่มตรวจความหนาแน่นของสาหร่าย โดย อัตราความหนาแน่นที่เหมาะสมประมาณ 1 กิโลกรัมต่อตารางเมตร ทยอยเก็บเกี่ยวทุก 2 สัปดาห์และคงปริมาณไว้ประมาณ 25% ของปริมาณตั้งต้น หากสาหร่ายแน่นเกินไป ให้น าไป หว่านบริเวณอื่น 6. การก าจัดและป้องกันศัตรูของสาหร่าย หมั่นเก็บสาหร่ายชนิดอื่นหรือ epiphyte ที่เกิดขึ้นใน บ่อเมือ่น้ าตื้นเกินไป ดังนั้นการรักษาระดับน้ าเพื่อให้แสงส่องถึงในระดับที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่ง ส าคัญ ผลผลิต ในระบบการเลี้ยงในบ่อดินและปลูกบนแผงตาข่าย ขนาด 0.1 ตร.ม. มีปริมาณสาหร่าย เริ่มต้น 2.5 กิโลกรัม สามารถเลี้ยงให้มีน้ าหนักที่เพิ่มขึ้น 45% ของน้ าหนักตั้งต้น หรือ1.25 กิโลกรัมต่อแผง ต่อ 2 สัปดาห์ เทียบเท่าผลผลิต 12.5 กิโลกรัมต่อตารางเมตรต่อ 2 สัปดาห์ โดยน้ าเลี้ยงควรมีสารอาหารและ คุณสมบัติ ดังนี้ แอมโมเนียรวมไม่น้อยกว่า 0.05 ppm pH ช่วงกว้าง 8-9 , แอลคาไลนิตี้ 120-140 มิลลิกรัม ต่อลิตร ความเค็ม 27-33 ส่วนในพัน อุณหภูมิประมาณ 25-30 องศาเซลเซียส

ด้วยความที่หน้าตามันมีลักษณะเป็นพวง เม็ดกลมเป็นช่อ คล้ายเหมือนกับองุ่น หรือไข่ปลาคาเวียร์สีเขียว มันจึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "Sea grapes" หรือ "Green caviar" ส่วนชาวญี่ปุ่นจะเรียกสาหร่ายชนิดนี้ว่า "Umi budo" ซึ่งแปลว่า องุ่นแห่งท้องทะเลค่ะ

นอกจากนี้ยังมีสาหร่ายอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะที่ใกล้เคียงกับสาหร่ายพวงองุ่นชนิดนี้มาก นั่นก็คือ สาหร่ายช่อพริกไทย ซึ่งจัดอยู่ในตระกูลที่ใกล้เคียงกับสาหร่ายพวงองุ่น แต่มีน้ำหนักเบากว่า เนื่องจากมีลักษณะของเม็ดที่เล็กกว่า คล้ายกับเม็ดพริกไทย จึงถูกเรียกว่า "สาหร่ายช่อพริกไทย" นั่นเอง

สาหร่ายพวงองุ่นจัดเป็นหนึ่งในสาหร่ายที่รับประทานได้ และยังมีรสชาติดีอีกด้วย โดยเราอาจพบสาหร่ายชนิดนี้เจริญอยู่บนโขดหิน ก้อนกรวด และพื้นทราย ในเขตน้ำขึ้นน้ำลงไปจนถึงเขตน้ำลงต่ำสุดบริเวณชายฝั่งที่มีคลื่นไม่รุนแรง โดยอาจอยู่รวมตัวกันเป็นกระจุกหรือปะปนกับสาหร่ายชนิดอื่นตามซอกหินหรือปะการัง ปัจจุบันสามารถพบสาหร่ายพวงองุ่นได้ในเขตประเทศอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ไทย เวียดนาม และญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังแพร่กระจายไปในเขตร้อนอย่าง เคนยา มาดากัสการ์ โมแซมบิก แทนซาเนียและปาปัวนิวกินี

สาหร่ายพวงองุ่นจัดเป็นอาหารสุขภาพที่มีราคาค่อนข้างสูง  ดังนั้นหลายประเทศจึงนิยมเลี้ยงสาหร่ายทะเลเพื่อส่งออก  ซึ่งปัจจุบันกรมการประมงในประเทศไทยสามารถเพาะเลี้ยงสาหร่ายพวงองุ่น  ได้ด้วยวิธีที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้เกษตรกรสามารถเลี้ยงสาหร่ายพวงองุ่นได้อย่างสะอาดและมีสีสันสวยงาม ทั้งยังถือเป็นสาหร่ายที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจซึ่งได้มีการขยายในระบบบ่อเลี้ยง                โดยในประเทศฟิลิปปินส์  มีการเลี้ยงสาหร่ายพวงองุ่นทั้งในระบบบ่อดินและบ่อน้ำธรรมชาติ  ส่วนในประเทศไทย  กรมการประมงริเริ่มการเลี้ยงสาหร่ายชนิดนี้ในปี พ.ศ. 2536  โดยปลูกในบ่อพักน้ำชีวภาพ  แต่ปัจจุบันได้พัฒนาการเพาะเลี้ยงเพื่อขยายผลในเชิงพาณิชย์  โดยสามารถเพาะเลี้ยงได้ 3 รูปแบบ  ทั้งในระบบบ่อการเลี้ยงในบ่อพักน้ำธรรมชาติ  เลี้ยงในบ่อดินหรือบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำ  เช่น บ่อเลี้ยงกุ้ง  หรือบ่อเลี้ยงปลา  และระบบการเลี้ยงในบ่อคอนกรีต

ทั้งนี้สาหร่ายพวงองุ่น ถือเป็นหนึ่งในอาหารยอดนิยมของชาวญี่ปุ่น เพราะมีความเชื่อกันว่า หากรับประทานสาหร่ายชนิดนี้ จะทำให้หายป่วยเร็วขึ้น เนื่องจากสาหร่ายพวงองุ่นเป็นสาหร่ายที่มีคุณค่าทางอาหารสูง คือมีปริมาณของแร่ธาตุหลากหลายชนิด ได้แก่ ไอโอดีนซึ่งช่วยป้องกันและรักษาโรคคอพอก แมกนีเซียมช่วยบำรุงกล้ามเนื้อและระบบประสาท โปแทสเซียมช่วยควบคุมการทำงานของเซลล์และสมดุลของน้ำในร่างกาย รวมทั้งพบวิตามินบี ซี อี และกรดอะมิโนจำเป็นหลากหลายชนิด ที่ไม่พบในพืชบก โดยพบว่ามีกรดอะมิโนจำเป็นอยู่เกือบ 40% ของกรดอะมิโนรวม ซึ่งใกล้เคียงกับในไข่และโปรตีนถั่วเหลือง ทั้งยังมีแคลอรี่ต่ำ จึงเหมาะสำหรับผู้ป่วยด้วยโรคเบาหวาน หัวใจ และความดันโลหิต ด้วยคุณสมบัติเช่นนี้ จึงทำให้สาหร่ายพวงองุ่น ได้รับการเรียกขานว่า "longevity seaweeds"

ด้วยหน้าตาที่น่าประทานของสาหร่ายพวงองุ่นและคุณประโยชน์มากมายของมันเช่นนี้แล้ว ทำให้สาหร่ายพวงองุ่นกลายเป็นอาหารสุขภาพน้องใหม่ที่กำลังได้รับความนิยม ดังนั้นอย่าลืมลองหาซื้อสาหร่ายพวงองุ่นมารับประทานเพื่อสุขภาพที่ดีของเรากันบ้างนะคะ


อ้างอิง

[1]

  1. http://www.fisheries.go.th/cf-coastal_feed/images/stories/pdf/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%A2%E0%B9%8C.pdf