ด้วงกว่างสามเขาจันทร์
| ด้วงกว่างสามเขาจันทร์ | |
|---|---|
| |
| การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ | |
| อาณาจักร: | Animalia |
| ไฟลัม: | Arthropoda |
| ชั้น: | Insecta |
| อันดับ: | Coleoptera |
| วงศ์: | Scarabaeidae |
| วงศ์ย่อย: | Dynastinae |
| สกุล: | Chalcosoma |
| สปีชีส์: | C. caucasus |
| ชื่อทวินาม | |
| Chalcosoma caucasus (Fabricius, 1801) | |
| ชื่อพ้อง | |
ด้วงกว่างสามเขาจันทร์ หรือ ด้วงกว่างสามเขาคอเคซัส (ชื่อวิทยาศาสตร์: Chalcosoma caucasus; อังกฤษ: Giant rhinoceros beetle) เป็นด้วงกว่างสามเขาสีดำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ตัวที่ใหญ่ที่สุดพบเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑ์แมลงของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน มีขนาดลำตัวยาวถึง 120 มิลลิเมตร [1]
ลักษณะ[แก้]
ลักษณะเขาหน้าซึ่งเป็นเขาตั้งขึ้นที่ส่วนหัวมีฟันงอกแยกออกมาด้านในบริเวณใกล้โคนเขา ขนาดของด้วงกว่างชนิดนี้ตัวเล็กก็จะมีเขาสั้น เขาหน้าเป็นแฉกสามแฉก ส่วนตัวใหญ่ เขาหน้าเป็นปลายแหลมปลายเดี่ยวค่อนข้างยาว ปัจจุบันพบเฉพาะภาคตะวันออก โดยเฉพาะที่จังหวัดจันทบุรี แถบเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาวและบางส่วนของน้ำตกพลิ้ว, น้ำตกตรอกนอก เท่านั้น แต่จะพบมากทางตะวันตกของประเทศมาเลเซีย และเกาะสุมาตราของอินโดนีเซีย ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าที่พบในประเทศไทย ตัวที่มีขนาดใหญ่อาจมีลำตัวยาวถึง 130 มิลลิเมตร ซึ่งด้วงกว่างสามเขาคอเคซัสถือเป็นด้วงกว่างสามเขาที่ใหญ่และยาวที่สุดในโลกด้วย
ขณะที่ตัวเมียมีขาสั้นกว่าตัวผู้ ลำตัวมีผิวหยาบเป็นรอยโดยเฉพาะส่วนหัวและสันหลังอก มีปีกที่มีผิวหยาบเป็นเม็ด แต่มีขนอ่อนสีน้ำตาลแดงปกคลุมอยู่ซึ่งมองเห็นได้ชัดเจน[2]
ตัวยาวที่สุดพบที่เกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย ยาว 130 มิลลิเมตร และพบมากในทางตะวันตกของมาเลเซีย ระยะเป็นตัวหนอนจะกินระยะเวลานาน 2-3 ปี ซึ่งนับมากกว่าด้วงกว่างชนิดอื่น ๆ มักพบเป็นตัวเต็มวัยในช่วงฤดูผสมพันธุ์ คือ ประมาณปลายเดือนพฤษภาคมถึงสิงหาคม[3]
http://www1.kamakuranet.ne.jp/kabu/beet/x-manual-cau2.htm เก็บถาวร 2013-03-01 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน The breeding manual of a Chalcosoma caucasus]</ref>
อ้างอิง[แก้]
- ↑ Chalcosoma caucasus (Fabricius, 1801)[ลิงก์เสีย]
- ↑ พิสุทธิ์ เอกอำนวย, คู่มือคนรักแมลง 2 การเลี้ยงด้วง (มีนาคม พ.ศ. 2552) หน้า 161 ISBN 978-974-660-832-9
- ↑ พิสุทธิ์ เอกอำนวย, คู่มือคนรักแมลง 1 ด้วงปีกแข็ง แมลงลึกลับ กับเทคนิคการเพาะเลี้ยง (สิงหาคม พ.ศ. 2551) ISBN 978-974-8132-25-9
