การเพิกเฉยต่อสังคม

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

การเพิกเฉยต่อสังคม (อังกฤษ: civil inattention) คือ กระบวนการวิธีว่าด้วยความใกล้ชิดของคนแปลกหน้า ซึ่งมีการรับรู้ถึงบุคคลอีกคนหนึ่ง โดยปราศจากความสนใจของกันและกัน การไม่เห็นคุณค่าในข้อเรียกร้องของผู้อื่นในพื้นที่สาธารณะ และการส่งสัญญาณความห่างของพื้นที่ระหว่างบุคคล

นายเออวิงจ์ กอฟฟ์แมน (Erving Goffman) นักสังคมวิทยาชาวอเมริกัน ได้อธิบายเรื่องการเพิกเฉยต่อสังคมนี้เอาไว้ในส่วนหนึ่งของหัวข้อ "คุณลักษณะภายนอกของการจัดลำดับความสำคัญทางสาธารณะ" ปักเจกชนพยายามอย่างมากในการเคารพสิทธิส่วนบุคคลและปฏิบัติต่อบุคคลอื่นด้วยการเพิกเฉยต่อสังคม เพื่อที่จะใช้ชีวิตอย่างไม่ยุ่งเกี่ยวกันในสังคมเมือง หรือถ้าพวกเขาไม่เพิกเฉย เขาจะทำเพียงจ้องมองไปที่บุคคลอื่นๆ เพราะการเพิกเฉยต่อสังคมนั้นเกี่ยวข้องกับการไม่เข้าไปรบกวนและการมีปฏิสัมพันธ์อย่างกลางๆ แม้แต้การจ้องมองซึ่งกันและกันของคนแปลกหน้า เขาทั้งสองจะรับรู้ถึงพฤติกรรมและเริ่มป้องกันตัวจากความเป็นไปได้ในการเข้าใกล้และการสนทนา

การเพิกเฉยต่อสังคมยังหมายถึง ความเป็นส่วนตัวที่เป็นไปได้ภายในกลุ่มคน ภายใต้รูปแบบที่ยอมรับในสังคมและระยะห่างระหว่างบุคคล ตามที่ปรากฏ มารยาทคือ รูปแบบหนึ่งในการป้องกันข้อเรียกร้องต่างๆ ของบุคคลอื่นในที่สาธารณะ ตัวอย่างที่สำคัญที่เป็นนามธรรมคือ ความสัมพันธ์ที่ไม่สนใจหรือเพิกเฉยต่อบุคคลอื่น

อย่างไรก็ตาม การฝ่าฝืนการเพิกเฉยต่อสังคมมีความสำคัญอย่างมาก ตัวอย่างเช่น ช่างภาพบนถนนกำลังทำการถ่ายภาพผู้คนโดยไม่ให้พวกเขารับรู้ และต้องการถ่ายภาพคนแปลกหน้าจากระยะใกล้ เพื่อจุดประสงค์ในการบันทึกประวัติศาสตร์มนุษย์ หรือนักถ่ายทำสารคดีทางสังคม ผู้ซึ่งต้องการถ่ายภาพประชาชนที่กำลังเดินบนท้องถนน หรือบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ เพื่อจะเก็บเป็นคลังรูปภาพและนำเสนอวัฒนธรรมของผู้คนในแต่ละยุคสมัย

การช่วยเหลือซึ่งกันและกันเมื่อมีภัย โดยบุคคลอื่นอาจจะเสี่ยงภัยเพื่อเข้าช่วยบุคคลที่กำลังได้รับอันตราย ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ภัยพิบัติ อุบัติเหตุ อาชญากรรม หรือแม้กระทั่งน้ำใจที่ช่วยเหลือโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน สิ่งเหล่านี้เป็นแนวคิดของกฎการช่วยเหลือ (Good Samaritan Law) โดยการรู้จักใส่ใจผู้อื่น และมีความรับผิดชอบทางสาธารณะ การไม่มีอคติหรือการแบ่งแยกบุคคล ซึ่งจะนำมาสู่ความสงบสุขของการอยู่ร่วมกันในสังคม

มุมมองในทางลบ[แก้]

การเพิกเฉยต่อสังคมสามารถทำให้เกิดความเหงาหรือรู้สึกถึงความไม่มีตัวตน และลดความรู้สึกว่า จะต้องรับผิดชอบต่อสวัสดิภาพของบุคคลอื่น ลง ผู้ที่เข้ามาใหม่ในเขตเมืองมักจะพบกับความรู้สึกไม่ใส่ใจของบุคคลอื่นๆ ในละแวกนั้น ซึ่งพวกเขาอาจจะเห็นถึงความใจแคบและการไม่เอาใจใส่มากกว่าการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ

กอฟฟ์แมนสังเกตว่า "เมื่อผู้ชายและผู้หญิงเดินผ่านและมองเห็นกันและกัน ผู้ชายจะคาดหวังสำหรับผู้หญิงคนที่สอง" การเพิกเฉยในสังคมจะเกี่ยวข้องกับระดับในการแบ่งแยกบทบาทหน้าที่ของแต่ละบุคคล เช่น การใช้ระบบสองมาตรฐานในที่สาธารณะถูกท้าทายโดยผู้สนับสนุนสิทธิสตรี ผู้ซึ่งไม่พอใจพฤติกรรมของผู้ชายในชีวิตประจำวัน พฤติกรรมเหล่านี้อาจจะเพิ่มการจ้องมอง การข่มขู่ และการดูถูกทางเพศ ซึ่งทำให้การเพิกเฉยต่อสังคมมีความเป็นไปได้มากขึ้น