ข้ามไปเนื้อหา

กลุ่มผู้ผูกขาดเพื่อครอบงำตลาด

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สำนักงานใหญ่ของ สหภาพถ่านหินไรน์แลนด์-เวสต์ฟาเลีย ประเทศเยอรมนี (ซึ่งถือเป็นกลุ่มค้าถ่านหินที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก) ราวปี 1910

กลุ่มผู้ผูกขาดเพื่อครอบงำตลาด (อังกฤษ: cartel) หรือ กลุ่มผูกขาด คือกลุ่มของผู้มีส่วนร่วมในตลาดอิสระที่สมรู้ร่วมคิดกัน (collude) และตกลงที่จะไม่แข่งขันกันเอง[1] เพื่อเพิ่มผลกำไรและครอบงำตลาด กลุ่มผูกขาดคือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นโดยผู้ผลิตเพื่อจำกัดการแข่งขันและเพิ่มราคาโดยการสร้างภาลาดเทียมผ่านการกำหนดโควต้าการผลิตต่ำ การกักตุนสินค้า และโควต้าการตลาด กลุ่มผูกขาดสามารถเป็นแบบแนวดิ่งหรือแนวนอน แต่โดยพื้นฐานแล้วไม่เสถียรเนื่องจากการความโลภ ที่จะละเมิดข้อตกลงและราคาที่ลดลงสำหรับสมาชิกทั้งหมด นอกจากนี้ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีหรือการเกิดขึ้นของสินค้าทดแทนอาจบั่นทอนอำนาจในการกำหนดราคาของกลุ่มผูกขาด นำไปสู่การล่มสลายของความร่วมมือที่จำเป็นในการรักษากลุ่มผูกขาด

โดยปกติแล้ว กลุ่มผูกขาดจะเป็นสมาคมในแวดวงธุรกิจเดียวกัน และด้วยเหตุนี้จึงเป็นพันธมิตรของคู่แข่ง เขตอำนาจศาลส่วนใหญ่พิจารณาว่าเป็นพฤติกรรมต่อต้านการแข่งขันและได้ประกาศให้การปฏิบัติดังกล่าวเป็นสิ่งผิดกฎหมาย พฤติกรรมของกลุ่มผูกขาดรวมถึง การกำหนดราคาร่วมกัน (price fixing) การฮั้วประมูล และการลดกำลังการผลิต หลักการทางเศรษฐศาสตร์ที่วิเคราะห์กลุ่มผูกขาดคือ ทฤษฎีการรวมกลุ่มผูกขาด (cartel theory) กลุ่มผูกขาดแตกต่างจากรูปแบบอื่น ๆ ของการสมรู้ร่วมคิดหรือองค์กรต่อต้านการแข่งขัน เช่น การควบรวมและเข้าซื้อกิจการ[2]

ศัพทมูลวิทยา

[แก้]

คำว่า "cartel" มีที่มาจากคำว่า "บัตร" ในภาษาอิตาลี ซึ่งหมายถึง "แผ่นกระดาษ" หรือ "ป้ายประกาศ" และมีรากศัพท์มาจากคำว่า "charta" ในภาษาละติน แปลว่า "บัตร"[3] คำภาษาอิตาลีนี้ได้กลายเป็น "cartel" ใน ภาษาฝรั่งเศสกลาง ซึ่งต่อมาภาษาอังกฤษก็รับคำนี้ไปใช้ ในภาษาอังกฤษ เดิมทีคำนี้ใช้เรียกข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษรระหว่างชาติที่ทำสงครามกันเพื่อควบคุมการปฏิบัติต่อและการแลกเปลี่ยนเชลยศึก[4] ตั้งแต่ช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1690 เป็นต้นมา[3] นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1899 เป็นต้นมา การใช้คำนี้ได้ถูกขยายความหมายให้ครอบคลุมถึงข้อตกลงระหว่างรัฐบาล ใด ๆ ระหว่างประเทศคู่แข่ง[3]

การใช้คำภาษาอังกฤษว่า "cartel" เพื่ออธิบายกลุ่มทางเศรษฐกิจ แทนที่จะเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศนั้น ได้รับมาในภายหลังในช่วงทศวรรษ 1800 จากคำว่า "Kartell" ใน ภาษาเยอรมัน ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากคำว่า "cartel" ใน ภาษาฝรั่งเศส[3] มีการใช้ครั้งแรกระหว่างบริษัทรถไฟเยอรมันในปี ค.ศ. 1846 เพื่ออธิบายถึงความพยายามในการกำหนดมาตรฐาน ด้านภาษีและทางเทคนิค ครั้งแรกที่ใช้คำนี้เพื่ออธิบายถึงการจำกัดการแข่งขันคือโดย ลอเรนซ์ ฟอน สไตน์ (Lorenz von Stein) นักวิทยาศาสตร์ทางการเมืองชาวออสเตรีย-ฮังการี[5] ซึ่งเขียนเกี่ยวกับกลุ่มควบคุมราคา:

ไม่มีมุมมองใดที่เอียงข้างไปมากกว่าการกล่าวหาว่าคาร์เทลอัตราค่าระวางดังกล่าวเป็น "กลุ่มผู้ผูกขาด" หรือกลุ่มผู้ผูกขาดเพื่อ "เอารัดเอาเปรียบผู้ขนส่ง"

ความเป็นมา

[แก้]

กลุ่มผูกขาดมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ[6] กิลด์ (Guild) ในยุโรปสมัยกลาง ซึ่งเป็นสมาคมของช่างฝีมือหรือพ่อค้าในอาชีพเดียวกัน ได้รับการยกย่องว่าเป็นกลุ่มผูกขาด[7] กลุ่มผูกขาดด้านการขายที่มีการจัดตั้งอย่างเข้มงวดมีอยู่ในอุตสาหกรรมเหมืองแร่ในช่วงปลายสมัยกลาง เช่น สมาคมผู้ค้าเกลือในปี ค.ศ. 1301 ในประเทศฝรั่งเศส และนาโปลี (Naples) หรือกลุ่มผูกขาดตลาดสารส้ม ในปี ค.ศ. 1470 ระหว่างรัฐสันตะปาปาและนาโปลี[8] สหภาพทั้งสองแห่งมีองค์กรขายร่วมกันสำหรับการผลิตโดยรวมที่เรียกว่า Societas Communis Vendicionis ('Common Sales Society')

แนวคิดเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม (Laissez-faire) ครอบงำยุโรปและอเมริกาเหนือในศตวรรษที่ 18 และ 19 ประมาณปี ค.ศ. 1870 กลุ่มผูกขาดได้ปรากฏขึ้นครั้งแรกในอุตสาหกรรมที่เคยอยู่ภายใต้เงื่อนไขตลาดเสรี (free-market)[9] แม้ว่ากลุ่มผูกขาดจะมีอยู่ในประเทศที่พัฒนาแล้วทางเศรษฐกิจทั้งหมด แต่พื้นที่หลักของกิจกรรมกลุ่มผูกขาดอยู่ในยุโรปกลาง จักรวรรดิเยอรมัน (German Empire) และ จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี (Austria-Hungary) ถูกขนานนามว่า "ดินแดนแห่งกลุ่มผูกขาด"[10] กลุ่มผูกขาดยังแพร่หลายในสหรัฐอเมริกาในช่วงเวลาของเจ้าพ่อโจร (Robber baron (industrialist)) และทรัสต์ (Trust (business)) ทางอุตสาหกรรม[11]

การก่อตั้งกลุ่มผูกขาดเพิ่มขึ้นทั่วโลกหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง (World War I) พวกเขากลายเป็นรูปแบบชั้นนำของการจัดองค์กรตลาด (market organization) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุโรปและญี่ปุ่น ในช่วงทศวรรษที่ 1930 ระบอบเผด็จการ เช่น นาซีเยอรมนี, อิตาลีภายใต้การปกครองของ มุสโสลินี, และสเปนภายใต้การปกครองของ ฟรังโก (Franco) ใช้กลุ่มผูกขาดในการจัดระเบียบเศรษฐกิจแบบเผด็จการรวมศูนย์ (corporatist economies) ระหว่างปลายศตวรรษที่ 19 ถึงประมาณปี ค.ศ. 1945 สหรัฐอเมริกามีมุมมองที่ไม่ชัดเจนเกี่ยวกับกลุ่มผูกขาดและทรัสต์ มีช่วงเวลาทั้งที่ต่อต้านการรวมศูนย์ทางการตลาดและยอมรับกลุ่มผูกขาด ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง (World War II) สหรัฐอเมริกาได้หันเหออกจากกลุ่มผูกขาดอย่างสิ้นเชิง[12] หลังจากปี ค.ศ. 1945 เสรีนิยมทางการตลาด (market liberalism) ที่สหรัฐอเมริกาส่งเสริมนำไปสู่การสั่งห้ามกลุ่มผูกขาดทั่วโลก ซึ่งกลุ่มผูกขาดยังคงถูกขัดขวางในหลายประเทศและหลายสถานการณ์ที่เพิ่มมากขึ้น

ประเภท

[แก้]

กลุ่มผูกขาดมีโครงสร้างและหน้าที่หลากหลายที่ช่วยให้บริษัทสามารถนำทางและควบคุมความไม่แน่นอนของตลาด รวมถึงได้รับผลกำไรจากการร่วมมือกันภายในอุตสาหกรรมได้อย่างเหมาะสม กลุ่มผูกขาดทั่วไปมักต้องการสิ่งที่หน่วยงานกำกับดูแลการแข่งขันเรียกว่า CAU (สัญญา: Contact, ข้อตกลง: Agreement, ความเข้าใจ: Understanding)[13] มีการจำแนกประเภทเพื่อแยกแยะรูปแบบที่แตกต่างของกลุ่มผูกขาด

  • กลุ่มผูกขาดการขายหรือการซื้อ รวมตัวกันต่อต้านลูกค้าหรือซัพพลายเออร์ของกลุ่มผูกขาดตามลำดับ ประเภทแรกพบได้บ่อยกว่า
  • กลุ่มผูกขาดในประเทศ มีสมาชิกมาจากประเทศเดียว ในขณะที่ กลุ่มผูกขาดระหว่างประเทศ มีสมาชิกมาจากมากกว่าหนึ่งประเทศ[14] มีกลุ่มผูกขาดระหว่างประเทศเต็มรูปแบบที่ครอบคลุมทั่วโลก เช่น กลุ่มผูกขาดเหล็กกล้าระหว่างประเทศในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสอง
  • กลุ่มผูกขาดราคา มีส่วนร่วมในการกำหนดราคาร่วมกัน โดยปกติเพื่อเพิ่ม ราคา สินค้าเหนือระดับราคาแข่งขัน รูปแบบที่หลวมที่สุดของกลุ่มผูกขาดราคาสามารถรับรู้ได้ใน การสมรู้ร่วมคิดโดยปริยาย (การสมรู้ร่วมคิดโดยนัย) ซึ่งองค์กรขนาดเล็กกำหนดราคาและส่วนแบ่งตลาดของตนเองโดยตอบสนองต่อสภาพตลาดเดียวกันโดยไม่มีการสื่อสารโดยตรง ส่งผลให้เกิดผลลัพธ์การแข่งขันที่ลดลง การสมรู้ร่วมคิดประเภทนี้โดยทั่วไปถือเป็นถูกกฎหมายและสามารถบรรลุผลลัพธ์แบบผูกขาดได้[15]
  • กลุ่มผูกขาดโควต้า แบ่งปันส่วนแบ่งตลาดตามสัดส่วนให้กับสมาชิก
  • กลุ่มผูกขาดการขายร่วม ขายผลผลิตที่ร่วมกันผ่านหน่วยงานขายกลาง (ฝรั่งเศส: comptoir) เรียกอีกอย่างว่า กลุ่มทุน (ฝรั่งเศส: syndicat industriel)
  • กลุ่มผูกขาดดินแดน แบ่งเขตตลาดเพื่อให้ผู้เข้าร่วมแต่ละรายใช้ ซึ่งทำหน้าที่ในการผูกขาด
  • กลุ่มผูกขาดการยื่นข้อเสนอ ควบคุมข้อเสนอที่ให้กับการประมูลสาธารณะ พวกเขาใช้ การฮั้วประมูล: ผู้เสนอราคาสำหรับการประมูลตกลงกันในราคาเสนอราคา จากนั้นพวกเขาไม่เสนอราคาพร้อมกันหรือแบ่งปันผลตอบแทนจากการประมูลที่ชนะกัน[16]
  • กลุ่มผูกขาดเทคโนโลยีและสิทธิบัตร แบ่งปันความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีหรือวิทยาศาสตร์ภายในกลุ่ม ในขณะที่จำกัดข้อมูลจากบุคคลภายนอก
  • กลุ่มผูกขาดเงื่อนไข รวม เงื่อนไขสัญญา – รูปแบบของ การชำระเงิน และการส่งมอบ หรือ ข้อจำกัดการรับประกัน
  • กลุ่มผูกขาดมาตรฐาน การจัดมาตรฐานร่วมสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ขายหรือซื้อ หากสมาชิกของกลุ่มผูกขาดผลิตสินค้าหรือเกรดที่แตกต่างกัน จะมีการใช้ตัวประกอบการแปลงเพื่อคำนวณมูลค่าของผลผลิตที่เกี่ยวข้อง
  • กลุ่มผูกขาดบังคับ หรือเรียกว่า "กลุ่มผูกขาดที่ถูกบังคับ" ก่อตั้งหรือรักษาโดยแรงกดดันภายนอก กลุ่มผูกขาดโดยสมัครใจเกิดขึ้นจากความต้องการเสรีของผู้เข้าร่วม

ผลกระทบ

[แก้]

การสำรวจผลการศึกษาทางเศรษฐศาสตร์และคำตัดสินทางกฎหมายเกี่ยวกับการต่อต้านการผูกขาดหลายร้อยฉบับ พบว่าราคาเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นจากกลุ่มผูกขาด (Cartel) ในช่วง 200 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ประมาณ 23%[17] กลุ่มผูกขาดระหว่างประเทศ (ที่มีผู้เข้าร่วมจากสองประเทศขึ้นไป) มีราคาเฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 28 ในขณะที่กลุ่มผูกขาดภายในประเทศมีราคาเฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 18 โดยกลุ่มผูกขาดน้อยกว่าร้อยละ 10 จากกลุ่มตัวอย่างทั้งหมดที่ไม่สามารถขึ้นราคาตลาดได้ [18]

โดยทั่วไป ข้อตกลงแบบกลุ่มผูกขาด (Cartel) นั้นไม่มีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ เนื่องจากมีสิ่งจูงใจ (incentive) ให้สมาชิก การโกง โดยการขายสินค้าในราคาที่ต่ำกว่าราคาที่ตกลงกันไว้ หรือขายสินค้าเกินกว่าโควต้าการผลิตของกลุ่มผู้ผูกขาด กลุ่มผู้ผูกขาดจำนวนมากที่พยายามกำหนดราคาสินค้าไม่ประสบความสำเร็จในระยะยาว เนื่องจากกลไกการลงโทษการโกง เช่น สงครามราคา หรือการลงโทษทางการเงิน[19] จากการศึกษาเชิงประจักษ์ของกลุ่มผู้ผูกขาดในศตวรรษที่ 20 พบว่าระยะเวลาเฉลี่ยของกลุ่มผู้ผูกขาดที่ถูกค้นพบอยู่ที่ 5 ถึง 8 ปี และมีการคิดราคาสูงเกินจริงประมาณ 32% การกระจายนี้พบว่าเป็นแบบ ไบโมดอล (Bimodal) โดยกลุ่มผู้ผูกขาดจำนวนมากเลิกราอย่างรวดเร็ว (น้อยกว่าหนึ่งปี) ส่วนกลุ่มอื่น ๆ อีกมากมายอยู่ได้ระหว่างห้าถึงสิบปี และบางกลุ่มก็อยู่ได้นานหลายทศวรรษ[20] ภายในอุตสาหกรรมที่มีกลุ่มผู้ผูกขาดดำเนินงานอยู่ จำนวนสมาชิกกลุ่มผู้ผูกขาดโดยเฉลี่ยคือ 8 ราย เมื่อกลุ่มผู้ผูกขาดถูกทำลาย แรงจูงใจในการจัดตั้งกลุ่มผู้ผูกขาดใหม่จะกลับมา และกลุ่มผู้ผูกขาดอาจถูกก่อตั้งขึ้นใหม่ กลุ่มผู้ผูกขาดที่เป็นที่รู้จักในที่สาธารณะซึ่งไม่ได้เป็นไปตาม วัฏจักรทางธุรกิจ (business cycle) นี้ รวมถึง โอเปก (OPEC) ตามที่บางคนกล่าวอ้าง

กลุ่มผูกขาดมักกำหนดราคาในระดับนานาชาติ เมื่อข้อตกลงในการควบคุมราคานั้นได้รับการรับรองโดยสนธิสัญญาระหว่างประเทศหรือได้รับความคุ้มครองโดยอำนาจอธิปไตยแห่งชาติ ก็จะไม่สามารถดำเนินการต่อต้านการผูกขาดได้[21] ประเทศในกลุ่มโอเปก (OPEC) ควบคุมราคาน้ำมันบางส่วน[22][23]

องค์กร

[แก้]

จากการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการประพฤติมิชอบขององค์กร นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ สังคมวิทยา และการจัดการได้ศึกษาการจัดตั้งกลุ่มผูกขาด (Cartel)[24][25] พวกเขาให้ความสนใจกับวิธีที่ผู้เข้าร่วมกลุ่มผูกขาดทำงานร่วมกันเพื่อปกปิดกิจกรรมของตนจากหน่วยงานต่อต้านการผูกขาด นอกเหนือจากการบรรลุประสิทธิภาพแล้ว บริษัทที่เข้าร่วมยังต้องแน่ใจว่าความลับร่วมกันของพวกเขาจะถูกเก็บรักษาไว้[26] “อย่างไรก็ตาม ผู้ประสานงาน ซึ่งมักจะเป็นผู้ขายที่มีข้อมูลทั้งหมด มักจะไม่ถูกสังเกตเห็นโดยหน่วยงานต่อต้านการผูกขาด ซึ่งก่อให้เกิดคำถามเกี่ยวกับความผิดของผู้จัดจำหน่ายที่ไม่รู้[27]

ทฤษฎีคาร์เทลเทียบกับแนวคิดต่อต้านการผูกขาด

[แก้]

การวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ของกลุ่มผูกขาดนั้นมีพื้นฐานมาจาก cartel theory ซึ่งริเริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 1883 โดย Friedrich Kleinwächter นักเศรษฐศาสตร์ชาวออสเตรีย และในช่วงแรกได้รับการพัฒนาโดยนักวิชาการที่พูดภาษาเยอรมันเป็นหลัก[28] นักวิชาการเหล่านี้มักมองว่ากลุ่มผูกขาดเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจที่ยอมรับได้ ในขณะเดียวกัน ทนายความชาวอเมริกันก็หันมาต่อต้าน trade restrictions รวมถึงกลุ่มผูกขาดทุกรูปแบบ พระราชบัญญัติเชอร์แมน (Sherman act) ซึ่งขัดขวางการก่อตั้งและกิจกรรมของกลุ่มผูกขาด ได้รับการอนุมัติในสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1890 มุมมองของชาวอเมริกัน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากนักเคลื่อนไหวอย่าง Thurman Arnold และ Harley M. Kilgore ในที่สุดก็ได้รับชัยชนะเมื่อนโยบายของรัฐบาลในวอชิงตันสามารถมีอิทธิพลมากขึ้นใน World War II

กฎหมายและบทลงโทษ

[แก้]

เนื่องจากกลุ่มผูกขาดมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อสถานะของตลาด จึงอยู่ภายใต้บังคับ กฎหมายการแข่งขันทางการค้า (competition law) ซึ่งบังคับใช้โดย หน่วยงานกำกับดูแลการแข่งขันของรัฐบาล (competition regulator) ข้อบังคับที่คล้ายคลึงกันนี้ยังใช้กับ การควบรวมกิจการของบริษัท (corporate merger) อีกด้วย บริษัทเดียวที่ผูกขาดตลาดจะไม่ถือเป็นกลุ่มผูกขาด แต่อาจถูกลงโทษได้จากการใช้อำนาจเหนือตลาดในทางที่ผิด

ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง สมาชิกของกลุ่มผูกขาดสามารถลงนามในสัญญาที่บังคับใช้ได้ในศาลยุติธรรม ยกเว้นในสหรัฐอเมริกา ก่อนปี ค.ศ. 1945 กลุ่มผูกขาดเป็นที่ยอมรับในยุโรป และได้รับการส่งส่งเสริมให้เป็นแนวทางปฏิบัติทางธุรกิจโดยเฉพาะในประเทศที่ใช้ภาษาเยอรมัน[29] ในคดี สหรัฐอเมริกา ปะทะ บริษัทเนชั่นแนลลีด และพวก (U.S. v. National Lead Co. et al.) ศาลสูงสุดสหรัฐ ได้บันทึกคำให้การของบุคคลที่อ้างว่ากลุ่มผูกขาด ในรูปแบบที่หลากหลาย คือ

การรวมตัวกันของผู้ผลิตเพื่อจุดประสงค์ในการควบคุมการผลิต และบ่อยครั้งรวมถึงราคา และเป็นการรวมกลุ่มโดยข้อตกลงของบริษัทหรือส่วนงานของบริษัทที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน เพื่อป้องกันการแข่งขันที่รุนแรงหรือไม่เป็นธรรม[30]

กฎหมายฉบับแรกที่บังคับใช้ต่อต้านกลุ่มผูกขาดคือ พระราชบัญญัติเชอร์แมน พ.ศ. 2433 (Sherman Act 1890) ซึ่งห้ามการกำหนดราคา การแบ่งส่วนแบ่งตลาด การจำกัดผลผลิต และพฤติกรรมต่อต้านการแข่งขันอื่น ๆ [31] มาตรา 1 และ 2 ของพระราชบัญญัติระบุถึงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มผูกขาด ดังนี้

มาตรา 1:

สัญญา การรวมตัวกันในรูปแบบของ ทรัสต์ หรือรูปแบบอื่น หรือการสมคบคิด ที่เป็นการยับยั้งการค้าหรือพาณิชย์ระหว่างรัฐต่าง ๆ หรือกับต่างประเทศ ถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย[32]

มาตรา 2:

บุคคลใดก็ตามที่ผูกขาด หรือพยายามผูกขาด หรือร่วมมือหรือสมคบกับบุคคลอื่นใด เพื่อผูกขาดส่วนใดส่วนหนึ่งของการค้าหรือพาณิชย์ระหว่างรัฐต่าง ๆ หรือกับต่างประเทศ จะถือว่ามีความผิดฐานอาชญากรรมร้ายแรง และเมื่อถูกพิพากษาว่ามีความผิด จะต้องถูกลงโทษด้วยการปรับไม่เกิน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หากเป็นนิติบุคคล หรือหากเป็นบุคคลอื่น จะถูกปรับไม่เกิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือจำคุกไม่เกินสิบปี หรือทั้งสองอย่างตามดุลยพินิจของศาล[33]

ในทางปฏิบัติ การตรวจจับและยุติการดำเนินงานของกลุ่มผูกขาด (Cartel) นั้นกระทำผ่านการใช้การวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์และโครงการผ่อนปรน การวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์ถูกนำมาใช้เพื่อระบุความแตกต่างใด ๆ ในพฤติกรรมของตลาดระหว่างบริษัทที่ต้องสงสัยและไม่ต้องสงสัยว่ามีส่วนร่วมในกลุ่มผู้ผูกขาดฯ แนวทางเชิงโครงสร้างจะทำในรูปแบบของการตรวจคัดกรองบริษัทที่น่าสงสัยอยู่แล้วสำหรับลักษณะเฉพาะของอุตสาหกรรมของเส้นทางราคาของกลุ่มผู้ผูกขาดฯ ทั่วไป เส้นทางทั่วไปมักจะรวมถึงระยะการก่อตัวซึ่งราคาลดลง ตามด้วยระยะเปลี่ยนผ่านซึ่งราคามีแนวโน้มสูงขึ้น และสิ้นสุดด้วยระยะคงที่ซึ่งความผันผวนของราคายังคงต่ำ [34] ตัวบ่งชี้เช่นการเปลี่ยนแปลงของราคาควบคู่ไปกับอัตราการนำเข้า ความเข้มข้นของตลาด ระยะเวลาของการเปลี่ยนแปลงของราคาถาวร และเสถียรภาพของส่วนแบ่งการตลาดของบริษัทถูกใช้เป็นเครื่องหมายทางเศรษฐกิจเพื่อช่วยเสริมการค้นหาพฤติกรรมของกลุ่มผู้ผูกขาดฯ [35] ในทางตรงกันข้าม เมื่อมีเป้าหมายเพื่อสร้างความสงสัยเกี่ยวกับกลุ่มผู้ผูกขาดฯ ที่อาจเกิดขึ้น มักใช้แนวทางเชิงพฤติกรรมเพื่อระบุรูปแบบการสมรู้ร่วมคิดเชิงพฤติกรรม เพื่อเริ่มการวิเคราะห์ทางเศรษฐกิจเพิ่มเติมในการระบุและดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องในการดำเนินงาน ตัวอย่างเช่น การศึกษาแสดงให้เห็นว่าอุตสาหกรรมมีแนวโน้มที่จะประสบกับการสมรู้ร่วมคิดมากขึ้นในกรณีที่มีบริษัทน้อย ผลิตภัณฑ์เป็นเนื้อเดียวกัน และมีความต้องการคงที่ [36]

โปรแกรมผ่อนปรน

[แก้]

โปรแกรมผ่อนปรนถูกนำมาใช้ครั้งแรกในสหรัฐอเมริกาในปี 1978 ก่อนที่จะได้รับการปฏิรูปอย่างประสบความสำเร็จในปี 1993[37] หลักการพื้นฐานของโปรแกรมผ่อนปรนคือการเสนอการลดโทษตามดุลยพินิจสำหรับบริษัทหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของกลุ่มผูกขาด เพื่อแลกกับความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายในการระบุและลงโทษสมาชิกที่เข้าร่วมรายอื่น ๆ ตามกระทรวงยุติธรรมของออสเตรเลีย เงื่อนไขต่อไปนี้ทั้ง 6 ข้อจะต้องได้รับการตอบสนองเพื่อเข้าร่วมโปรแกรมผ่อนปรน:

  1. บริษัทเป็นรายแรกที่ยื่นขอและมีคุณสมบัติเหมาะสมสำหรับการผ่อนปรนเกี่ยวกับกิจกรรมผิดกฎหมายที่รายงาน
  2. ณ เวลาที่บริษัทเข้ามา หน่วยงานยังไม่มีหลักฐานต่อต้านบริษัทที่อาจส่งผลให้เกิดการตัดสินที่ยั่งยืน
  3. บริษัทเมื่อค้นพบกิจกรรมผิดกฎหมายที่รายงานได้ดำเนินการอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพเพื่อยุติส่วนร่วมของตนในกิจกรรมดังกล่าว
  4. บริษัทรายงานการกระทำผิดด้วยความจริงใจและครบถ้วน และให้ความร่วมมืออย่างเต็มรูปแบบ ต่อเนื่อง และสมบูรณ์ ซึ่งส่งเสริมหน่วยงานในการสอบสวน
  5. การสารภาพผิดเป็นการกระทำขององค์กรอย่างแท้จริง ไม่ใช่การสารภาพของผู้บริหารหรือเจ้าหน้าที่เพียงคนเดียว
  6. หากทำได้ บริษัทจะชดใช้ให้กับผู้เสียหาย และหน่วยงานพิจารณาว่าการให้ความผ่อนปรนจะไม่เป็นธรรมต่อผู้อื่น โดยพิจารณาจากลักษณะของกิจกรรมผิดกฎหมาย บทบาทของบริษัทที่สารภาพผิด และเมื่อบริษัทเข้ามา[38]

การบังคับใช้บทลงโทษภายใต้โครงการผ่อนปรนแตกต่างกันไปตามนโยบายของแต่ละประเทศ และจะแปรตามผลกำไรของกลุ่มผู้ผูกขาดและระยะเวลาที่กระทำความผิด อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไป บริษัทหรือบุคคลแรกที่ให้ความร่วมมือจะได้รับการลดหย่อนโทษมากที่สุด เมื่อเทียบกับผู้ที่ให้ความร่วมมือในภายหลัง[39] ประสิทธิผลของโครงการผ่อนปรนในการทำให้กลุ่มผู้ผูกขาดอ่อนแอและยับยั้งการกระทำความผิดนั้น เห็นได้จากการลดลงของการรวมกลุ่มและการตรวจพบกลุ่มผู้ผูกขาดในสหรัฐอเมริกา นับตั้งแต่มีการนำโครงการนี้มาใช้ในปี ค.ศ. 1993 [40] ตัวอย่างกรณีที่ถูกดำเนินคดี ได้แก่:

  • กราฟแสดงการลดลงของการก่อตัวและการค้นพบกลุ่มผูกขาดในสหรัฐอเมริกาหลังจากการแนะนำโปรแกรมผ่อนปรนในปี 1993 หลังจากการแนะนำ การก่อตัวและการค้นพบกลุ่มผูกขาดลดลงสู่ระดับต่ำสุดตลอดกาล

กลุ่มผูกขาดไลซีน: พนักงานของ อาร์เชอร์ แดเนียลส์ มิดแลนด์ (Archer Daniels Midland: ADM) แจ้งเตือนเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการดำรงอยู่ของกลุ่มผูกขาดในอุตสาหกรรมไลซีน[41]

  • เหล็กกล้าไร้สนิม ผู้ซื้อผลิตภัณฑ์ร้องเรียนต่อคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) เกี่ยวกับราคาที่พุ่งสูงขึ้น[42]
  • โซเดียมกลูโคเนต: จำเลยในคดีไลซีนแจ้งเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับพฤติกรรมสมคบกันระหว่างบริษัทในอุตสาหกรรมนี้[43]

ตัวอย่าง

[แก้]
บริษัทอุปกรณ์การพิมพ์ อเมริกัน ไทป์ ฟาวน์เดอร์ส (American Type Founders - ATF) ระบุอย่างชัดเจนในคู่มือปี 1923 ว่าเป้าหมายของบริษัทคือ "การลดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม" ในอุตสาหกรรมการพิมพ์
  • กลุ่มผูกขาดโฟบัส (Phoebus cartel) ก่อตั้งขึ้นโดยผู้ผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้าในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เพื่อควบคุมราคาและอายุการใช้งานของหลอดไฟไส้
  • กลุ่มผูกขาดควินิน (Quinine cartel) มีอยู่ระหว่างผู้ผลิตยาควินิน (Quinine) ซึ่งเป็นยาต้านมาลาเรีย เพื่อควบคุมอัตราการผลิตและราคา ดำเนินการในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยมีสองยุค ในช่วงเริ่มต้นของการดำเนินงาน ควินินเป็นยาชนิดเดียวที่มีประสิทธิภาพสำหรับการรักษาโรคมาลาเรีย
  • สมาคมวาล์วอังกฤษ (British Valve Association) มีอยู่ระหว่างผู้ผลิตหลอดสุญญากาศชาวอังกฤษเพื่อควบคุมราคา โครงสร้างอิเล็กโทรด และระบบการกำหนดหมายเลขชิ้นส่วนสำหรับสมาชิก
  • กลุ่มพี่น้องเจ็ดคน (The Seven Sisters) เป็นชื่อของกลุ่มบริษัทน้ำมันข้ามชาติเจ็ดแห่งที่ครองอุตสาหกรรมน้ำมันโลกตั้งแต่ทศวรรษ 1940 ถึง 1970 เทียบเท่าในปัจจุบันคือ โอเปก (OPEC) องค์กรระหว่างประเทศของประเทศผู้ผลิตน้ำมันที่กำหนดเป้าหมายการผลิตและราคาในหมู่สมาชิก
  • สหภาพชีสสวิส (Swiss Cheese Union) องค์กรอุตสาหกรรมของผู้ผลิตชีส ทำหน้าที่เป็นกลุ่มผูกขาดผ่านการควบคุมการผลิตชีสในศตวรรษที่ 20
  • ระหว่างปี 1995 ถึง 2004 ผู้ผลิตลิฟต์รายใหญ่หลายรายดำเนินการกลุ่มผูกขาดการจัดการตลาด รวมถึง ไทเซนครัปป์ (ThyssenKrupp), โคเน่ (Kone) และ โอทิส (Otis) ซึ่งถูกปรับโดยสหภาพยุโรปในปี 2007[44]
  • สหพันธ์ผู้ผลิตน้ำเชื่อนเมเปิลแห่งรัฐควิเบก (Federation of Quebec Maple Syrup Producers) องค์กรเอกชนที่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลที่ควบคุมการผลิตและการตลาด น้ำเชื่อมเมเปิล (maple syrup) ในควิเบก

ดูเพิ่ม

[แก้]

อ้างอิง

[แก้]
  1. api_import (2024-02-22). "What is a cartel?". comcom.govt.nz (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2024-04-12.
  2. Margaret C. Levenstein and Valerie Y. Suslow, "What determines cartel success?." Journal of economic literature 44.1 (2006): 43-95 online.
  3. 3.0 3.1 3.2 3.3 "cartel | Search Online Etymology Dictionary". Etymonline. สืบค้นเมื่อ 2021-08-16.
  4. "Definition of CARTEL". Merriam-Webster (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2019-11-29.
  5. 5.0 5.1 Leonhardt, Holm A. (2013). Kartelltheorie und Internationale Beziehungen theoriegeschichtliche Studien. Michael Gehler. Hildesheim. p. 14. ISBN 978-3-487-14840-3. OCLC 826595283.
  6. Hans-Heinrich Barnikel: Kartelle in Deutschland. In: Ders. (Hrsg.): Theorie und Praxis der Kartelle, Darmstadt 1972, S. 1.
  7. Holm A. Leonhardt: Kartelltheorie und Internationale Beziehungen. Theoriegeschichtliche Studien, Hildesheim 2013, p. 79.
  8. Nino Herlitzka: Bemerkungen zur historischen Entwicklung von Kartellen. In: Ludwig Kastl (Ed.): Kartelle in der Wirklichkeit. Köln 1963, p. 124–127.
  9. Holm A. Leonhardt: Kartelltheorie und Internationale Beziehungen. Theoriegeschichtliche Studien, Hildesheim 2013, S. 80–87.
  10. Holm A. Leonhardt: Kartelltheorie und Internationale Beziehungen. Theoriegeschichtliche Studien, Hildesheim 2013, S. 83–84.
  11. Holm Arno Leonhardt: The development of cartel theory between 1883 and the 1930s. Hildesheim 2018. p. 18.
  12. Holm A. Leonhardt: Kartelltheorie und Internationale Beziehungen. Theoriegeschichtliche Studien. Hildesheim 2013, p. 251–292.
  13. Jeffrey, R. "Cartels, Concerns and Trusts". The Oxford Handbook of Business History. Ontario 2001: 269–274 – โดยทาง Oxford Univ. Pres, 2007.
  14. Fellman, Susanna; Shanahan, Martin (2015). Regulating Competition: Cartel registers in the twentieth-century world. London: Routledge. p. 224. ISBN 9781138021648.
  15. Han, Seungjin (2014-03-01). "Implicit collusion in non-exclusive contracting under adverse selection". Journal of Economic Behavior & Organization (ภาษาอังกฤษ). 99: 85–95. doi:10.1016/j.jebo.2013.12.013. ISSN 0167-2681.
  16. John M. Connor and Dan Werner. Variation in Bid-Rigging Cartels' Overcharges: SSRN Working Paper No. 3273988. (October 27, 2018). [1].
  17. Levenstein, Margaret C.; Suslow, Valerie Y. (2006). "What Determines Cartel Success?". Journal of Economic Literature. 44 (1): 43–95. doi:10.1257/002205106776162681. hdl:2027.42/35837. ISSN 0022-0515. JSTOR 30032296.
  18. John M. Connor. Cartel Overcharges, p. 249–387 of The Law and Economics of Class Actions, in Vol. 29 of Research in Law and Economics, edited by James Langenfeld (March 2014). Bingley, UK: Emerald House Publishing Ltd. June 2017
  19. Levenstein, Margaret C.; Suslow, Valerie Y. (2006). "What determined cartel success?". Journal of Economic Literature. 44: 43–95. doi:10.1257/002205106776162681. hdl:2027.42/35837 – โดยทาง American Economic Association.
  20. Levenstein, Margaret C. and Valerie Y. Suslow. "What Determines Cartel Success?" Journal of Economic Literature 64 (March 2006): 43–95
  21. Connor, John M. Private International Cartels: A Concise Introduction: SSRN Working Paper. (November 12, 2014). Abstract.
  22. Burclaff, Natalie. "Research Guides: Oil and Gas Industry: A Research Guide: Organizations and Cartels". guides.loc.gov (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2023-03-17.
  23. Huppmann, Daniel; Holz, Franziska (2015). "What about the OPEC Cartel?". EconStor.
  24. Faulkner, Robert R.; Cheney, Eric R.; Fisher, Gene A.; Baker, Wayne E. (2003). "Crime by Committee: Conspirators and Company Men in the Illegal Electrical Industry Cartel, 1954–1959". Criminology (ภาษาอังกฤษ). 41 (2): 511–554. doi:10.1111/j.1745-9125.2003.tb00996.x. ISSN 1745-9125.
  25. Genesove, David; Mullin, Wallace P (2001). "Rules, Communication, and Collusion: Narrative Evidence from the Sugar Institute Case" (PDF). American Economic Review (ภาษาอังกฤษ). 91 (3): 379–398. doi:10.1257/aer.91.3.379. ISSN 0002-8282. S2CID 153786791. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 2022-10-09.
  26. Baker, Wayne E.; Faulkner, Robert R. (1993). "The Social Organization of Conspiracy: Illegal Networks in the Heavy Electrical Equipment Industry". American Sociological Review. 58 (6): 837. doi:10.2307/2095954. JSTOR 2095954.
  27. Shastitko, A; Dozmarov, K (2020). "Law and economics vs. formal legal approach in criminal prosecution of the cartel". BRICS Journal of Economics. 1 (3): 23–38. doi:10.38050/2712-7508-2020-13.
  28. Holm Arno Leonhardt: The development of cartel theory between 1883 and the 1930s. Hildesheim 2018.
  29. Cini, Michelle; McGowan, Lee (2009). Competition Policy in the European Union. New York: Palgrave Macmillan. p. 63. ISBN 978-0-230-00675-1.
  30. Lee, John (2016). Strategies to Achieve a Binding International Agreement on Regulating Cartels: Overcoming Doha Standstill. Berlin: Springer. p. 13. ISBN 978-981-10-2755-0.
  31. Sullivan, E. Thomas (1991). The political economy of the Sherman Act: The first one hundred years. Oxford University Press. ISBN 9780195066425.
  32. "15 U.S. Code § 1 - Trusts, etc., in restraint of trade illegal; penalty". LII / Legal Information Institute (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2021-04-26.
  33. "15 U.S. Code § 2 - Monopolizing trade a felony; penalty". LII / Legal Information Institute (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2021-04-26.
  34. Harrington, Joseph E. Jr.; Chen, Joe (2002). "Cartel Pricing Dynamics with Cost Variability and Endogenous Buyer Detection". The Johns Hopkins University,Department of Economics (ภาษาอังกฤษ) – โดยทาง Economics Working Paper Archive.
  35. IVALDI, Marc. "Cartel Damages to the Economy: An Assessment for Developing Countries" (PDF). Toulouse School of Economics and CEPR. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ June 27, 2022 – โดยทาง CEPR.
  36. Grout, Paul; Sonderegger, Silvia (2005). "Predicting Cartels" (PDF). Office of Fair Trading, Economic Discussion Paper. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 2022-10-09 – โดยทาง European University Institute.
  37. "Leniency Program". www.justice.gov (ภาษาอังกฤษ). 2015-06-25. สืบค้นเมื่อ 2021-04-26.
  38. Martyniszyn, Marek (2017). "Foreign State's Entanglement in Anticompetitive Conduct" (ภาษาอังกฤษ). Rochester, NY. SSRN 3116910. {{cite journal}}: Cite journal ต้องการ |journal= (help)
  39. Commission, Australian Competition and Consumer (2019-09-04). "ACCC immunity & cooperation policy for cartel conduct - October 2019". Australian Competition and Consumer Commission (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2021-04-26.
  40. Miller, Nathan H. (2009). "Strategic Leniency and Cartel Enforcement". The American Economic Review. 99 (3): 750–768. doi:10.1257/aer.99.3.750. ISSN 0002-8282. JSTOR 25592481.
  41. Connor, John M. (1998). "Lysine: A Case Study in International Price-Fixing". Choices. 13 (3): 13–19. ISSN 0886-5558. JSTOR 43663287.
  42. "Competition - Cartels - Cases - European Commission". ec.europa.eu. สืบค้นเมื่อ 2021-04-26.
  43. "Case search - Competition - European Commission". ec.europa.eu. สืบค้นเมื่อ 2021-04-26.
  44. "Record EU fine for lift 'cartel'" (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2007-02-21. สืบค้นเมื่อ 2021-10-09.

บรรณานุกรม

[แก้]
  • Liefmann, Robert: Cartels, Concerns and Trusts, Ontario 2001 [London 1932]
  • Martyniszyn, Marek, "Export Cartels: Is it Legal to Target Your Neighbour? Analysis in Light of Recent Case Law", Journal of International Economic Law 15 (1) (2012): 181–222.
  • Osborne, Dale K. "Cartel problems." American Economic Review 66.5 (1976): 835-844. online
  • Stigler, George J.: The extent and bases of monopoly. In: The American economic review, Vol. 32 (1942), pp. 1–22.
  • Stocking, George W. and Myron W. Watkins: Cartels in Action. New York: Twentieth Century Fund (1946).
  • Stocking, George W. and Myron W. Watkins: Cartels or competition? The economics of international controls by business and government. New York: Twentieth Century Fund 1948.
  • Strieder, Jakob: Studien zur Geschichte kapitalistischer Organizationsformen. Monopole, Kartelle und Aktiengesellschaften im Mittelalter und zu Beginn der Neuzeit. München 1925.
  • Wells, Wyatt C.: Antitrust and the Formation of the Postwar World, New York 2002.

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]