กงส์ต็องส์แห่งบูร์กอญ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก กงสต็องส์แห่งบูร์กอญ)
กงส์ต็องส์
จุลจิตรกรรมของกงส์ต็องส์แห่งบูร์กอญ พระมเหสีคนที่สองของพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 6 แห่งเลออนและกัสติยา
พระราชินีแห่งเลออน
พระราชินีแห่งกัสติยา
จักรพรรดิแห่งสเปน
ครองราชย์ค.ศ. 1079–1093
ประสูติ8 พฤษภาคม ค.ศ. 1046
สิ้นพระชนม์ค.ศ. 1093
พระสวามีอูกที่ 2 เคานต์แห่งชาลง
พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 6 แห่งเลออนและกัสติยา
พระบุตรสมเด็จพระราชินีนาถอูร์รากาที่ 1 แห่งเลออน
ราชสกุลบูร์กอญ
พระบิดารอแบต์ที่ 1 ดยุคแห่งบูร์กอญ
พระมารดาเอลี เดอ ซามูร์-อ็อง-บริโอนเนส์

กงส์ต็องส์แห่งบูร์กอญ (ฝรั่งเศส: Constance de Bourgogne) เสด็จพระราชสมภพ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 1046 สิ้นพระชนม์ ค.ศ. 1093 เป็นบุตรสาวของรอแบต์ที่ 1 ดยุคแห่งบูร์กอญกับเอลี เดอ เซมูร์-อ็อง-บริโอนเนส์[1] ทรงเป็นพระราชินีคู่สมรสแห่งกัสติยาและเลออน เป็นพระนัดดาของพระเจ้ารอแบต์ที่ 2 แห่งฝรั่งเศส พระมหากษัตริย์ลำดับที่สองของราชวงศ์กาแปของฝรั่งเศส และเป็นพระมารดาของอูร์รากาแห่งเลออนที่สืบทอดต่อตำแหน่งของพระบิดาทั้งในกัสติยาและเลออน

พระชนม์ชีพ[แก้]

ใน ค.ศ. 1065 กงส์ต็องส์แต่งงานกับสามีคนแรก อูกที่ 2 เคานต์แห่งชาลง[1] ทั้งคู่แต่งงานกันสิบสี่ปีจนกระทั่งอูกเสียชีวิตใน ค.ศ. 1079 โดยไม่มีบุตรด้วยกัน[2]

ในปลาย ค.ศ. 1079 กงส์ต็องส์แต่งงานใหม่กับพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 6 แห่งเลออนและกัสติยา[2] ซึ่งก่อนหน้านี้เคยแต่งงานกับอาแญ็สแห่งอากีแตน ซึ่งต่อมาทั้งคู่น่าจะหย่ากันหรือไม่พระองค์ก็เป็นม่ายเนื่องจากอาแญ็สสิ้นพระชนม์ การแต่งงานของกงส์ต็องส์กับพระเจ้าอัลฟอนโซในช่วงแรกถูกต่อต้านโดยสมเด็จพระสันตะปาปา เนื่องจากกงส์ต็องส์เป็นญาติกับอาแญ็ส

กงส์ต็องส์กับพระเจ้าอัลฟอนโซมีพระโอรสธิดาด้วยกันหลายคน แต่มีเพียงคนเดียวที่มีชีวิตอยู่จนถึงวัยผู้ใหญ่ คือ

กงส์ต็องส์สิ้นพระชนม์ใน ค.ศ. 1093 ทิ้งพระธิดาวัย 14 พรรษาไว้กับพระสวามีม่ายที่อภิเษกสมรสครั้งที่สามกับพระมเหสีคนต่อมาหลังกงส์ต็องส์สิ้นพระชนม์ แต่มีพระโอรสเพียงคนเดียวกับซาอีดะฮ์แห่งเซบิยา ภรรยาลับชาวมุสลิม

หลังสิ้นพระชนม์ ร่างของกงส์ต็องส์ถูกพาไปเมืองซาฮากูนเพื่อฝังในอารามของนักบุญฟากูนโดและนักบุญปริมิติโว อารามที่ต่อมาพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 6 พระสวามีของพระองค์ ถูกฝังเคียงข้างกับพระมเหสีทุกคน[4]

อ้างอิง[แก้]

  1. 1.0 1.1 Bouchard 1987, p. 256.
  2. 2.0 2.1 Bull 1993, p. 88.
  3. Bouchard 1987, p. 145.
  4. Elorza et al 1990, p. 54.