String Quartet (Fauré)

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

String Quartet in E minor Op 121 ของ กาเบรียล โฟเร เป็นผลงานชิ้นสุดท้ายของเขาซึ่งเสร็จสมบูรณ์ในปีค.ศ. 1924 ไม่นานก่อนที่เขาจะเสียชีวิตเมื่ออายุ 79 ปี ลูกศิษย์ของเขา มอริส ราเวล ได้อุทิศเพลง String Quartet in F major ของเขาให้กับโฟเรในปีค.ศ.1903 ราเวลและคนอื่น ๆ ต่างก็ชวนให้โฟเรเขียนบทเพลงของเขาเอง แต่เขาปฏิเสธเพราะมันยากเกินไป แต่อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะตัดสินใจจะประพันธืไปแล้ว โฟเรก็ยังคงมีความกังวลอยู่

บทเพลงนี้มีทั้งหมดสามท่อน โดยท่อนสุดท้ายนั้นมีการรวมรูปแบบการประพันธ์ระหว่าง scherzo และตอนจบเข้าด้วยกัน ผลงานการประพันธ์ชิ้นนี้ได้ถูกอธิบายว่าเป็นผลงานที่มีความละเอียดตั้งแต่ต้นจนจบ [1] และเป็นผลงานที่โดดเด่นออกมามากกว่าบทเพลงมาตรฐานทั่วไป [2]

ประวัติ[แก้]

เมื่อโฟเรเป็นผู้อำนวยการที่ วิทยาลัยดนตรีในปารีส (ตั้งแต่ปี 1905 ถึง 1920) เขาออกจากปารีสไม่กี่สัปดาห์ก่อนจะจบการศึกษาเพื่อหลบออกไปแต่งเพลงเงียบๆที่รีสอร์ทแห่งหนึ่ง หลังจากเกษียณอายุเขาก็ยังคงไม่กลับไปที่ปารีสเพื่อแต่งเพลงต่อ ผลงานควอเต็ทเหล่านี้ถูกเขียนขึ้นที่เมืองAnnecy-le-Vieux และเมืองDivonne-les-Bains ที่ปารีสระหว่างกันยายน ค.ศ.1923 และกันยายน ค.ศ.1924 [3]

ตลอดระยะเวลาการทำงานในฐานะนักดนตรีของโฟเร เขาได้แต่งเพลงประเภทแชมเบอร์มิวสิคเป็นจำนวนมาก ผลงานของเขาในปี ค.ศ. 1923 ประกอบด้วยเปียโนควอเต็ท2เพลง เปียโนควินเต็ท2เพลง เปียโนทริโอ ไวโอลินโซนาต้าสองเพลง และโซนาต้าเชลโล2เพลง [4] อย่างไรก็ตามเขาพยายามที่จะไม่แต่งเพลงประเภทสตริงควอเต็ทเสมอ ลูกศิษย์ของเขา มอริส ราเวล ได้อุทิศ String Quartet in F major ของเขาให้กับโฟเรในปีค.ศ. 1903 ทั้งราเวลและคนอื่น ๆ ได้โน้มน้าวให้โฟเรแต่งเพลงสตริงควอเต็มของเขา แต่โฟเรปฏิเสธและบอกว่ามันยากเกินไปสำหรับเขา [5] เมื่อวันที่ 9 กันยายน ค.ศ.1923 เขาเขียนจดหมายจากเมืองAnnecy ไปให้ภรรยาของเขาซึ่งยังคงอยู่ในปารีสโดยมีเนื้อความว่า "ฉันเริ่มเขียนQuartet สำหรับเครื่องสายแล้วนะ แต่ไม่มีเปียโน เนื่องจากบีโธเฟ่นเป็นนักประพันธ์เพลงที่เชี่ยวชาญในการแต่งสตริงควอเต็ทมากเลยทำให้มีจำนวนคนไม่น้อยหวาดกลัวที่จะแต่งออกมาเพราะกลัวการถูกเปรียบเทียบ " [6] หลังจากนั้นไม่นาโฟเรก็ลงมือทำงานกับชิ้นนี้ร่วมปีและเสร็จในวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 1924 เห็นได้ชัดว่าโฟฟเรทุ่มเทเวลานานมากเพื่อที่จะทำให้บทเพลงสตริงควอเต็ทชิ้นนี้เสร็จสมบูรณ์ [7]

โดยท่อนแรกของบทเพลงนี้เสร็จสมบูรณ์ [8] ในตอนที่เขาเขียนที่เมืองAnnecy ระหว่างวันที่ 9 และ 13 กันยายน ค.ศ. 1923 [9] นักวิจารณ์เพลงโรเจอร์ นิโคลส์ ได้แสดงความคิดเห็นว่าเป็นบทเพลงที่มีเสียงดนตรีที่เงียบขรึมของAndante ได้สะท้อนอยู่ในสองท่อนอื่ยที่โฟเรได้แต่งขึ้นในภายหลัง [10] หลังจากกลับมาถึงที่เมืองปารีส โฟเรเริ่มแต่งท่อนแรกโดยเขากลับมาใช้ทำนองสองทำนองเก่าที่เคยแต่งทิ้งกลับมาใส่ในบทเพลงนี้ ซึ่งทำนองนั้นเคยอยู่ในบทเพลงไวโอลินคอนแชร์โต้ที่แต่งไม่เสร็จแล้วปล่อยทิ้งไว้ในปีค.ศ. 1878 [11] เขากลับมาแต่งบทเพลงนี้ต่อในช่วงฤดูร้อนของปีถัดมา โดยแต่งที่เมืองDivonne-les-Bains และที่เมืองAnnecy เป็นที่สุดท้ายก่อนจะแต่งเสร็จสมบูรณ์ [3] เมื่อแต่งบทเพลงทั้งสามท่อนเสร็จสิ้น เขาไตร่ตรองว่าควรจะเพิ่ม scherzo แยกต่างหาก แต่ตัดสินใจและบอกภรรยาของเขาว่า "บทเพลงสตริงควอเต็ทนั้นเสร็จสมบูรณ์แล้ว แต่ทว่าเขายังคงกำลังตัดสินใจอยู่ว่าท่อนที่สี่แทรกเข้ามาระหว่างท่อนแรกและท่อนที่สอง แต่เนื่องจากมันไม่มีความจำเป็น อย่างน้อยแค่ช่วงเวลานี้ฉันจะไม่ฝืนโดยใช่เหตุ " [12]

บทเพลงนี้ถูกนำไปแสดงครั้งแรกหลังจากที่โฟเรเสียชีวิต [13] เขาปฏิเสธข้อเสนอที่จะแสดงเป็นการส่วนตัวสำหรับเขาในวันสุดท้ายของชีวิตของเขา เนื่องจากความสามารถในการได้ยินของเขาเสื่อมลง จนถึงจุดที่เสียงดนตรีนั้นไม่ไพเราะอีกต่อไป [14]

โครงสร้าง[แก้]

1 Allegro moderato

ท่อนแรกนั้นจะบรรเลงในจังหวะ 2/2 และอยู่ใน รูปแบบโซนาตา [7] มีการเปิดตัวเพลงบรรเลงด้วยวิโอล่าและตอบกลับด้วยไวโอลิน ตามมาด้วยรูปแบบโซนาต้าธรรมดา กับด้วยวิโอล่าเล่นทำนองหลักวนไปมา

2 Andante

ท่อนที่สอง บรรเลงในจังหวะ 4/4 ไม่อยู่ในรูปแบบดั้งเดิมที่สามารถสังเกตได้ [10] ไอเดียของทำนองแรกซํ้าไปครึ่งนึงของท่อน ในอีกแง่นึง Andante ใช้บันไดเสียงซึ่งวนไปวนมาและมีการกระโดดข้ามคู่แปดเป็นช่วงๆ [10] ความเข้มของเสียงเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาโดยมีการดังขึ้น (crescendos) หรือ การเบาเสียงลง (diminuendos) ในห้องส่วนใหญ่ [10] นักวิชาการโฟเร Jean-Michel Nectoux กล่าวถึงท่อน "Andante เป็นหนึ่งในผลงานการเขียนสตริงควอเต็ตที่ดีที่สุดชิ้นหนึ่ง ตั้งแต่ต้นจนจบมันอาบในแสงที่เหนือจินตนาการ ไม่มีสิ่งใดที่ไม่สวยงามในท่อนนี้ ด้วยความหลากหลายของการเล่นแสงสีขาวบนพื้นขาว เพลงสูงส่งจมออกไปจากมุมมอง มันดูเหมือนจะมาถึงจุดจบแล้ว" [15]

3 Allegro

เช่นเดียวกับไอเดียของทำนองแรก ท่อนจบอยู่ในรูปแบบโซนาต้าและเหมือน Andante ซึ่งอยู่ในจังหวะ 4/4 [7] ได้รวมฟังก์ชั่นของ scherzo เช่นเดียวกับตอนจบ ตัวทำนองที่เชลโล่บรรเลงได้นำเสนอและพัฒนาชุดรูปแบบ scherzo มากกว่าที่จะเป็นแนวประสาน ส่วนการพัฒนาแนวทำนองส่วนกลางซึ่งมีความยาวผิดปกติซึ่งเกี่ยวข้องกับส่วนที่เหลือของการท่อนนี้ รวมใจความสำคัญที่ได้ยินของจุดเริ่มต้นของท่อน ท่อนนี้สิ้นสุดลงอย่างสว่างไสวในบันไดเสียง E เมเจอร์[10]

ในแง่ของการปฏิบัติ สตริงควอเต็ตมีการเปลี่ยนแปลงอย่างกว้างขวางในรูปแบบของจังหวะ (tempi) จากการบันทึกในแคตตาล็อกซีดีในปี 2011 ตัวอย่างของการแสดงที่รวดเร็วโดย Amati Quartet เป็นผลงานในปี 1993 บนฉลากของ Divox ซึ่งเล่นได้ทั้งหมด 22 นาทีและ 18 วินาที ในท่ามกลางเวอร์ชันที่ช้ากว่านั้นบรรเลงโดย Medici Quartet (Nimbus, 1989) ซึ่งเกือบเจ็ดนาทีนานกว่าเวลา 29:10 น [n 1]

  1. Nichols, Roger. "Fauré and Ravel", Error in Webarchive template: Empty url. Gramophone, August 2000, p. 69
  2. แวนส์ร็อบ "Debussy, Fauré, Ravel", Gramophone , ธันวาคม 2008, p. 97
  3. 3.0 3.1 โจนส์, หน้า 202–205
  4. โจนส์หน้า 32, 60, 112, 190, 200, 32, 164, 164 และ 191
  5. Nectoux, p. 86
  6. โจนส์, p.202
  7. 7.0 7.1 7.2 Perreau , p. 3
  8. Nectoux, p. 466
  9. โจนส์, หน้า 202–203
  10. 10.0 10.1 10.2 10.3 10.4 Nichols, p. 4
  11. Nectoux, p. 253
  12. โจนส์, p. 205
  13. โจนส์, p. 192
  14. Nectoux, p. 292
  15. Nectoux อ้าง โดย Stéphan Perreau


อ้างอิงผิดพลาด: มีป้ายระบุ <ref> สำหรับกลุ่มชื่อ "n" แต่ไม่พบป้ายระบุ <references group="n"/> ที่สอดคล้องกัน