มาโนฮารา โอเดเลีย พีนอต

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
มาโนฮารา โอเดเลีย พีนอต
เกิดมาโนฮารา โอเดเลีย มันซ์
(1992-02-28) 28 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1992 (32 ปี)
จาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย
คู่สมรสเติงกูมูฮัมมัด ฟาครี เปตรา (สมรส 2008; หย่า 2009)
ญาติ
  • จอร์จ มันซ์ (บิดา)[1]
  • เดซี ฟาจารีนา (มารดา)
  • ไรเนอร์ พีนอต โนอัค (พ่อเลี้ยง)
นักเดินแบบ
สีผมดำ
สีตาน้ำตาล

มาโนฮารา โอเดเลีย พีนอต (อินโดนีเซีย: Manohara Odelia Pinot; เกิด 28 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1992) เป็นนางแบบชาวอินโดนีเซีย โดยถือสัญชาติอินโดนีเซียและอเมริกัน[2] และเคยเป็นบาทบริจาริกาในเติงกูมูฮัมมัด ฟาครี เปตรา ช่วง ค.ศ. 2008–2009

ประวัติ[แก้]

พื้นฐานครอบครัว[แก้]

จำเดิม เดซี ฟาจารีนา (Daisy Fajarina) เคยสมรสครั้งแรกกับเอดี (Edy) ชายชาวอินโดนีเซีย ต่อมาสมรสหนที่สองกับจอร์จ มันซ์ (George Manz) ชายชาวอเมริกัน มีบุตรด้วยกันคือมาโนฮารา แต่ทั้งสองหย่าจากกันใน ค.ศ. 1994 เดซีจึงสมรสหนที่สามกับเยือร์เกิน ไรเนอร์ โนอัค-พีนอต (Juergen Reiner Noack-Pinot) ชายสัญชาติเยอรมัน ซึ่งต่อมารับมาโนฮาราเป็นลูกบุญธรรม เธอจึงใช้นามสกุลของพ่อเลี้ยงแทน

ต่อมาซาลีฮา (Saliha) ลูกสาวบุญธรรมของเดซี ฟาจารีนา แจ้งความว่าเธอถูกเดซีและพีนอตซึ่งเป็นแม่และพ่อบุญธรรมล่วงละเมิดทางเพศและทำร้ายร่างกาย เดซีถูกตัดสินให้จำคุก 18 เดือน ส่วนนายพีนอตถูกตัดสินให้จำคุกเพียง 4 เดือน เดซีพร้อมลูกสาวสองคน คือ มาโนฮารา และเดวี ซรี อาซิฮ์ (Dewi Sri Asih) หลบหนีออกจากประเทศฝรั่งเศสไปอินโดนีเซีย จนถึงตอนนี้เธอยังมีหมายจับในประเทศฝรั่งเศสในฐานะ "ผู้จัดหาหญิงเปราะบางและต้องการที่พึ่งพาอาศัย ให้ไปทำงานที่ไม่มีมาตรฐาน และทำร้ายร่างกายมาตั้งแต่ ค.ศ. 1998"[3]

ความสัมพันธ์กับเจ้าชายฟาครี[แก้]

มาโนฮาราตกเป็นที่สนใจอย่างกว้างขวางในสื่อมวลชนอินโดนีเซียเมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 2009 หลังเดซี ฟาจารีนา มารดา กล่าวหาว่าเติงกูมูฮัมมัด ฟาครี เปตรา (Tengku Muhammad Fakhry Petra) เจ้าชายแห่งรัฐกลันตันซึ่งเป็นสามีของมาโนฮารา ลักพาตัวมาโนฮาราไป[4]

มาโนฮาราพบกับเติงกูมูฮัมมัด ฟาครี ครั้งแรกในงานเลี้ยงอาหารค่ำที่จัดโดยนาจิบ ราซัก รองนายกรัฐมนตรีมาเลเซียในขณะนั้น เมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 2006[5] โดยเติงกูมูฮัมมัด ฟาครี เสกสมรสกับมาโนฮารา หญิงชาวอินโดนีเซียวัย 16 ปี เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม ค.ศ. 2008 ซึ่งการแต่งงานดังกล่าวไม่มีพยาน (วะลีย์) และไม่มีเอกสารทางกฎหมายจากสถานทูตอินโดนีเซีย

ระหว่างที่อยู่ในรัฐกลันตัน มาโนฮาราต้องทนทุกข์ทรมานทั้งร่างกายและจิตใจจากสามีมายาวนาน ด้วยเหตุนี้เธอจึงลอบหนีกลับอินโดนีเซียผ่านทางสิงคโปร์ เติงกูมูฮัมมัด ฟาครีพยายามง้อมาโนฮาราด้วยการซื้อรถยนต์หรูให้เป็นของขวัญวันเกิดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2009 รวมทั้งเชิญชวนให้มาโนฮารา เดซี มารดา และเดวี น้องสาวต่างมารดา ไปทำอุมเราะฮ์ที่มักกะฮ์ด้วย ต่อมาเมื่อวันที่ 9 มีนาคม ค.ศ. 2009 หลังเสร็จสิ้นการแสวงบุญที่มักกะฮ์ มาโนฮาราหายตัวไป ส่วนเดซีและเดวีก็ถูกทิ้งไว้ที่สนามบินแห่งหนึ่งในมักกะฮ์ เดซีจึงขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลอินโดนีเซียและคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติให้พามาโนฮาราที่ถูกลักพาตัวไปกลับคืนมา[6]

ประเด็นการหายตัวไปของมาโนฮาราเป็นที่สนใจมากขึ้น หลังนาจิบ ราซัก นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย หลีกเลี่ยงการตอบคำถามเกี่ยวกับมาโนฮาราซึ่งถามโดยซูซีโล บัมบัง ยูโดโยโน ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย เมื่อครั้งพบปะกันที่จาการ์ตา เมื่อ 23 เมษายน ค.ศ. 2009[7] เดซี มารดาของมาโนฮาราจัดการแถลงข่าวหน้าคณะกรรมาธิการแห่งชาติว่าด้วยความรุนแรงต่อเด็กและสตรีกรุงจาการ์ตา โดยตัดพ้อว่าทางการมาเลเซียห้ามเธอเดินทางเข้าประเทศมาเลเซียเพื่อไปหาลูกสาว ซึ่งเปรียบได้กับเหตุการณ์การเสียชีวิตของชารีบูกี อัลตันตูยา[8] ทางการอินโดนีเซียได้มีการเรียกร้องให้รัฐบาลมาเลเซียอธิบายว่าเพราะเหตุใดจึงไม่อนุญาตให้นางเดซีไปเยี่ยมลูกสาว ท่ามกลางการกล่าวอ้างว่าเจ้าชายของมาเลเซียล่วงละเมิดมาโนฮารา[9]

ต่อมาสุลต่านแห่งกลันตันทรงพระประชวรและเข้ารับถวายการรักษาที่ประเทศสิงคโปร์ มาโนฮาราได้ตามเสด็จไปด้วย ในเวลานั้นเดซีอยู่ที่สิงคโปร์เช่นกัน จึงสอบถามชื่อโรงแรมจากลูก ครั้นมาโนฮาราจะหลบหนีออกจากโรงแรม บอดีการ์ดกลันตันพยายามให้เธอหยุดที่ชั้นสามที่สุลต่านประทับอยู่ แต่จากความช่วยเหลือจากสถานทูตสหรัฐ เธอจึงหนีไปยังท่าอากาศยานนานาชาติชางงีและบินกลับอินโดนีเซียพร้อมมารดาได้สำเร็จเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ. 2009[10] มีการจัดแถลงข่าวออกโทรทัศน์ โดยมาโนฮาราออกมายืนยันคำพูดของมารดาว่าเติงกูมูฮัมมัด ฟาครี ทำร้ายร่างกายและจิตใจของเธอจริง[11] และกล่าวอีกว่าเธอจะไม่เดินทางกลับไปกลันตันอีก และตั้งใจจะฟ้องหย่ากับเติงกูมูฮัมมัด ฟาครี[12]

รัตนา ซารุมปาเยต (Ratna Sarumpaet) นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิสตรีผู้เคยให้ความช่วยเหลือมาโนฮาราและเดซี ได้ถอนการเสนอที่จะช่วย โดยให้เหตุผลว่าหญิงทั้งสองขาดมุ่งมั่นตั้งใจในการดำเนินคดีต่อ[13] ส่วน โอ. ซี. กาลีกิส (O. C. Kaligis) ทนายความซึ่งเคยเสนอตัวเป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมาย ก็ถอนตัวจากการเป็นตัวแทนของมาโนฮาราเช่นกัน โดยให้เหตุผลว่ามีปัญหาด้านการรวบรวมหลักฐานและการให้ข้อมูล[14] ต่อมากระทรวงการต่างประเทศของอินโดนีเซียเสนอที่จะให้ความช่วยเหลือและยื่นรายงานต่อตำรวจมาเลเซียในนามของมาโนฮารา โดยเธอต้องยื่นแสดงหลักฐานสำคัญออกมาทั้งหมด แต่มาโนฮาราปฏิเสธการช่วยเหลือ และไม่ยอมส่งมอบรายงานทางการแพทย์แก่ทนายความชาวมาเลเซีย ที่สุดทนายความคนดังกล่าวได้ยื่นคำร้องขอให้เขาออกจากคดี[15]

ต่อมาซาฮีลา ลูกสาวบุญธรรมของเดซี เดินทางกลับสู่ประเทศอินโดนีเซีย หลังใช้เวลากว่าสิบปีในการนำตัวแม่บุญธรรมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ฮัซซัน วีราจูดา (Hassan Wirajuda) รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ยืนยันว่า เขาได้รับเอกสารจากสถานกงสุลใหญ่เมืองมาร์แซย์ ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเนื้อหาขอให้รัฐบาลอินโดนีเซียเร่งรัดคดีของเดซีให้รับโทษจำคุก[16]

เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2020 มาโนฮาราระบุในสตอรีอินสตาแกรมระบุว่าเธอเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ โดยอ้างว่าเปลี่ยนมานานแล้ว และไม่ใช่กงการอะไรของใคร เพราะเป็นเรื่องระหว่างเธอกับพระเจ้า[17]

อ้างอิง[แก้]

  1. "My ex-wife's an evil mother, says Manohara's dad, Frankie D'Cruz, July 6, 2009, Malay Mail
  2. MANOHARA ISSUE: Indonesian NGO calls for official investigation เก็บถาวร 2009-07-07 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Frankie D'Cruz, July 6, 2009, Malay Mail
  3. MANOHARA ISSUE: Now it’s father vs father เก็บถาวร 2010-05-01 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. Mmail.com.my (2009-07-13). Retrieved on 2011-12-24.
  4. Menguak Hilangnya Manohara Odelia Pinot, KapanLagi.com, accessed 19 April 2009
  5. MANOHARA ISSUE: Now it’s father vs father เก็บถาวร 2010-05-01 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. Mmail.com.my (2009-07-13). Retrieved on 2011-12-24.
  6. Komnas HAM Indonesia Segera Surati Komnas HAM Malaysia (Komnas HAM wrote to their Malaysian counterparts), KapanLagi.com, 25 April 2009, accessed 25 April 2009
  7. Malaysia's Najib dodges queries on model. Straits Times. 23 April 2009.
  8. Questions for Najib over a Missing Model เก็บถาวร 2009-04-27 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน Asia Sentinel, 24 April 2009.
  9. RI demands KL explain ban on anxious mother The Jakarta Post, 24 April 2009.
  10. Manohara Pulang, Deasy Fajarina Sambut Dengan Pelukan (Manohara is home, Daisy welcomes her with hugs), KapanLagi.com, 31 May 2009, accessed 31 May 2009
  11. Manohara Odelia Pinot Model Flees Clutches of Malaysian Prince. 03/04/2009 เก็บถาวร 2013-11-09 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. Newsbizarre.com (2008-08-26). Retrieved on 2011-12-24.
  12. Redaksi Kontroversi Trans-7, Manohara Succeed to Escape Back to Homeland. 31/05/2009 เก็บถาวร ตุลาคม 17, 2013 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
  13. Ratna Sarumpaet Cabut Pendampingan untuk Manohara เก็บถาวร 2009-05-28 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. Entertainment.kompas.com. 25 May 2009 Retrieved on 2011-12-24.
  14. OC Kaligis Juga Tinggalkan Manohara เก็บถาวร 2012-04-07 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. Pos-kupang.com. 6 June 2009 Retrieved on 2011-12-24.
  15. It’s ‘hearsay’, says Manohara’s lawyer เก็บถาวร 2009-11-30 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. Mmail.com.my (2009-09-28). Retrieved on 2011-12-24.
  16. Daisy's worst nightmare comes true เก็บถาวร 2011-06-22 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. Mmail.com.my (2009-07-23). Retrieved on 2011-12-24.
  17. "Putuskan Pindah Agama, Manohara Odelia Pinot: I am a Christian!". 27 February 2020.