ผู้ใช้:Vichkhon

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

เหตุการณ์แฮ็กสมองประชาชนในประเทศไทย (MK-Ultra Thailand หรือ V2K Thailand)[แก้]

เหตุการณ์แฮ็กสมองประชาชนในประเทศไทย (MK-Ultra Thailand หรือ V2K Thailand) เป็นการใช้คลื่นรบกวนสมองโดยอาวุธอิเล็กทรอนิกส์ (torture) หรือ MK-Ultra หรือ V2K (voice to skull) หรือ Mind Control เป็นการก่อการร้ายในประเทศไทยในลักษณะของอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ โดยปัจจุบันมีประชาชนผู้ตกเป็นเหยื่อคลื่นรบกวนสมองโดยอาวุธอิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าวหลายพันคน กลุ่มผู้ก่อการร้ายผู้ใช้อาวุธอิเล็กทรอนิกส์เข้าควบคุมและบังคับร่างกายและจิตใจและคุกคามของประชาชนชาวไทยผู้บริสุทธิ์อย่างไร้มนุษยธรรม ซึ่งลักษณะและรูปแบบวิธีการคุกคามกลุ่มผู้ก่อการร้ายจะมีพฤติกรรมในการแอบอ้างแหล่งที่มาถึงผู้มีอำนาจและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เพื่อสร้างความหวาดกลัวและความหวาดระแวงให้แก่เหยื่อเพื่ออาศัยอำนาจในการมีความชอบธรรมเพื่อที่จะคุกคาม บังคับ และทำร้ายประชาชนชาวไทยผู้บริสุทธิ์ กลุ่มผู้ก่อการร้ายส่วนใหญ่มีเกี่ยวข้องกับยาเสพติดหรือผู้มีอำนาจ โดยอาศัยจากคำบอกเล่าจากกลุ่มผู้เสียหาย ประกอบกับ พฤติกรรมของกลุ่มผู้ก่อการร้ายต้องการผลักภาระการเป็นจำเลยรับโทษให้แก่ผู้เสียหาย โดยผู้เสียหายหลายรายต้องรับโทษตามกฎหมายและถูกดำเนินคดีโดยมิได้เป็นการกระทำของตนเองและหลายรายเสียชีวิตจากการถูกกลั่นแกล้งและทรมาน

อาวุธอิเล็กทรอนิกส์ (torture) หรือ MK-ULTRA หรือ V2K (voice to skull) หรือ Mind Control[แก้]

จากประวัติศาสตร์พบว่า MK-ULTRA เคยเกิดขึ้นในช่วง ค.ศ.1953-1975 อ้างถึง สตีเฟน คินเซอร์ (Stephen Kinzer) นักเขียนผู้อธิบายถึงโครงการดังกล่าวที่อธิบายว่า “โครงการนี้ทำต่อมาตั้งแต่สงครามโลก โดยอเมริการับเอานักวิทยาศาสตร์ของนาซีและญี่ปุ่นที่ทำการทดลองหาวิธีควบคุมจิตใจของมนุษย์อยู่แล้วกับเชลยในค่ายกักกัน โดยเฉพาะนักวิทยาศาสตร์ของนาซี ได้มีการทดลองใช้สารเมสคาไลน์ (mescaline) กับนักโทษในค่ายกักกันดาชัว (Dachau) พอสิ้นสงคราม สหรัฐฯ ได้นำนักวิทยาศาสตร์เหล่านั้นมาไว้ที่ฟอร์ด เดตริคก์ (Fort Detrick) ในรัฐแมรีแลนด์เพื่อทำงานวิจัยต่อมา”[1] จากกรณีดังกล่าวเหยื่อของโครงการได้เรียกร้องค่าเสียหายเอาผิดต่อผู้กระทำการที่อยู่ภายใต้การควบคุมและไม่กระทบต่อบุคคลอื่น แลกกับการไม่ดำเนินคดีและการได้รับคำขอโทษจากผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองกลางแห่งสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ โครงการ MK-ULTRA จัดเป็นหนึ่งในอาวุธทางการทหารที่ถูกใช้ในสงครามเกาหลี โดยระบุกองทัพที่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าว อันได้แก่ กองทัพแห่งสหรัฐอเมริกา (United States Armed Forces) กองทัพแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (The Republic of China Armed Forces) กองทัพแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย (The Armed Forces of the Russian Federation) กองทัพประชาชนเกาหลี (The Korean People's Army) กองกำลังป้องกันสหพันธรัฐเยอรมัน (The Bundeswehr of Germany) หรือกองทัพนาซีในขณะนั้น

ทั้งนี้ หลักการทำงานของหนึ่งในกระบวนการของโครงการ MK-ULTRA คือ การส่งสัญญาณที่เรียกว่า ระบบ V2K (voice to skull) ซึ่งจัดเป็นระบบ Mind Control ที่ใช้ในการควบคุมจิตใจและร่างกายของมนุษย์ โดยทั่วไปหมายถึง ความพยายามแทรกเข้าไปมีอิทธิพลต่อความคิดและพฤติกรรมของมนุษย์ตามเจตจำนงของกลุ่มบุคคลหนึ่ง ซึ่งจัดเป็นรูปแบบของนวัตกรรมที่ใช้ทรมานมนุษย์ที่เทคโนโลยีระยะไกล (RNM) ที่ค่อย ๆ ที่ทำให้บุคคลนั้นกลายเป็นโมฆะ กล่าวคือ ไม่สามารถเป็นตัวของตัวเอง และไม่สามารถควบคุมการดำเนินการของตนเองได้ จัดเป็นประเภทของอาวุธ อาวุธไซโคโทรนิก (psychotronic) ประเภทหนึ่ง[2] นอกจากนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นกับประชาชนชาวไทยที่อาจเทียบเคียงได้กับหลักการทำงานของเครื่องมือดังกล่าว คือ การล้างสมอง หรือ Brainwashing อันเป็นหลักการทำงานของเครื่องมือที่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือควบคุมจิตใจมนุษย์ได้โดยเทคนิคทางจิตวิทยาบางอย่าง[3] การอ่านความคิด (mind reading[4]) การควบคุมร่างกายและจิตใจ (body-mind control) การจัดการความฝัน (dream manipulation) การลบข้อมูลในสมอง (brainwashing) การใช้อาวุธ Neuroweapons และการตรวจสอบระบบประสาทจากระยะไกล (Remote neural monitoring module หรือ RNM) และอื่น ๆ

อาวุธอิเล็กทรอนิกส์ (torture) หรือ MK-ULTRA หรือ V2K (voice to skull) หรือ Mind Control จัดเป็นการสงครามอิเล็กทรอนิกส์ (electronic warfare) ที่เกี่ยวข้องกับการใช้สเปกตรัมแม่เหล็กไฟฟ้า (EM spectrum) หรืออาวุธพลังงานตรงเพื่อควบคุมสเปกตรัม โจมตีศัตรู หรือขัดขวางการโจมตีของศัตรู จุดประสงค์ของการสงครามอิเล็กทรอนิกส์ คือ การปฏิเสธความได้เปรียบของฝ่ายตรงข้าม และให้แน่ใจว่าการเข้าถึงสเปกตรัมแม่เหล็กไฟฟ้าที่อาศัยได้ไม่มีข้อจำกัด การสงครามอิเล็กทรอนิกส์สามารถนำไปประยุกต์ใช้จากอากาศ ทะเล, พื้นดิน และ/หรืออวกาศ โดยระบบมีคนควบคุมและไร้คนควบคุม รวมทั้ง สามารถกำหนดเป้าหมายมนุษย์ การสื่อสาร เรดาร์ หรือทรัพย์สินอื่น ๆ (ทางการทหารและพลเรือน)[5] โดยคลื่นรบกวนสมองเป็น คลื่นไมโครเวฟ (microwave) หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (electromagnetic wave) ความถี่สูงชนิดหนึ่งที่สายตาไม่สามารถมองเห็นได้ แต่สามารถวัดได้โดยใช้เครื่องมือเฉพาะเท่านั้น และเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเช่นเดียวกันคลื่นแสงอัลตราไวโอเลต (ultraviolet) คลื่นรังสีเอ๊กซ์ และคลื่นรังสีแกมมา เป็นต้น เป็นคลื่นความถี่วิทยุชนิดหนึ่งที่มีความถี่อยู่ระหว่าง 0.3GHz - 300GHz ส่วนในการใช้งานนั้นส่วนมากนิยมใช้ความถี่ระหว่าง 1GHz - 60GHz เพราะเป็นย่านความถี่ที่สามารถผลิตขึ้นได้ด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์[6] ทั้งนี้ คลื่นไมโครเวฟที่กลุ่มผู้ก่อการร้ายใช้เป็นคลื่นที่มีความถี่ต่ำกว่า โดยที่หน่วยงานของรัฐไม่สามารถตรวจวัดได้ เนื่องจากมีความถี่ที่ต่ำมาก และจากการศึกษาการเข้าร้องเรียนของผู้ที่ประสบเหตุการณ์ในลักษณะคล้ายกันที่มีการรวมกลุ่มกันก่อตั้ง

หลักการทำงานของอาวุธอิเล็กทรอนิกส์ (torture) หรือ MK-ULTRA หรือ V๒K (voice to skull) หรือ Mind Control system นั้น เป็นการอาศัยคลื่นความถี่ของดาวเทียมที่มีลักษณะเหมือนคลื่นวิทยุที่มีช่องความถี่ที่แตกต่างกัน โดยสามารถอธิบายให้เข้าใจได้โดยง่าย คือ หนึ่งช่องความถี่มีหนึ่งบุคคลพูดอยู่ และเหยื่อหนึ่งรายกลุ่มผู้ก่อการร้ายจะมีหลายคนอยู่ในหลายช่องความถี่ ดังนั้น เมื่อระบบโสตประสาทของมนุษย์ปรับคลื่นความถี่ตามธรรมชาติของแหล่งกำเนิดเสียงจะทำให้สามารถได้ยินเสียงของบุคคลหนึ่ง ซึ่งในบรรยากาศโดยทั่วไป เราจะพบว่า ความถี่ของเสียงมีความแตกต่างกัน เช่น การอยู่ในห้องเงียบจะมีความถี่ของเสียงที่ต่ำมาก การอยู่กลางถนนจะมีความถี่ของเสียงที่สูงมาก เป็นต้น ซึ่งจะทำให้เหยื่อสามารถได้ยินเสียงของกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่อาศัยคลื่นความถี่ที่แตกต่างกันในการพูดคุยหรือใส่เสียงเข้ามาในโสตประสาทมนุษย์ได้ นอกจากนี้ ยังมีการปลอมเป็นเสียงบุคคลต่าง ๆ ได้ตามหลักการทำงานของเครื่องมือ ส่งผลให้เหยื่อหลายรายไม่สามารถอดทนต่อการคุกคามดังกล่าวได้และเกิดโทสะกระทำอัตวินิตบากกรรมไปในที่สุดเพราะความรำคาญ

โดยข้อมูลทางการแพทย์เบื้องต้น อธิบายว่า สมองของมนุษย์มีชุดของระบบอิเล็คโทรนิคเรโซแนนซ์ (electrical resonance) ที่โดดเด่น สำหรับการตรวจสอบระบบประสาทจากระยะไกลมีการใช้ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ และด้วยเหตุนี้ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์จึงสามารถส่งข้อความผ่านระบบประสาทของผู้ที่ปลูกถ่ายเพื่อที่จะมีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพการทำงานในรูปแบบที่ต้องการของการตรวจสอบระบบประสาทจากระยะไกลที่ได้รับการพัฒนาขึ้นหลังจากประมาณ ๕๐ ปีของการทดลองของมนุษย์ที่ไม่ได้ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในระบบประสาทของมนุษย์ การตรวจสอบระบบประสาทจากระยะไกลมีชุดของโปรแกรมบางอย่างทำงานในระดับต่าง ๆ

เช่นที่ระบบสัญญาณปัญญาซึ่งใช้ความถี่แม่เหล็กไฟฟ้า (EMF) เพื่อกระตุ้นสมองสำหรับการตรวจสอบระบบประสาทจากระยะไกล และการเชื่อมโยงสมองอิเล็กทรอนิกส์ (EBL) โดยระบบความถี่แม่เหล็กไฟฟ้าจะกระตุ้นสมอง ได้รับการออกแบบมาเป็นปัญญารังสีซึ่งหมายถึงการได้รับข้อมูลโดยไม่ได้ตั้งใจมีต้นกำเนิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในสภาพแวดล้อม โดยวัตถุประสงค์ของการประเมินทางอิเล็กทรอนิกส์กิจกรรมทางไฟฟ้าในศูนย์พูดของสมองสามารถแปลความหมายของคำพูดได้ การตรวจสอบระบบประสาทจากระยะไกลสามารถส่งสัญญาณที่เข้ารหัสไปยังเปลือกสมองของหูโดยตรงผ่านหู การเข้ารหัสนี้ช่วยในการตรวจจับการสื่อสารด้วยเสียง นอกจากนี้ยังสามารถทำแผนที่ทางไฟฟ้าของกิจกรรมของสมองได้จากศูนย์กลางภาพของสมองซึ่งโดยไม่ต้องผ่านสายตาและเส้นประสาทประสาท ดังนั้น จึงฉายภาพจากสมองของผู้เรียนไปยังจอภาพวิดีโอ ด้วยหน่วยความจำภาพและเสียงทั้งสองแบบนี้สามารถมองเห็นและวิเคราะห์ได้ ระบบนี้สามารถตรวจจับข้อมูลได้จากระยะไกลและไม่รุกรานตรวจสอบข้อมูลโดยการถอดรหัสแบบดิจิทัลของศักย์ที่เกิดขึ้นในคลื่นความถี่ 30-50Hz และการปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากสมอง เส้นประสาทสร้างรูปแบบไฟฟ้าขยับที่มีฟลักซ์แม่เหล็กขยับซึ่งทำให้ปริมาณคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าคงที่มีลวดและรูปแบบที่ เรียกว่า evoked potentials ในการปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากสมอง การปลดปล่อยความถี่แม่เหล็กไฟฟ้าจากสมองสามารถถอดรหัสเป็นความคิดภาพและเสียงในสมองของเหยื่อได้ จะส่งรหัสที่ซับซ้อนและสัญญาณชีพจรแม่เหล็กไฟฟ้าเพื่อกระตุ้นศักยภาพที่เกิดขึ้นภายในสมองทำให้เกิดเสียงและภาพในวงจรประสาท ด้วยระบบการสื่อสารด้วยเสียงพูดและการมองเห็น จากการตรวจสอบระบบประสาทจากระยะไกลช่วยให้สมองภาพและเสียงสมบูรณ์แบบสำหรับการเชื่อมโยงสมองหรือการเชื่อมโยงระหว่างสมองกับคอมพิวเตอร์ สิ่งที่แสดงให้ปรากฏคือ การส่งคำสั่งเฉพาะลงไปในจิตใต้สำนึก ผลิตรบกวนการมองเห็น ภาพหลอนภาพและฉีดของคำ และตัวเลขในสมองผ่านคลื่นรังสีแม่เหล็กไฟฟ้า นอกจากนี้ ยังสามารถปรุงแต่งอารมณ์และความคิดและอ่านความคิดจากระยะไกลที่ทำให้เกิดอาการปวดเส้นประสาทใดของร่างกายช่วยให้ห่างไกลการปรับพฤติกรรม การควบคุมรูปแบบการนอนที่ผ่านการควบคุมการสื่อสาร

ลักษณะและพฤติกรรมของผู้ก่อการร้าย[แก้]

กลุ่มผู้ก่อการร้ายมักจะมีพฤติกรรมสองบุคลิก กล่าวคือ ทำดีและทำร้ายกับเหยื่อเพื่อกลั่นแกล้ง ปั่นประสาท ยั่วยุ และอื่น ๆ ทั้งยังมีการกล่าวขู่ประทุษร้าย กรรโชก และอื่น ๆ แก่ร่างกาย ชีวิต ทรัพย์สิน และการประจานข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อต้องการให้เหยื่อหวาดกลัวและไม่กล้าที่จะดำเนินคดีหรือแจ้งความเอาผิด ประกอบกับ ไม่รับผิดชอบต่อการกระทำใด ๆ ทั้งสิ้น และต้องการให้เหยื่อกลายเป็นบุคคลวิกลจริตหรือเสมือนวิกลจริตหรือไร้ประสิทธิภาพจนเสมือนเป็นบุคคลไร้ความสามารถ ซึ่งเจตนาของกลุ่มผู้ก่อการร้ายต้องการผลักให้ผู้เสียหายกลายเป็นบุคคลบุคลิกวิปลาส โดยลักษณะและพฤติกรรมของผู้ก่อการร้าย ประกอบด้วย

  1. กลุ่มผู้ก่อการร้ายมีพฤติกรรมแอบอ้างแหล่งที่มาถึงผู้มีอำนาจและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เพื่อสร้างความหวาดกลัวและความหวาดระแวงให้แก่เหยื่อเพื่ออาศัยอำนาจในการมีความชอบธรรมเพื่อที่จะคุกคาม บังคับ และทำร้ายประชาชนชาวไทยผู้บริสุทธิ์
  2. กลุ่มผู้ก่อการร้ายมีพฤติกรรมสองบุคลิก กล่าวคือ ทำดีและทำร้ายกับเหยื่อเพื่อกลั่นแกล้ง ปั่นประสาท ยั่วยุ และอื่น ๆ ทั้งยังมีการกล่าวขู่ประทุษร้าย กรรโชก และอื่น ๆ แก่ร่างกาย ชีวิต ทรัพย์สิน และการประจานข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อต้องการให้เหยื่อหวาดกลัวและไม่กล้าที่จะดำเนินคดีหรือแจ้งความเอาผิด ประกอบกับ ไม่รับผิดชอบต่อการกระทำใด ๆ ทั้งสิ้น และต้องการให้เหยื่อกลายเป็นบุคคลวิกลจริตหรือเสมือนวิกลจริตหรือไร้ประสิทธิภาพจนเสมือนเป็นบุคคลไร้ความสามารถ
  3. กลุ่มผู้ก่อการร้ายควบคุมและบังคับร่างกายและจิตใจเหยื่อเพื่อผลักภาระการรับโทษและมีความผิดตามกฎหมายเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีกับเหยื่อและหลายรายตกอยู่ในฐานะจำเลย
  4. กลุ่มผู้ก่อการร้ายมีพฤติกรรมไม่รับผิดชอบต่อการกระทำของเหยื่อ
  5. กลุ่มผู้ก่อการร้ายมีพฤติกรรมการปลอมแปลงชื่อเพื่อไม่ให้สืบทราบถึงแหล่งที่มาของตนเองได้
  6. กลุ่มผู้ก่อการร้ายมีลักษณะการแบ่งหน้าที่กัน



  1. PROJECT MKULTRA, THE CIA'S PROGRAM OFRESEARCH IN BEHAVIORAL MODIFICATION, Office of Scientific Intelligence, 1977.
  2. NAVAL - research laboratory complex Washington, 2008
  3. Corsini, Raymond J. (2002). The Dictionary of Psychology. Psychology Press. p.127.
  4. https://blogs.scientificamerican.com/observations/mind-reading-and-mind-control-technologies-are-coming/
  5. "Joint Publication 3-13.1 Electronic Warfare" (Online PDF available for download). Chairman of the Joint Chiefs of Staff (CJCS) - Armed Forces of the United States of America. 25 January 2007.
  6. Hitchcock, R. Timothy (2004). Radio-frequency and Microwave Radiation. American Industrial Hygiene Assn. p.1