ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ทฤษฎีบทเล็กของแฟร์มา"
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
|||
บรรทัด 1: | บรรทัด 1: | ||
⚫ | |||
⚫ | |||
⚫ | |||
:<math>a^p \equiv a \pmod{p}\,\!</math> |
:<math>a^p \equiv a \pmod{p}\,\!</math> |
||
ตัวอย่างเช่น เมื่อ <math>a=2</math> และ <math>p = 7</math> พบว่า <math>2^7 - 2 = 128 - 2 = 126 = 7 \times 18</math> ดังนั้น <math>2^7 - 2</math> จึงเป็นพหุคูณของ 7 |
|||
หมายความว่า ถ้าเลือกจำนวนเต็ม <math>a</math> มาคูณกัน <math>p</math> ครั้ง จากนั้นลบด้วย <math>a</math> ผลลัพธ์ที่ได้จะหารด้วย <math>p</math> ลงตัว (ดู[[เลขคณิตมอดุลาร์]]) |
|||
<math>p\mid a^p-a</math> |
|||
ทฤษฎีบทนี้กล่าวอีกแบบหนึ่งได้ว่า ถ้า <math>p</math> เป็นจำนวนเฉพาะ และ <math>a</math> เป็นจำนวนเต็มที่เป็น[[จำนวนเฉพาะสัมพัทธ์]]กับ <math>p</math> แล้ว จะได้ว่า |
ทฤษฎีบทนี้กล่าวอีกแบบหนึ่งได้ว่า ถ้า <math>p</math> เป็นจำนวนเฉพาะ และ <math>a</math> เป็นจำนวนเต็มที่เป็น[[จำนวนเฉพาะสัมพัทธ์]]กับ <math>p</math> แล้ว จะได้ว่า |
||
:<math>a^{p-1} \equiv 1 \pmod{p}\,\!</math> |
:<math>a^{p-1} \equiv 1 \pmod{p}\,\!</math> |
||
:ทฤษฎีบทเล็กของแฟร์มาเป็นพื้นฐานของการทดสอบจำนวนเฉพาะของแฟร์มา และเป็นผลลัพธ์พื้นฐานในทฤษฎีจำนวน ทฤษฎีบทนี้ได้ชื่อตาม [[ปีแยร์ เดอ แฟร์มา]] ผู้ได้เสนอทฤษฎีบทนี้ในปี ค.ศ. 1640 และได้ชื่อว่าเป็น "ทฤษฎีบทเล็ก" เพื่อแยกแยะให้แตกต่างกับ[[ทฤษฎีบทสุดท้ายของแฟร์มา]]<ref name=":0">{{Cite book|last=Burton|first=David M.|url=https://www.worldcat.org/oclc/476835570|title=The history of mathematics : an introduction|date=2011|publisher=McGraw-Hill|isbn=978-0-07-338315-6|edition=7th ed|location=New York|pages=514|oclc=476835570}}</ref> |
|||
== บทพิสูจน์ == |
== บทพิสูจน์ == |
||
[[ปีแยร์ เดอ แฟร์มา]]ได้ตั้งทฤษฎีบทนี้โดยไม่ได้ให้บทพิสูจน์ไว้ ต่อมา [[กอทท์ฟรีด วิลเฮล์ม ไลบ์นิซ]] ได้เขียนบทพิสูจน์ไว้ |
[[ปีแยร์ เดอ แฟร์มา]]ได้ตั้งทฤษฎีบทนี้ในจดหมายจากเขาถึง [[Frénicle de Bessy|เฟรนิเกล เดอ เบสซี]] โดยไม่ได้ให้บทพิสูจน์ไว้ จดหมายฉบับนั้นลงวันที่ 18 ตุลาคม ค.ศ. 1640 ต่อมา [[กอทท์ฟรีด วิลเฮล์ม ไลบ์นิซ]] ได้เขียนบทพิสูจน์ไว้โดยไม่ได้ตีพิมพ์และไม่ลงวันที่ รู้เพียงว่าเขาพิสูจน์ได้ก่อน [[ค.ศ. 1683]]<ref name=":0" /> ออยเลอร์เป็นคนแรกที่ติพิมพ์บทพิสูจน์ของทฤษฎีบทนี้ในปี ค.ศ. 1736<ref>{{Cite book|last=Ore|first=Øystein|url=https://www.worldcat.org/oclc/17413345|title=Number theory and its history|date=1988|publisher=Dover|isbn=0-486-65620-9|location=New York|pages=273|oclc=17413345}}</ref> |
||
บทพิสูจน์ด้านล่าง<ref>{{Cite book|last=Hardy|first=G. H.|url=https://www.worldcat.org/oclc/214305907|title=An introduction to the theory of numbers|date=2008|publisher=Oxford University Press|others=E. M. Wright, D. R. Heath-Brown, Joseph H. Silverman|isbn=978-0-19-921985-8|edition=6th ed.|location=Oxford|oclc=214305907}}</ref> เป็นบทพิสูจน์สำหรับรูปแบบหนึ่งของทฤษฎีบทดังกล่าวที่ว่า: ''ถ้า <math>p</math> เป็นจำนวนเฉพาะ และ <math>a</math> เป็นจำนวนเต็มที่เป็น[[จำนวนเฉพาะสัมพัทธ์]]กับ <math>p</math> แล้ว จะได้ว่า <math>a^{p-1} \equiv 1 \pmod{p}\,\!</math>'' |
|||
=== บทพิสูจน์ที่ 1 === |
|||
ถ้า p เป็น[[จำนวนเฉพาะ]] และ <math>p\nmid a</math> แล้ว <math>a^{p-1} \equiv 1 \pmod{p}\,\!</math> |
|||
{{พิสูจน์คณิตศาสตร์|proof= สมมติให้ <math>p</math> เป็นจำนวนเฉพาะ และ <math>a</math> เป็นจำนวนเต็มที่เป็นจำนวนเฉพาะสัมพัทธ์กับ <math>p</math> |
|||
กำหนดจำนวน 1,2,3,...,p-1 (mod p) |
|||
แนวคิดของบทพิสูจน์อาศัยข้อสังเกตที่ว่า ลำดับของจำนวนเต็มต่อไปนี้ |
|||
จะมีจำนวน 1,2,3,...,p-1 คูณจำนวนเหล่านี้ด้วย a ได้ a,2a,3a,...,(p-1)a (mod p) |
|||
:<math> a, 2a, 3a, \dotsc, (p - 1)a </math> |
|||
พิสูจน์ว่า[[เซต (คณิตศาสตร์)|เซต]] {a,2a,3a,...,(p-1)a} กับ {1,2,3,...,p-1} (mod p) ทั้งสองเซตเท่ากันภายใต้ mod p |
|||
เป็นลำดับเดียวกับ <math> 1, 2, 3, \dotsc, p-1</math> ในมอดุโล <math> p </math> แต่ต่างกันแค่การเรียงลำดับเท่านั้น |
|||
กรณีที่ 1 ไม่มีจำนวน r เป็นสมาชิกในเซต {1,2,3,...,p-1} ที่ทำให้ <math>r\cdot a \equiv 0</math>(mod p) แล้ว <math>p\mid r\cdot a</math>เป็นไปไม่ได้ เพราะ <math>p\nmid a</math>และ 0<r<p ทำให้ <math>p\nmid r</math>ดังนั้น |
|||
เพื่อพิสูจน์ข้อความข้างต้น เราสังเกตว่า จำนวนทุกตัวในลำดับ <math> a, 2a, 3a, \dotsc, (p - 1)a </math> ไม่มีจำนวนใดคอนกรูเอนซ์กับ 0 ในมอดุโล <math> p </math> ซึ่งเห็นได้ชัดจากการที่ทุกจำนวน <math>k</math> ในลำดับ <math> 1,2,3,\dotsc, p-1</math> ไม่มีตัวประกอบร่วมกันกับ <math> p </math> และ <math> a </math> ก็ไม่มีตัวประกอบร่วมกับกับ <math> p </math> ด้วย ดังนั้นผลคูณ <math> ka </math> ไม่มีตัวประกอบร่วมกันกับ <math> p </math> (ดูเพิ่มที่ [[บทตั้งของยุคลิด]]) |
|||
ไม่มีจำนวน r ที่ทำให้ <math>r\cdot a \equiv 0</math>(mod p) เพราะ p เป็นจำนวนเฉพาะวิธีเดียวที่จะหารด้วย p ลงตัวคือ r หรือ a จะต้องหารด้วย p ลงตัว |
|||
ต่อไป เราพิสูจน์ว่าทุกสมาชิกในลำดับ <math> a, 2a, 3a, \dotsc, (p - 1)a </math> แตกต่างกันทั้งหมดในมอดุโล <math> p </math> |
|||
ฉะนั้นในเซต {a,2a,3a,...,(p-1)a} จะไม่มี 0 เป็นสมาชิกแสดงว่า ในเซต {a,2a,3a,...,(p-1)a} เมื่อ mod p จำนวนที่เป็นไปได้ |
|||
สมมติให้ <math>k</math> และ <math>m</math> เป็นจำนวนเต็มในลำดับ <math> 1, 2, 3, \dotsc, p-1</math> ที่ทำให้ <math> ka \equiv ma \pmod{p} </math> |
|||
คือ 1 ถึง p-1 ยกเว้น 0 ในเศษ p ที่เป็นไปได้ |
|||
จากสมบัติการตัดออกในเลขคณิตมอดุลาร์จะได้ <blockquote><math>k \equiv m \pmod{p}</math> </blockquote>แต่จาก <math>k, m</math> มีค่าอยู่ในช่วง <math> 1, 2, 3, \dotsc, p-1</math> จึงบังคับให้ <math>k = m</math> เท่านั้น |
|||
กรณีที่ 2 ในเซต {a,2a,3a,...,(p-1)a} ไม่มีตัวไหนที่ซ้ำกันภายใต้ mod p |
|||
จากการพิสูจน์ข้างต้น เมื่อลดทอนลำดับ <math> a, 2a, 3a, \dotsc, (p - 1)a </math> ในมอดุโล <math>p</math> จะต้องแตกต่างกันทั้งหมด แต่เนื่องจาก <math> a, 2a, 3a, \dotsc, (p - 1)a </math> เป็นลำดับที่มีสมาชิกทั้งหมด <math>p - 1 </math> ตัวที่แตกต่างกันทั้งหมด ดังนั้นเมื่อลดทอนแล้วจะต้องได้เป็นการเรียงลำดับใหม่ของ <math> 1, 2, 3, \dotsc, p-1</math> เท่านั้น |
|||
มีจำนวน r,s เป็นสมาชิกในเซต {1,2,3,...,p-1} และ <math>r\neq s</math> ดังนั้น |
|||
จึงทำให้ได้ว่า<blockquote><math>\begin{align} |
|||
พิสูจน์ว่า <math>a\cdot r\not\equiv a\cdot s</math>(mod p) ก็คือ <math>a\cdot r - a\cdot s\not\equiv 0</math> (mod p) แยกตัวประกอบได้ <math>a(r-s)\not\equiv 0</math> การที่จะทำให้เกิดข้อขัดแย้งได้ |
|||
\displaystyle a\times 2a\times 3a\times \dotsb \times (p-1)a &\equiv 1\times 2\times 3\times \dotsb \times (p-1) \pmod {p} \\ |
|||
a^{p-1}(p - 1)! &\equiv (p-1)! \pmod{p} |
|||
\end{align} |
|||
</math></blockquote>และจาก <math>(p - 1)! |
|||
</math> เป็นจำนวนเฉพาะสัมพัทธ์กับ <math>p |
|||
</math> จึงส่งผลให้สามารถตัดออกจากทั้งสองข้างของสมการคอนกรูเอนซ์ได้ จึงสรุปได้ว่า <math>a^{p -1} \equiv 1 \pmod{p} |
|||
</math>}} |
|||
บทพิสูจน์ข้างต้น ค้นพบโดย James Ivory<ref>{{Citation|last=Ivory|first=James|title=Demonstration of a theorem respecting prime numbers|journal=New Series of the Mathematical Depository|volume=1|issue=II|pages=6–8|year=1806|author-link=James Ivory (mathematician)}}</ref> ก่อนจะถูกค้นพบใหม่ในภายหลังโดย [[Peter Gustav Lejeune Dirichlet|ดีรีเคล]]<ref>{{Citation|last=Lejeune Dirichlet|first=Peter Gustav|title=Démonstrations nouvelles de quelques théorèmes relatifs aux nombres|journal=[[Crelle's Journal|Journal für die reine und angewandte Mathematik]]|volume=3|pages=390–393|year=1828|language=fr|author-link=Peter Gustav Lejeune Dirichlet}}</ref> นอกจากนี้ยังมีบทพิสูจน์ในรูปแบบอื่น ๆ เช่น พิสูจน์จาก[[ทฤษฎีบทของออยเลอร์]] ใช้วิธีการทาง[[คอมบินาทอริกส์]]<ref>{{Cite journal|last=Golomb|first=S. W.|date=1956|title=Combinatorial Proof of Fermat's "Little" Theorem|url=https://www.jstor.org/stable/2309563|journal=The American Mathematical Monthly|volume=63|issue=10|pages=718–718|doi=10.2307/2309563|issn=0002-9890}}</ref> หรือทาง[[ทฤษฎีกรุป]]<ref>{{Cite book|last=Weil|first=André|url=http://link.springer.com/10.1007/978-1-4612-9957-8|title=Number Theory for Beginners|date=1979|publisher=Springer New York|isbn=978-0-387-90381-1|location=New York, NY|language=en|doi=10.1007/978-1-4612-9957-8}}</ref> |
|||
<math>r-s\not\equiv 0</math>(mod p) จึงมีสมการคือ |
|||
⚫ | |||
0<r<p 0<s<p หา r-s นำ 0<s<p คูณด้วย -1 ได้ -p<-s<0 นำมาบวกด้วย 0<r<p จะได้ |
|||
{{หลัก|จำนวนเฉพาะเทียม}} |
|||
⚫ | ถ้า <math>a</math> และ <math>p</math> เป็นจำนวนเฉพาะสัมพัทธ์กัน และทำให้ <math>\,a^{p-1} - 1</math> หารด้วย <math>p</math> ลงตัว แล้ว <math>p</math> ไม่จำเป็นจะต้องจำนวนเฉพาะเสมอไป ถ้า <math>p</math> ไม่เป็นจำนวนเฉพาะในกรณีดังกล่าว เราจะเรียก <math>p</math> ว่าเป็น ''[[จำนวนเฉพาะเทียม]]'' (''pseudoprime'') ฐาน <math>a</math> ใน [[ค.ศ. 1820]] F. Sarrus พบว่า <math>341=11\times31</math> เป็นจำนวนเฉพาะเทียมฐาน 2 ตัวแรก |
||
จำนวนเต็ม <math>p</math> ที่เป็นจำนวนเฉพาะเทียมฐาน <math>a</math> สำหรับทุกจำนวนเต็ม <math>a</math> ที่เป็นจำนวนเฉพาะสัมพัทธ์กับ <math>p</math> เรียกว่า [[Carrmichael number|จำนวนคาร์ไมเคิล]] (Carmichael number) ตัวอย่างจำนวนคาร์ไมเคิล เช่น 561 |
|||
-p<r-s<p และ <math>r\neq s</math> ทำให้ <math>r-s\neq 0</math> |
|||
ถ้า r-p เป็นจำนวนเต็มบวก 0<r-s<p ดังนั้น <math>p\nmid r-s</math> |
|||
ถ้า r-p เป็นจำนวนเต็มลบ -p<r-s<0 ดังนั้น <math>p\nmid r-s</math> |
|||
หมายความว่า <math>r-s \not\equiv 0</math>(mod p) ดังนั้น <math>a\cdot r\not\equiv a\cdot s</math>(mod p) |
|||
ดังนั้นภายในเซต {a,2a,3a,...,(p-1)a} ไม่มีตัวไหนที่ซ้ำกันภายใต้ mod p |
|||
จากสองกรณีจะได้ เซต {a,2a,3a,...,(p-1)a} มีตัวเลขตั้งแต่ 1 ถึง p-1 และเซตนี้มีสมาชิก p-1 ตัวและ ตัวเลขไม่ซ้ำกันทำให้มีเลขตั้งแต่ 1 ถึง p-1 ครบทุกตัวภายใต้ mod p |
|||
ทำให้ {a,2a,3a,...,(p-1)a} mod p={1,2,3,...,p-1} |
|||
ดังนั้นเมื่อเอาสมาชิกในแต่ละเซตคูณกันแล้วจะได้ตัวเลขที่เท่ากันภายใต้ mod p |
|||
ax2ax3ax...x(p-1)xa <math>\equiv</math> 1x2x3,...,p-1 (mod p) |
|||
(p-1)! <math>a^{p-1} \equiv </math>(p-1)! (mod p) |
|||
เนื่องจาก '''[[ทฤษฎีบทของวิลสัน]]''' (p-1)! <math>\equiv -1</math>(mod p) ได้ |
|||
<math>-a^{p-1} \equiv-1 </math> (mod p) |
|||
คูณด้วย -1 ทั้งสองข้างได้ |
|||
<math>a^{p-1} \equiv 1 \pmod{p}\,\!</math> ถ้า <math>p\nmid a</math> |
|||
⚫ | |||
⚫ | ถ้า <math>a</math> และ <math>p</math> เป็นจำนวนเฉพาะสัมพัทธ์กัน และทำให้ <math>\,a^{p-1} - 1</math> หารด้วย <math>p</math> ลงตัว แล้ว <math>p</math> ไม่จำเป็นจำนวนเฉพาะเสมอไป ถ้า <math>p</math> ไม่เป็นจำนวนเฉพาะ เราจะเรียก <math>p</math> ว่าเป็น [[จำนวนเฉพาะเทียม |
||
[[หมวดหมู่:ทฤษฎีจำนวน]] |
[[หมวดหมู่:ทฤษฎีจำนวน]] |
||
[[หมวดหมู่:ทฤษฎีบททางคณิตศาสตร์]] |
[[หมวดหมู่:ทฤษฎีบททางคณิตศาสตร์]] |
||
{{โครงคณิตศาสตร์}} |
|||
⚫ |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 01:56, 30 มิถุนายน 2564
ทฤษฎีบทเล็กของแฟร์มา (อังกฤษ: Fermat's little theorem) กล่าวว่า ถ้า เป็นจำนวนเฉพาะแล้ว จะเป็นพหุคูณของ สำหรับทุกจำนวนเต็ม หรือเขียนในรูปเลขคณิตมอดุลาร์ได้เป็น
ตัวอย่างเช่น เมื่อ และ พบว่า ดังนั้น จึงเป็นพหุคูณของ 7
ทฤษฎีบทนี้กล่าวอีกแบบหนึ่งได้ว่า ถ้า เป็นจำนวนเฉพาะ และ เป็นจำนวนเต็มที่เป็นจำนวนเฉพาะสัมพัทธ์กับ แล้ว จะได้ว่า
- ทฤษฎีบทเล็กของแฟร์มาเป็นพื้นฐานของการทดสอบจำนวนเฉพาะของแฟร์มา และเป็นผลลัพธ์พื้นฐานในทฤษฎีจำนวน ทฤษฎีบทนี้ได้ชื่อตาม ปีแยร์ เดอ แฟร์มา ผู้ได้เสนอทฤษฎีบทนี้ในปี ค.ศ. 1640 และได้ชื่อว่าเป็น "ทฤษฎีบทเล็ก" เพื่อแยกแยะให้แตกต่างกับทฤษฎีบทสุดท้ายของแฟร์มา[1]
บทพิสูจน์
ปีแยร์ เดอ แฟร์มาได้ตั้งทฤษฎีบทนี้ในจดหมายจากเขาถึง เฟรนิเกล เดอ เบสซี โดยไม่ได้ให้บทพิสูจน์ไว้ จดหมายฉบับนั้นลงวันที่ 18 ตุลาคม ค.ศ. 1640 ต่อมา กอทท์ฟรีด วิลเฮล์ม ไลบ์นิซ ได้เขียนบทพิสูจน์ไว้โดยไม่ได้ตีพิมพ์และไม่ลงวันที่ รู้เพียงว่าเขาพิสูจน์ได้ก่อน ค.ศ. 1683[1] ออยเลอร์เป็นคนแรกที่ติพิมพ์บทพิสูจน์ของทฤษฎีบทนี้ในปี ค.ศ. 1736[2]
บทพิสูจน์ด้านล่าง[3] เป็นบทพิสูจน์สำหรับรูปแบบหนึ่งของทฤษฎีบทดังกล่าวที่ว่า: ถ้า เป็นจำนวนเฉพาะ และ เป็นจำนวนเต็มที่เป็นจำนวนเฉพาะสัมพัทธ์กับ แล้ว จะได้ว่า
สมมติให้ เป็นจำนวนเฉพาะ และ เป็นจำนวนเต็มที่เป็นจำนวนเฉพาะสัมพัทธ์กับ
แนวคิดของบทพิสูจน์อาศัยข้อสังเกตที่ว่า ลำดับของจำนวนเต็มต่อไปนี้
เป็นลำดับเดียวกับ ในมอดุโล แต่ต่างกันแค่การเรียงลำดับเท่านั้น
เพื่อพิสูจน์ข้อความข้างต้น เราสังเกตว่า จำนวนทุกตัวในลำดับ ไม่มีจำนวนใดคอนกรูเอนซ์กับ 0 ในมอดุโล ซึ่งเห็นได้ชัดจากการที่ทุกจำนวน ในลำดับ ไม่มีตัวประกอบร่วมกันกับ และ ก็ไม่มีตัวประกอบร่วมกับกับ ด้วย ดังนั้นผลคูณ ไม่มีตัวประกอบร่วมกันกับ (ดูเพิ่มที่ บทตั้งของยุคลิด)
ต่อไป เราพิสูจน์ว่าทุกสมาชิกในลำดับ แตกต่างกันทั้งหมดในมอดุโล
สมมติให้ และ เป็นจำนวนเต็มในลำดับ ที่ทำให้
จากสมบัติการตัดออกในเลขคณิตมอดุลาร์จะได้แต่จาก มีค่าอยู่ในช่วง จึงบังคับให้ เท่านั้น
จากการพิสูจน์ข้างต้น เมื่อลดทอนลำดับ ในมอดุโล จะต้องแตกต่างกันทั้งหมด แต่เนื่องจาก เป็นลำดับที่มีสมาชิกทั้งหมด ตัวที่แตกต่างกันทั้งหมด ดังนั้นเมื่อลดทอนแล้วจะต้องได้เป็นการเรียงลำดับใหม่ของ เท่านั้น
จึงทำให้ได้ว่าและจาก เป็นจำนวนเฉพาะสัมพัทธ์กับ จึงส่งผลให้สามารถตัดออกจากทั้งสองข้างของสมการคอนกรูเอนซ์ได้ จึงสรุปได้ว่า
บทพิสูจน์ข้างต้น ค้นพบโดย James Ivory[4] ก่อนจะถูกค้นพบใหม่ในภายหลังโดย ดีรีเคล[5] นอกจากนี้ยังมีบทพิสูจน์ในรูปแบบอื่น ๆ เช่น พิสูจน์จากทฤษฎีบทของออยเลอร์ ใช้วิธีการทางคอมบินาทอริกส์[6] หรือทางทฤษฎีกรุป[7]
จำนวนเฉพาะเทียม
ถ้า และ เป็นจำนวนเฉพาะสัมพัทธ์กัน และทำให้ หารด้วย ลงตัว แล้ว ไม่จำเป็นจะต้องจำนวนเฉพาะเสมอไป ถ้า ไม่เป็นจำนวนเฉพาะในกรณีดังกล่าว เราจะเรียก ว่าเป็น จำนวนเฉพาะเทียม (pseudoprime) ฐาน ใน ค.ศ. 1820 F. Sarrus พบว่า เป็นจำนวนเฉพาะเทียมฐาน 2 ตัวแรก
จำนวนเต็ม ที่เป็นจำนวนเฉพาะเทียมฐาน สำหรับทุกจำนวนเต็ม ที่เป็นจำนวนเฉพาะสัมพัทธ์กับ เรียกว่า จำนวนคาร์ไมเคิล (Carmichael number) ตัวอย่างจำนวนคาร์ไมเคิล เช่น 561
อ้างอิง
- ↑ 1.0 1.1 Burton, David M. (2011). The history of mathematics : an introduction (7th ed ed.). New York: McGraw-Hill. p. 514. ISBN 978-0-07-338315-6. OCLC 476835570.
{{cite book}}
:|edition=
has extra text (help) - ↑ Ore, Øystein (1988). Number theory and its history. New York: Dover. p. 273. ISBN 0-486-65620-9. OCLC 17413345.
- ↑ Hardy, G. H. (2008). An introduction to the theory of numbers. E. M. Wright, D. R. Heath-Brown, Joseph H. Silverman (6th ed. ed.). Oxford: Oxford University Press. ISBN 978-0-19-921985-8. OCLC 214305907.
{{cite book}}
:|edition=
has extra text (help) - ↑ Ivory, James (1806), "Demonstration of a theorem respecting prime numbers", New Series of the Mathematical Depository, 1 (II): 6–8
- ↑ Lejeune Dirichlet, Peter Gustav (1828), "Démonstrations nouvelles de quelques théorèmes relatifs aux nombres", Journal für die reine und angewandte Mathematik (ภาษาฝรั่งเศส), 3: 390–393
- ↑ Golomb, S. W. (1956). "Combinatorial Proof of Fermat's "Little" Theorem". The American Mathematical Monthly. 63 (10): 718–718. doi:10.2307/2309563. ISSN 0002-9890.
- ↑ Weil, André (1979). Number Theory for Beginners (ภาษาอังกฤษ). New York, NY: Springer New York. doi:10.1007/978-1-4612-9957-8. ISBN 978-0-387-90381-1.