ข้ามไปเนื้อหา

ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ทฤษฎีบทเล็กของแฟร์มา"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Prame tan (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 1: บรรทัด 1:
'''ทฤษฎีบทเล็กของแฟร์มา''' ({{lang-en|Fermat's little theorem}}) กล่าวว่า ถ้า <math>p</math> เป็น[[จำนวนเฉพาะ]]แล้ว <math>a^p - a</math> จะเป็นพหุคูณของ <math>p</math> สำหรับทุก[[จำนวนเต็ม]] <math>a</math> หรือเขียนในรูป[[เลขคณิตมอดุลาร์]]ได้เป็น
{{ต้องการอ้างอิง}}

'''ทฤษฎีบทเล็กของแฟร์มา''' ({{lang-en|Fermat's little theorem}}) กล่าวว่า ถ้า <math>p</math> เป็น[[จำนวนเฉพาะ]]แล้ว สำหรับ[[จำนวนเต็ม]] <math>a</math> ใด ๆ จะได้ว่า
:<math>a^p \equiv a \pmod{p}\,\!</math>
:<math>a^p \equiv a \pmod{p}\,\!</math>


ตัวอย่างเช่น เมื่อ <math>a=2</math> และ <math>p = 7</math> พบว่า <math>2^7 - 2 = 128 - 2 = 126 = 7 \times 18</math> ดังนั้น <math>2^7 - 2</math> จึงเป็นพหุคูณของ 7
หมายความว่า ถ้าเลือกจำนวนเต็ม <math>a</math> มาคูณกัน <math>p</math> ครั้ง จากนั้นลบด้วย <math>a</math> ผลลัพธ์ที่ได้จะหารด้วย <math>p</math> ลงตัว (ดู[[เลขคณิตมอดุลาร์]])

<math>p\mid a^p-a</math>


ทฤษฎีบทนี้กล่าวอีกแบบหนึ่งได้ว่า ถ้า <math>p</math> เป็นจำนวนเฉพาะ และ <math>a</math> เป็นจำนวนเต็มที่เป็น[[จำนวนเฉพาะสัมพัทธ์]]กับ <math>p</math> แล้ว จะได้ว่า
ทฤษฎีบทนี้กล่าวอีกแบบหนึ่งได้ว่า ถ้า <math>p</math> เป็นจำนวนเฉพาะ และ <math>a</math> เป็นจำนวนเต็มที่เป็น[[จำนวนเฉพาะสัมพัทธ์]]กับ <math>p</math> แล้ว จะได้ว่า
:<math>a^{p-1} \equiv 1 \pmod{p}\,\!</math>
:<math>a^{p-1} \equiv 1 \pmod{p}\,\!</math>
:ทฤษฎีบทเล็กของแฟร์มาเป็นพื้นฐานของการทดสอบจำนวนเฉพาะของแฟร์มา และเป็นผลลัพธ์พื้นฐานในทฤษฎีจำนวน ทฤษฎีบทนี้ได้ชื่อตาม [[ปีแยร์ เดอ แฟร์มา]] ผู้ได้เสนอทฤษฎีบทนี้ในปี ค.ศ. 1640 และได้ชื่อว่าเป็น "ทฤษฎีบทเล็ก" เพื่อแยกแยะให้แตกต่างกับ[[ทฤษฎีบทสุดท้ายของแฟร์มา]]<ref name=":0">{{Cite book|last=Burton|first=David M.|url=https://www.worldcat.org/oclc/476835570|title=The history of mathematics : an introduction|date=2011|publisher=McGraw-Hill|isbn=978-0-07-338315-6|edition=7th ed|location=New York|pages=514|oclc=476835570}}</ref>


== บทพิสูจน์ ==
== บทพิสูจน์ ==
[[ปีแยร์ เดอ แฟร์มา]]ได้ตั้งทฤษฎีบทนี้โดยไม่ได้ให้บทพิสูจน์ไว้ ต่อมา [[กอทท์ฟรีด วิลเฮล์ม ไลบ์นิซ]] ได้เขียนบทพิสูจน์ไว้ในหนังสือโดยไม่ได้ลงวันที่ รู้เพียงว่าเขาพิสูจน์ได้ก่อน [[ค.ศ. 1683]]
[[ปีแยร์ เดอ แฟร์มา]]ได้ตั้งทฤษฎีบทนี้ในจดหมายจากเขาถึง [[Frénicle de Bessy|เฟรนิเกล เดอ เบสซี]] โดยไม่ได้ให้บทพิสูจน์ไว้ จดหมายฉบับนั้นลงวันที่ 18 ตุลาคม ค.ศ. 1640 ต่อมา [[กอทท์ฟรีด วิลเฮล์ม ไลบ์นิซ]] ได้เขียนบทพิสูจน์ไว้โดยไม่ได้ตีพิมพ์และไม่ลงวันที่ รู้เพียงว่าเขาพิสูจน์ได้ก่อน [[ค.ศ. 1683]]<ref name=":0" /> ออยเลอร์เป็นคนแรกที่ติพิมพ์บทพิสูจน์ของทฤษฎีบทนี้ในปี ค.ศ. 1736<ref>{{Cite book|last=Ore|first=Øystein|url=https://www.worldcat.org/oclc/17413345|title=Number theory and its history|date=1988|publisher=Dover|isbn=0-486-65620-9|location=New York|pages=273|oclc=17413345}}</ref>


บทพิสูจน์ด้านล่าง<ref>{{Cite book|last=Hardy|first=G. H.|url=https://www.worldcat.org/oclc/214305907|title=An introduction to the theory of numbers|date=2008|publisher=Oxford University Press|others=E. M. Wright, D. R. Heath-Brown, Joseph H. Silverman|isbn=978-0-19-921985-8|edition=6th ed.|location=Oxford|oclc=214305907}}</ref> เป็นบทพิสูจน์สำหรับรูปแบบหนึ่งของทฤษฎีบทดังกล่าวที่ว่า: ''ถ้า <math>p</math> เป็นจำนวนเฉพาะ และ <math>a</math> เป็นจำนวนเต็มที่เป็น[[จำนวนเฉพาะสัมพัทธ์]]กับ <math>p</math> แล้ว จะได้ว่า <math>a^{p-1} \equiv 1 \pmod{p}\,\!</math>''
=== บทพิสูจน์ที่ 1 ===
ถ้า p เป็น[[จำนวนเฉพาะ]] และ <math>p\nmid a</math> แล้ว <math>a^{p-1} \equiv 1 \pmod{p}\,\!</math>


{{พิสูจน์คณิตศาสตร์|proof= สมมติให้ <math>p</math> เป็นจำนวนเฉพาะ และ <math>a</math> เป็นจำนวนเต็มที่เป็นจำนวนเฉพาะสัมพัทธ์กับ <math>p</math>
กำหนดจำนวน 1,2,3,...,p-1 (mod p)


แนวคิดของบทพิสูจน์อาศัยข้อสังเกตที่ว่า ลำดับของจำนวนเต็มต่อไปนี้
จะมีจำนวน 1,2,3,...,p-1 คูณจำนวนเหล่านี้ด้วย a ได้ a,2a,3a,...,(p-1)a (mod p)


:<math> a, 2a, 3a, \dotsc, (p - 1)a </math>
พิสูจน์ว่า[[เซต (คณิตศาสตร์)|เซต]] {a,2a,3a,...,(p-1)a} กับ {1,2,3,...,p-1} (mod p) ทั้งสองเซตเท่ากันภายใต้ mod p


เป็นลำดับเดียวกับ <math> 1, 2, 3, \dotsc, p-1</math> ในมอดุโล <math> p </math> แต่ต่างกันแค่การเรียงลำดับเท่านั้น
กรณีที่ 1 ไม่มีจำนวน r เป็นสมาชิกในเซต {1,2,3,...,p-1} ที่ทำให้ <math>r\cdot a \equiv 0</math>(mod p) แล้ว <math>p\mid r\cdot a</math>เป็นไปไม่ได้ เพราะ <math>p\nmid a</math>และ 0<r<p ทำให้ <math>p\nmid r</math>ดังนั้น


เพื่อพิสูจน์ข้อความข้างต้น เราสังเกตว่า จำนวนทุกตัวในลำดับ <math> a, 2a, 3a, \dotsc, (p - 1)a </math> ไม่มีจำนวนใดคอนกรูเอนซ์กับ 0 ในมอดุโล <math> p </math> ซึ่งเห็นได้ชัดจากการที่ทุกจำนวน <math>k</math> ในลำดับ <math> 1,2,3,\dotsc, p-1</math> ไม่มีตัวประกอบร่วมกันกับ <math> p </math> และ <math> a </math> ก็ไม่มีตัวประกอบร่วมกับกับ <math> p </math> ด้วย ดังนั้นผลคูณ <math> ka </math> ไม่มีตัวประกอบร่วมกันกับ <math> p </math> (ดูเพิ่มที่ [[บทตั้งของยุคลิด]])
ไม่มีจำนวน r ที่ทำให้ <math>r\cdot a \equiv 0</math>(mod p) เพราะ p เป็นจำนวนเฉพาะวิธีเดียวที่จะหารด้วย p ลงตัวคือ r หรือ a จะต้องหารด้วย p ลงตัว


ต่อไป เราพิสูจน์ว่าทุกสมาชิกในลำดับ <math> a, 2a, 3a, \dotsc, (p - 1)a </math> แตกต่างกันทั้งหมดในมอดุโล <math> p </math>
ฉะนั้นในเซต {a,2a,3a,...,(p-1)a} จะไม่มี 0 เป็นสมาชิกแสดงว่า ในเซต {a,2a,3a,...,(p-1)a} เมื่อ mod p จำนวนที่เป็นไปได้


สมมติให้ <math>k</math> และ <math>m</math> เป็นจำนวนเต็มในลำดับ <math> 1, 2, 3, \dotsc, p-1</math> ที่ทำให้ <math> ka \equiv ma \pmod{p} </math>
คือ 1 ถึง p-1 ยกเว้น 0 ในเศษ p ที่เป็นไปได้


จากสมบัติการตัดออกในเลขคณิตมอดุลาร์จะได้ <blockquote><math>k \equiv m \pmod{p}</math> </blockquote>แต่จาก <math>k, m</math> มีค่าอยู่ในช่วง <math> 1, 2, 3, \dotsc, p-1</math> จึงบังคับให้ <math>k = m</math> เท่านั้น
กรณีที่ 2 ในเซต {a,2a,3a,...,(p-1)a} ไม่มีตัวไหนที่ซ้ำกันภายใต้ mod p


จากการพิสูจน์ข้างต้น เมื่อลดทอนลำดับ <math> a, 2a, 3a, \dotsc, (p - 1)a </math> ในมอดุโล <math>p</math> จะต้องแตกต่างกันทั้งหมด แต่เนื่องจาก <math> a, 2a, 3a, \dotsc, (p - 1)a </math> เป็นลำดับที่มีสมาชิกทั้งหมด <math>p - 1 </math> ตัวที่แตกต่างกันทั้งหมด ดังนั้นเมื่อลดทอนแล้วจะต้องได้เป็นการเรียงลำดับใหม่ของ <math> 1, 2, 3, \dotsc, p-1</math> เท่านั้น
มีจำนวน r,s เป็นสมาชิกในเซต {1,2,3,...,p-1} และ <math>r\neq s</math> ดังนั้น


จึงทำให้ได้ว่า<blockquote><math>\begin{align}
พิสูจน์ว่า <math>a\cdot r\not\equiv a\cdot s</math>(mod p) ก็คือ <math>a\cdot r - a\cdot s\not\equiv 0</math> (mod p) แยกตัวประกอบได้ <math>a(r-s)\not\equiv 0</math> การที่จะทำให้เกิดข้อขัดแย้งได้
\displaystyle a\times 2a\times 3a\times \dotsb \times (p-1)a &\equiv 1\times 2\times 3\times \dotsb \times (p-1) \pmod {p} \\
a^{p-1}(p - 1)! &\equiv (p-1)! \pmod{p}
\end{align}
</math></blockquote>และจาก <math>(p - 1)!
</math> เป็นจำนวนเฉพาะสัมพัทธ์กับ <math>p
</math> จึงส่งผลให้สามารถตัดออกจากทั้งสองข้างของสมการคอนกรูเอนซ์ได้ จึงสรุปได้ว่า <math>a^{p -1} \equiv 1 \pmod{p}
</math>}}


บทพิสูจน์ข้างต้น ค้นพบโดย James Ivory<ref>{{Citation|last=Ivory|first=James|title=Demonstration of a theorem respecting prime numbers|journal=New Series of the Mathematical Depository|volume=1|issue=II|pages=6–8|year=1806|author-link=James Ivory (mathematician)}}</ref> ก่อนจะถูกค้นพบใหม่ในภายหลังโดย [[Peter Gustav Lejeune Dirichlet|ดีรีเคล]]<ref>{{Citation|last=Lejeune Dirichlet|first=Peter Gustav|title=Démonstrations nouvelles de quelques théorèmes relatifs aux nombres|journal=[[Crelle's Journal|Journal für die reine und angewandte Mathematik]]|volume=3|pages=390–393|year=1828|language=fr|author-link=Peter Gustav Lejeune Dirichlet}}</ref> นอกจากนี้ยังมีบทพิสูจน์ในรูปแบบอื่น ๆ เช่น พิสูจน์จาก[[ทฤษฎีบทของออยเลอร์]] ใช้วิธีการทาง[[คอมบินาทอริกส์]]<ref>{{Cite journal|last=Golomb|first=S. W.|date=1956|title=Combinatorial Proof of Fermat's "Little" Theorem|url=https://www.jstor.org/stable/2309563|journal=The American Mathematical Monthly|volume=63|issue=10|pages=718–718|doi=10.2307/2309563|issn=0002-9890}}</ref> หรือทาง[[ทฤษฎีกรุป]]<ref>{{Cite book|last=Weil|first=André|url=http://link.springer.com/10.1007/978-1-4612-9957-8|title=Number Theory for Beginners|date=1979|publisher=Springer New York|isbn=978-0-387-90381-1|location=New York, NY|language=en|doi=10.1007/978-1-4612-9957-8}}</ref>
<math>r-s\not\equiv 0</math>(mod p) จึงมีสมการคือ


== จำนวนเฉพาะเทียม ==
0<r<p 0<s<p หา r-s นำ 0<s<p คูณด้วย -1 ได้ -p<-s<0 นำมาบวกด้วย 0<r<p จะได้
{{หลัก|จำนวนเฉพาะเทียม}}
ถ้า <math>a</math> และ <math>p</math> เป็นจำนวนเฉพาะสัมพัทธ์กัน และทำให้ <math>\,a^{p-1} - 1</math> หารด้วย <math>p</math> ลงตัว แล้ว <math>p</math> ไม่จำเป็นจะต้องจำนวนเฉพาะเสมอไป ถ้า <math>p</math> ไม่เป็นจำนวนเฉพาะในกรณีดังกล่าว เราจะเรียก <math>p</math> ว่าเป็น ''[[จำนวนเฉพาะเทียม]]'' (''pseudoprime'') ฐาน <math>a</math> ใน [[ค.ศ. 1820]] F. Sarrus พบว่า <math>341=11\times31</math> เป็นจำนวนเฉพาะเทียมฐาน 2 ตัวแรก


จำนวนเต็ม <math>p</math> ที่เป็นจำนวนเฉพาะเทียมฐาน <math>a</math> สำหรับทุกจำนวนเต็ม <math>a</math> ที่เป็นจำนวนเฉพาะสัมพัทธ์กับ <math>p</math> เรียกว่า [[Carrmichael number|จำนวนคาร์ไมเคิล]] (Carmichael number) ตัวอย่างจำนวนคาร์ไมเคิล เช่น 561
-p<r-s<p และ <math>r\neq s</math> ทำให้ <math>r-s\neq 0</math>

ถ้า r-p เป็นจำนวนเต็มบวก 0<r-s<p ดังนั้น <math>p\nmid r-s</math>

ถ้า r-p เป็นจำนวนเต็มลบ -p<r-s<0 ดังนั้น <math>p\nmid r-s</math>

หมายความว่า <math>r-s \not\equiv 0</math>(mod p) ดังนั้น <math>a\cdot r\not\equiv a\cdot s</math>(mod p)

ดังนั้นภายในเซต {a,2a,3a,...,(p-1)a} ไม่มีตัวไหนที่ซ้ำกันภายใต้ mod p

จากสองกรณีจะได้ เซต {a,2a,3a,...,(p-1)a} มีตัวเลขตั้งแต่ 1 ถึง p-1 และเซตนี้มีสมาชิก p-1 ตัวและ ตัวเลขไม่ซ้ำกันทำให้มีเลขตั้งแต่ 1 ถึง p-1 ครบทุกตัวภายใต้ mod p

ทำให้ {a,2a,3a,...,(p-1)a} mod p={1,2,3,...,p-1}

ดังนั้นเมื่อเอาสมาชิกในแต่ละเซตคูณกันแล้วจะได้ตัวเลขที่เท่ากันภายใต้ mod p

ax2ax3ax...x(p-1)xa <math>\equiv</math> 1x2x3,...,p-1 (mod p)

(p-1)! <math>a^{p-1} \equiv </math>(p-1)! (mod p)

เนื่องจาก '''[[ทฤษฎีบทของวิลสัน]]''' (p-1)! <math>\equiv -1</math>(mod p) ได้

<math>-a^{p-1} \equiv-1 </math> (mod p)

คูณด้วย -1 ทั้งสองข้างได้

<math>a^{p-1} \equiv 1 \pmod{p}\,\!</math> ถ้า <math>p\nmid a</math>
== จำนวนเฉพาะเทียม ==
ถ้า <math>a</math> และ <math>p</math> เป็นจำนวนเฉพาะสัมพัทธ์กัน และทำให้ <math>\,a^{p-1} - 1</math> หารด้วย <math>p</math> ลงตัว แล้ว <math>p</math> ไม่จำเป็นจำนวนเฉพาะเสมอไป ถ้า <math>p</math> ไม่เป็นจำนวนเฉพาะ เราจะเรียก <math>p</math> ว่าเป็น [[จำนวนเฉพาะเทียม|''จำนวนเฉพาะเทียม'']] (''pseudoprime'') ฐาน <math>a</math>. ใน [[ค.ศ. 1820]] F. Sarrus พบว่า <math>341=11\times31</math> เป็นจำนวนเฉพาะเทียมฐาน 2 ตัวแรก


[[หมวดหมู่:ทฤษฎีจำนวน]]
[[หมวดหมู่:ทฤษฎีจำนวน]]
[[หมวดหมู่:ทฤษฎีบททางคณิตศาสตร์]]
[[หมวดหมู่:ทฤษฎีบททางคณิตศาสตร์]]

{{โครงคณิตศาสตร์}}
== อ้างอิง ==

รุ่นแก้ไขเมื่อ 01:56, 30 มิถุนายน 2564

ทฤษฎีบทเล็กของแฟร์มา (อังกฤษ: Fermat's little theorem) กล่าวว่า ถ้า เป็นจำนวนเฉพาะแล้ว จะเป็นพหุคูณของ สำหรับทุกจำนวนเต็ม หรือเขียนในรูปเลขคณิตมอดุลาร์ได้เป็น

ตัวอย่างเช่น เมื่อ และ พบว่า ดังนั้น จึงเป็นพหุคูณของ 7

ทฤษฎีบทนี้กล่าวอีกแบบหนึ่งได้ว่า ถ้า เป็นจำนวนเฉพาะ และ เป็นจำนวนเต็มที่เป็นจำนวนเฉพาะสัมพัทธ์กับ แล้ว จะได้ว่า

ทฤษฎีบทเล็กของแฟร์มาเป็นพื้นฐานของการทดสอบจำนวนเฉพาะของแฟร์มา และเป็นผลลัพธ์พื้นฐานในทฤษฎีจำนวน ทฤษฎีบทนี้ได้ชื่อตาม ปีแยร์ เดอ แฟร์มา ผู้ได้เสนอทฤษฎีบทนี้ในปี ค.ศ. 1640 และได้ชื่อว่าเป็น "ทฤษฎีบทเล็ก" เพื่อแยกแยะให้แตกต่างกับทฤษฎีบทสุดท้ายของแฟร์มา[1]

บทพิสูจน์

ปีแยร์ เดอ แฟร์มาได้ตั้งทฤษฎีบทนี้ในจดหมายจากเขาถึง เฟรนิเกล เดอ เบสซี โดยไม่ได้ให้บทพิสูจน์ไว้ จดหมายฉบับนั้นลงวันที่ 18 ตุลาคม ค.ศ. 1640 ต่อมา กอทท์ฟรีด วิลเฮล์ม ไลบ์นิซ ได้เขียนบทพิสูจน์ไว้โดยไม่ได้ตีพิมพ์และไม่ลงวันที่ รู้เพียงว่าเขาพิสูจน์ได้ก่อน ค.ศ. 1683[1] ออยเลอร์เป็นคนแรกที่ติพิมพ์บทพิสูจน์ของทฤษฎีบทนี้ในปี ค.ศ. 1736[2]

บทพิสูจน์ด้านล่าง[3] เป็นบทพิสูจน์สำหรับรูปแบบหนึ่งของทฤษฎีบทดังกล่าวที่ว่า: ถ้า เป็นจำนวนเฉพาะ และ เป็นจำนวนเต็มที่เป็นจำนวนเฉพาะสัมพัทธ์กับ แล้ว จะได้ว่า

พิสูจน์ —

สมมติให้ เป็นจำนวนเฉพาะ และ เป็นจำนวนเต็มที่เป็นจำนวนเฉพาะสัมพัทธ์กับ

แนวคิดของบทพิสูจน์อาศัยข้อสังเกตที่ว่า ลำดับของจำนวนเต็มต่อไปนี้

เป็นลำดับเดียวกับ ในมอดุโล แต่ต่างกันแค่การเรียงลำดับเท่านั้น

เพื่อพิสูจน์ข้อความข้างต้น เราสังเกตว่า จำนวนทุกตัวในลำดับ ไม่มีจำนวนใดคอนกรูเอนซ์กับ 0 ในมอดุโล ซึ่งเห็นได้ชัดจากการที่ทุกจำนวน ในลำดับ ไม่มีตัวประกอบร่วมกันกับ และ ก็ไม่มีตัวประกอบร่วมกับกับ ด้วย ดังนั้นผลคูณ ไม่มีตัวประกอบร่วมกันกับ (ดูเพิ่มที่ บทตั้งของยุคลิด)

ต่อไป เราพิสูจน์ว่าทุกสมาชิกในลำดับ แตกต่างกันทั้งหมดในมอดุโล

สมมติให้ และ เป็นจำนวนเต็มในลำดับ ที่ทำให้

จากสมบัติการตัดออกในเลขคณิตมอดุลาร์จะได้

แต่จาก มีค่าอยู่ในช่วง จึงบังคับให้ เท่านั้น

จากการพิสูจน์ข้างต้น เมื่อลดทอนลำดับ ในมอดุโล จะต้องแตกต่างกันทั้งหมด แต่เนื่องจาก เป็นลำดับที่มีสมาชิกทั้งหมด ตัวที่แตกต่างกันทั้งหมด ดังนั้นเมื่อลดทอนแล้วจะต้องได้เป็นการเรียงลำดับใหม่ของ เท่านั้น

จึงทำให้ได้ว่า

และจาก เป็นจำนวนเฉพาะสัมพัทธ์กับ จึงส่งผลให้สามารถตัดออกจากทั้งสองข้างของสมการคอนกรูเอนซ์ได้ จึงสรุปได้ว่า

บทพิสูจน์ข้างต้น ค้นพบโดย James Ivory[4] ก่อนจะถูกค้นพบใหม่ในภายหลังโดย ดีรีเคล[5] นอกจากนี้ยังมีบทพิสูจน์ในรูปแบบอื่น ๆ เช่น พิสูจน์จากทฤษฎีบทของออยเลอร์ ใช้วิธีการทางคอมบินาทอริกส์[6] หรือทางทฤษฎีกรุป[7]

จำนวนเฉพาะเทียม

ถ้า และ เป็นจำนวนเฉพาะสัมพัทธ์กัน และทำให้ หารด้วย ลงตัว แล้ว ไม่จำเป็นจะต้องจำนวนเฉพาะเสมอไป ถ้า ไม่เป็นจำนวนเฉพาะในกรณีดังกล่าว เราจะเรียก ว่าเป็น จำนวนเฉพาะเทียม (pseudoprime) ฐาน ใน ค.ศ. 1820 F. Sarrus พบว่า เป็นจำนวนเฉพาะเทียมฐาน 2 ตัวแรก

จำนวนเต็ม ที่เป็นจำนวนเฉพาะเทียมฐาน สำหรับทุกจำนวนเต็ม ที่เป็นจำนวนเฉพาะสัมพัทธ์กับ เรียกว่า จำนวนคาร์ไมเคิล (Carmichael number) ตัวอย่างจำนวนคาร์ไมเคิล เช่น 561

อ้างอิง

  1. 1.0 1.1 Burton, David M. (2011). The history of mathematics : an introduction (7th ed ed.). New York: McGraw-Hill. p. 514. ISBN 978-0-07-338315-6. OCLC 476835570. {{cite book}}: |edition= has extra text (help)
  2. Ore, Øystein (1988). Number theory and its history. New York: Dover. p. 273. ISBN 0-486-65620-9. OCLC 17413345.
  3. Hardy, G. H. (2008). An introduction to the theory of numbers. E. M. Wright, D. R. Heath-Brown, Joseph H. Silverman (6th ed. ed.). Oxford: Oxford University Press. ISBN 978-0-19-921985-8. OCLC 214305907. {{cite book}}: |edition= has extra text (help)
  4. Ivory, James (1806), "Demonstration of a theorem respecting prime numbers", New Series of the Mathematical Depository, 1 (II): 6–8
  5. Lejeune Dirichlet, Peter Gustav (1828), "Démonstrations nouvelles de quelques théorèmes relatifs aux nombres", Journal für die reine und angewandte Mathematik (ภาษาฝรั่งเศส), 3: 390–393
  6. Golomb, S. W. (1956). "Combinatorial Proof of Fermat's "Little" Theorem". The American Mathematical Monthly. 63 (10): 718–718. doi:10.2307/2309563. ISSN 0002-9890.
  7. Weil, André (1979). Number Theory for Beginners (ภาษาอังกฤษ). New York, NY: Springer New York. doi:10.1007/978-1-4612-9957-8. ISBN 978-0-387-90381-1.