ผลต่างระหว่างรุ่นของ "โรคหัด"
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
|||
บรรทัด 22: | บรรทัด 22: | ||
'''โรคหัด''' ({{lang-en|measles}}) เป็นโรคติดเชื้อชนิดหนึ่งที่ติดต่อกันได้ง่ายมาก เกิดจากเชื้อ[[Measles virus|ไวรัสหัด]]<ref name=MM2014>{{cite web|title=Measles|work=Merck Manual Professional|publisher=Merck Sharp & Dohme Corp.|date=September 2013|accessdate=23 March 2014|url=http://www.merckmanuals.com/professional/pediatrics/miscellaneous_viral_infections_in_infants_and_children/measles.html|editor=Caserta, MT|deadurl=no|archiveurl=https://web.archive.org/web/20140323104756/http://www.merckmanuals.com/professional/pediatrics/miscellaneous_viral_infections_in_infants_and_children/measles.html|archivedate=23 March 2014|df=}}</ref><ref>{{cite web|title=Measles (Red Measles, Rubeola)|url=http://www.health.gov.sk.ca/red-measles|website=Dept of Health, Saskatchewan|accessdate=10 February 2015|deadurl=no|archiveurl=https://web.archive.org/web/20150210111358/http://www.health.gov.sk.ca/red-measles|archivedate=10 February 2015|df=}}</ref> ในระยะแรกผู้ป่วยจะมี[[ไข้]] ซึ่งมักเป็นไข้สูง (>40 องศาเซลเซียส) [[ไอ]] [[น้ำมูกไหล]]จาก[[เยื่อจมูกอักเสบ]] และ[[ตาแดง]]จาก[[เยื่อตาอักเสบ]]<ref name=MM2014/><ref name=CDC2014SS/> ในวันที่ 2-3 จะเริ่มมีจุดสีขาวขึ้นในปาก เรียกว่า[[Koplik's spots|จุดของคอปลิก]]<ref name=CDC2014SS/> จากนั้นในวันที่ 3-5 จะเริ่มมีผื่นเป็นผื่นแดงแบน เริ่มขึ้นที่ใบหน้า จากนั้นจึงลามไปทั่วตัว<ref name=CDC2014SS>{{cite web|title=Measles (Rubeola) Signs and Symptoms|url=https://www.cdc.gov/measles/about/signs-symptoms.html|website=cdc.gov|accessdate=5 February 2015|date=November 3, 2014|deadurl=no|archiveurl=https://web.archive.org/web/20150202192809/http://www.cdc.gov/measles/about/signs-symptoms.html|archivedate=2 February 2015|df=}}</ref> อาการมักเริ่มเป็น 10-12 หลังจากรับเชื้อ และมักเป็นอยู่ 7-10 วัน<ref name=WHO2014/><ref name=Conn2014>{{cite book|title=Conn's Current Therapy 2015: Expert Consult – Online|date=2014|publisher=Elsevier Health Sciences|isbn=9780323319560|page=153|url=https://books.google.com/books?id=Hv8fBQAAQBAJ&pg=PT189|deadurl=no|archiveurl=https://web.archive.org/web/20170908140851/https://books.google.com/books?id=Hv8fBQAAQBAJ&pg=PT189|archivedate=2017-09-08|df=}}</ref>สามารถพบภาวะแทรกซ้อนได้ราว 30% ซึ่งภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ได้แก่ [[ท้องร่วง]] [[ตาบอด]] [[สมองอักเสบ]] [[ปอดอักเสบ]] และอื่นๆ<ref name=WHO2014/><ref name=CDC2012Pink/> โรคนี้เป็นคนละโรคกับ[[โรคหัดเยอรมัน]]และ[[Roseola|หัดกุหลาบ]]<ref>{{cite book|last1=Marx|first1=John A.|title=Rosen's emergency medicine : concepts and clinical practice|date=2010|publisher=Mosby/Elsevier|location=Philadelphia|isbn=9780323054720|pages=1541|edition=7th|url=https://books.google.com/books?id=u7TNcpCeqx8C&pg=PA1541|deadurl=no|archiveurl=https://web.archive.org/web/20170908140851/https://books.google.com/books?id=u7TNcpCeqx8C&pg=PA1541|archivedate=2017-09-08|df=}}</ref> |
'''โรคหัด''' ({{lang-en|measles}}) เป็นโรคติดเชื้อชนิดหนึ่งที่ติดต่อกันได้ง่ายมาก เกิดจากเชื้อ[[Measles virus|ไวรัสหัด]]<ref name=MM2014>{{cite web|title=Measles|work=Merck Manual Professional|publisher=Merck Sharp & Dohme Corp.|date=September 2013|accessdate=23 March 2014|url=http://www.merckmanuals.com/professional/pediatrics/miscellaneous_viral_infections_in_infants_and_children/measles.html|editor=Caserta, MT|deadurl=no|archiveurl=https://web.archive.org/web/20140323104756/http://www.merckmanuals.com/professional/pediatrics/miscellaneous_viral_infections_in_infants_and_children/measles.html|archivedate=23 March 2014|df=}}</ref><ref>{{cite web|title=Measles (Red Measles, Rubeola)|url=http://www.health.gov.sk.ca/red-measles|website=Dept of Health, Saskatchewan|accessdate=10 February 2015|deadurl=no|archiveurl=https://web.archive.org/web/20150210111358/http://www.health.gov.sk.ca/red-measles|archivedate=10 February 2015|df=}}</ref> ในระยะแรกผู้ป่วยจะมี[[ไข้]] ซึ่งมักเป็นไข้สูง (>40 องศาเซลเซียส) [[ไอ]] [[น้ำมูกไหล]]จาก[[เยื่อจมูกอักเสบ]] และ[[ตาแดง]]จาก[[เยื่อตาอักเสบ]]<ref name=MM2014/><ref name=CDC2014SS/> ในวันที่ 2-3 จะเริ่มมีจุดสีขาวขึ้นในปาก เรียกว่า[[Koplik's spots|จุดของคอปลิก]]<ref name=CDC2014SS/> จากนั้นในวันที่ 3-5 จะเริ่มมีผื่นเป็นผื่นแดงแบน เริ่มขึ้นที่ใบหน้า จากนั้นจึงลามไปทั่วตัว<ref name=CDC2014SS>{{cite web|title=Measles (Rubeola) Signs and Symptoms|url=https://www.cdc.gov/measles/about/signs-symptoms.html|website=cdc.gov|accessdate=5 February 2015|date=November 3, 2014|deadurl=no|archiveurl=https://web.archive.org/web/20150202192809/http://www.cdc.gov/measles/about/signs-symptoms.html|archivedate=2 February 2015|df=}}</ref> อาการมักเริ่มเป็น 10-12 หลังจากรับเชื้อ และมักเป็นอยู่ 7-10 วัน<ref name=WHO2014/><ref name=Conn2014>{{cite book|title=Conn's Current Therapy 2015: Expert Consult – Online|date=2014|publisher=Elsevier Health Sciences|isbn=9780323319560|page=153|url=https://books.google.com/books?id=Hv8fBQAAQBAJ&pg=PT189|deadurl=no|archiveurl=https://web.archive.org/web/20170908140851/https://books.google.com/books?id=Hv8fBQAAQBAJ&pg=PT189|archivedate=2017-09-08|df=}}</ref>สามารถพบภาวะแทรกซ้อนได้ราว 30% ซึ่งภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ได้แก่ [[ท้องร่วง]] [[ตาบอด]] [[สมองอักเสบ]] [[ปอดอักเสบ]] และอื่นๆ<ref name=WHO2014/><ref name=CDC2012Pink/> โรคนี้เป็นคนละโรคกับ[[โรคหัดเยอรมัน]]และ[[Roseola|หัดกุหลาบ]]<ref>{{cite book|last1=Marx|first1=John A.|title=Rosen's emergency medicine : concepts and clinical practice|date=2010|publisher=Mosby/Elsevier|location=Philadelphia|isbn=9780323054720|pages=1541|edition=7th|url=https://books.google.com/books?id=u7TNcpCeqx8C&pg=PA1541|deadurl=no|archiveurl=https://web.archive.org/web/20170908140851/https://books.google.com/books?id=u7TNcpCeqx8C&pg=PA1541|archivedate=2017-09-08|df=}}</ref> |
||
โรคหัด[[Airborne disease|ติดต่อทางอากาศ]] เชื้อหัดจะออกมาพร้อมกับการไอและ[[การจาม]]ของผู้ป่วย นอกจากนี้ยังอาจติดต่อผ่านการสัมผัสน้ำลายหรือน้ำมูกของผู้ป่วยได้ด้วย หากมีผู้ที่ไม่มีภูมิคุ้มกันและอยู่ในที่เดียวกันกับผู้ติดเชื้อ จะเกิดการติดเชื้อถึงเก้าในสิบ ผู้ติดเชื้อจะสามารถแพร่เชื้อให้คนอื่นได้ตั้งแต่ 4 วันก่อนมีอาการ ไปจนถึง 4 วัน หลังเริ่มมีผื่น ส่วนใหญ่เมื่อเป็นแล้วจะไม่เป็นอีก การตรวจหาเชื้อไวรัสในผู้ป่วยรายที่สงสัย จะมีประโยชน์ในการควบคุมโรค |
โรคหัด[[Airborne disease|ติดต่อทางอากาศ]] เชื้อหัดจะออกมาพร้อมกับการไอและ[[การจาม]]ของผู้ป่วย<ref name=WHO2014/> นอกจากนี้ยังอาจติดต่อผ่านการสัมผัสน้ำลายหรือน้ำมูกของผู้ป่วยได้ด้วย<ref name=WHO2014/> หากมีผู้ที่ไม่มีภูมิคุ้มกันและอยู่ในที่เดียวกันกับผู้ติดเชื้อ จะเกิดการติดเชื้อถึงเก้าในสิบ<ref name=CDC2012Pink/> ผู้ติดเชื้อจะสามารถแพร่เชื้อให้คนอื่นได้ตั้งแต่ 4 วันก่อนมีอาการ ไปจนถึง 4 วัน หลังเริ่มมีผื่น.<ref name=CDC2012Pink>{{cite book|last1=Atkinson|first1=William|title=Epidemiology and Prevention of Vaccine-Preventable Diseases|date=2011|publisher=Public Health Foundation|isbn=9780983263135|pages=301–323|edition=12|url=https://www.cdc.gov/vaccines/pubs/pinkbook/meas.html|accessdate=5 February 2015|deadurl=no|archiveurl=https://web.archive.org/web/20150207061223/http://www.cdc.gov/vaccines/pubs/pinkbook/meas.html|archivedate=7 February 2015|df=}}</ref> ส่วนใหญ่เมื่อเป็นแล้วจะไม่เป็นอีก<ref name=WHO2014/> การตรวจหาเชื้อไวรัสในผู้ป่วยรายที่สงสัย จะมีประโยชน์ในการควบคุมโรค<ref name=CDC2012Pink/> |
||
[[วัคซีนโรคหัด]]สามารถป้องกันการติดเชื้อได้เป็นอย่างดี ผล |
[[วัคซีนโรคหัด]]สามารถป้องกันการติดเชื้อได้เป็นอย่างดี<ref name=WHO2014/> ผลจาก[[Vaccination|การใช้วัคซีน]]นี้ทำให้จำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคหัดลดลงถึง 75% ในช่วง ค.ศ. 2000-2013 ซึ่งเด็กทั่วโลกถึง 85% ได้รับวัคซีนนี้<ref name=WHO2014/> ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาแบบจำเพาะ มีแต่เพียงการใช้การรักษาบรรเทาอาการเท่านั้น<ref name=WHO2014/> เช่น [[Oral rehydration therapy|การให้สารน้ำชดเชยทางปาก]] กินอาหารที่มีประโยชน์ และใช้[[ยาลดไข้]]<ref name=WHO2014/><ref name=Conn2014/> อาจต้องใช้[[ยาปฏิชีวนะ]]ก็ต่อเมื่อมี[[การติดเชื้อแบคทีเรีย]]แทรกซ้อน เช่น เป็น[[ปอดอักเสบ]]<ref name=WHO2014/> ใน[[กลุ่มประเทศกำลังพัฒนา]]ที่ผู้ป่วยอาจ[[ขาดสารอาหาร]] การให้[[วิตามินเอ]]ก็เป็นที่แนะนำ<ref name=WHO2014>{{cite web|title=Measles Fact sheet N°286|url=http://www.who.int/mediacentre/factsheets/fs286/en/|website=who.int|accessdate=4 February 2015|date=November 2014|deadurl=no|archiveurl=https://web.archive.org/web/20150203144905/http://www.who.int/mediacentre/factsheets/fs286/en/|archivedate=3 February 2015|df=}}</ref> |
||
ในแต่ละปีจะมีผู้ป่วยโรคหัดประมาณ 20 ล้านคน ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่กำลังพัฒนาของทวีปแอฟริกาและทวีปเอเชีย โรคนี้เป็น[[โรคที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน]]ที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตจำนวนมากที่สุดในโลก เมื่อ ค.ศ. 1980 มีคนเสียชีวิตจากโรคหัดถึง 2.6 ล้านคน และลดเหลือ 545,000 คนใน ค.ศ. 1990 และ 73,000 ใน ค.ศ. 2014 ผู้ป่วยที่เสียชีวิตส่วนใหญ่อายุน้อยกว่า 5 ปี อัตราการเสียชีวิตโดยรวมอยู่ที่ 0.2% แต่อาจสูงได้ถึง 10% ในผู้ที่ขาดสารอาหาร ปัจจุบันยังเชื่อว่าโรคนี้ไม่ติดไปยังสัตว์อื่น ในประเทศสหรัฐอเมริกาก่อนมีการใช้วัคซีนจะมีผู้ป่วยโรคหัดประมาณปีละ 3-4 ล้านคน ซึ่งหลังจากมีการใช้วัคซีนอย่างกว้างขวาง โรคหัดก็ถูกกำจัดหมดไปจากอเมริกาเมื่อ ค.ศ. 2016 |
ในแต่ละปีจะมีผู้ป่วยโรคหัดประมาณ 20 ล้านคน<ref name=MM2014/> ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่กำลังพัฒนาของทวีปแอฟริกาและทวีปเอเชีย<ref name=WHO2014/> โรคนี้เป็น[[โรคที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน]]ที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตจำนวนมากที่สุดในโลก<ref name=Kabra2013>{{cite journal|last1=Kabra|first1=SK|last2=Lodhra|first2=R|title=Antibiotics for preventing complications in children with measles|journal=Cochrane Database of Systematic Reviews|volume=8|issue=|pages=CD001477|date=14 August 2013|pmid=23943263|doi=10.1002/14651858.CD001477.pub4}}</ref> เมื่อ ค.ศ. 1980 มีคนเสียชีวิตจากโรคหัดถึง 2.6 ล้านคน<ref name=WHO2014/> และลดเหลือ 545,000 คนใน ค.ศ. 1990 และ 73,000 ใน ค.ศ. 2014<ref name=GBD2015De/><ref name=GDB2013>{{cite journal|last1=GBD 2013 Mortality and Causes of Death|first1=Collaborators|title=Global, regional, and national age-sex specific all-cause and cause-specific mortality for 240 causes of death, 1990–2013: a systematic analysis for the Global Burden of Disease Study 2013.|journal=Lancet|date=17 December 2014|pmid=25530442|doi=10.1016/S0140-6736(14)61682-2|pmc=4340604|volume=385|pages=117–171}}</ref> ผู้ป่วยที่เสียชีวิตส่วนใหญ่อายุน้อยกว่า 5 ปี<ref name=WHO2014/> อัตราการเสียชีวิตโดยรวมอยู่ที่ 0.2%<ref name=CDC2012Pink/> แต่อาจสูงได้ถึง 10% ในผู้ที่ขาดสารอาหาร<ref name=WHO2014/> ปัจจุบันยังเชื่อว่าโรคนี้ไม่ติดไปยังสัตว์อื่น<ref name=WHO2014/> ในประเทศสหรัฐอเมริกาก่อนมีการใช้วัคซีนจะมีผู้ป่วยโรคหัดประมาณปีละ 3-4 ล้านคน<ref name=CDC2012Pink/> ซึ่งหลังจากมีการใช้วัคซีนอย่างกว้างขวาง โรคหัดก็ถูกกำจัดหมดไปจากอเมริกาเมื่อ ค.ศ. 2016<ref name=PAHO2016>{{cite web|title=Region of the Americas is declared free of measles|url=http://www.paho.org/hq/index.php?option=com_content&view=article&id=12528:region-americas-declared-free-measles&Itemid=1926&lang=en|website=PAHO|accessdate=30 September 2016|date=29 September 2016|deadurl=no|archiveurl=https://web.archive.org/web/20160930044745/http://www.paho.org/hq/index.php?option=com_content&view=article&id=12528%3Aregion-americas-declared-free-measles&Itemid=1926&lang=en|archivedate=30 September 2016|df=}}</ref> |
||
== สาเหตุ == |
== สาเหตุ == |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 15:33, 24 มกราคม 2561
Measles | |
---|---|
ชื่ออื่น | Morbilli, rubeola, red measles, English measles[1][2] |
A child showing a four-day measles rash | |
สาขาวิชา | Infectious disease |
อาการ | Fever, cough, runny nose, inflamed eyes, rash[3][4] |
ภาวะแทรกซ้อน | Pneumonia, seizures, encephalitis, subacute sclerosing panencephalitis[5] |
การตั้งต้น | 10–12 days post exposure[6][7] |
ระยะดำเนินโรค | 7–10 days[6][7] |
สาเหตุ | Measles virus[3] |
การป้องกัน | Measles vaccine[6] |
การรักษา | Supportive care[6] |
ความชุก | 20 million per year[3] |
การเสียชีวิต | 73,400 (2015)[8] |
โรคหัด (อังกฤษ: measles) เป็นโรคติดเชื้อชนิดหนึ่งที่ติดต่อกันได้ง่ายมาก เกิดจากเชื้อไวรัสหัด[3][9] ในระยะแรกผู้ป่วยจะมีไข้ ซึ่งมักเป็นไข้สูง (>40 องศาเซลเซียส) ไอ น้ำมูกไหลจากเยื่อจมูกอักเสบ และตาแดงจากเยื่อตาอักเสบ[3][4] ในวันที่ 2-3 จะเริ่มมีจุดสีขาวขึ้นในปาก เรียกว่าจุดของคอปลิก[4] จากนั้นในวันที่ 3-5 จะเริ่มมีผื่นเป็นผื่นแดงแบน เริ่มขึ้นที่ใบหน้า จากนั้นจึงลามไปทั่วตัว[4] อาการมักเริ่มเป็น 10-12 หลังจากรับเชื้อ และมักเป็นอยู่ 7-10 วัน[6][7]สามารถพบภาวะแทรกซ้อนได้ราว 30% ซึ่งภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ได้แก่ ท้องร่วง ตาบอด สมองอักเสบ ปอดอักเสบ และอื่นๆ[6][10] โรคนี้เป็นคนละโรคกับโรคหัดเยอรมันและหัดกุหลาบ[11]
โรคหัดติดต่อทางอากาศ เชื้อหัดจะออกมาพร้อมกับการไอและการจามของผู้ป่วย[6] นอกจากนี้ยังอาจติดต่อผ่านการสัมผัสน้ำลายหรือน้ำมูกของผู้ป่วยได้ด้วย[6] หากมีผู้ที่ไม่มีภูมิคุ้มกันและอยู่ในที่เดียวกันกับผู้ติดเชื้อ จะเกิดการติดเชื้อถึงเก้าในสิบ[10] ผู้ติดเชื้อจะสามารถแพร่เชื้อให้คนอื่นได้ตั้งแต่ 4 วันก่อนมีอาการ ไปจนถึง 4 วัน หลังเริ่มมีผื่น.[10] ส่วนใหญ่เมื่อเป็นแล้วจะไม่เป็นอีก[6] การตรวจหาเชื้อไวรัสในผู้ป่วยรายที่สงสัย จะมีประโยชน์ในการควบคุมโรค[10]
วัคซีนโรคหัดสามารถป้องกันการติดเชื้อได้เป็นอย่างดี[6] ผลจากการใช้วัคซีนนี้ทำให้จำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคหัดลดลงถึง 75% ในช่วง ค.ศ. 2000-2013 ซึ่งเด็กทั่วโลกถึง 85% ได้รับวัคซีนนี้[6] ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาแบบจำเพาะ มีแต่เพียงการใช้การรักษาบรรเทาอาการเท่านั้น[6] เช่น การให้สารน้ำชดเชยทางปาก กินอาหารที่มีประโยชน์ และใช้ยาลดไข้[6][7] อาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะก็ต่อเมื่อมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน เช่น เป็นปอดอักเสบ[6] ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่ผู้ป่วยอาจขาดสารอาหาร การให้วิตามินเอก็เป็นที่แนะนำ[6]
ในแต่ละปีจะมีผู้ป่วยโรคหัดประมาณ 20 ล้านคน[3] ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่กำลังพัฒนาของทวีปแอฟริกาและทวีปเอเชีย[6] โรคนี้เป็นโรคที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีนที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตจำนวนมากที่สุดในโลก[12] เมื่อ ค.ศ. 1980 มีคนเสียชีวิตจากโรคหัดถึง 2.6 ล้านคน[6] และลดเหลือ 545,000 คนใน ค.ศ. 1990 และ 73,000 ใน ค.ศ. 2014[8][13] ผู้ป่วยที่เสียชีวิตส่วนใหญ่อายุน้อยกว่า 5 ปี[6] อัตราการเสียชีวิตโดยรวมอยู่ที่ 0.2%[10] แต่อาจสูงได้ถึง 10% ในผู้ที่ขาดสารอาหาร[6] ปัจจุบันยังเชื่อว่าโรคนี้ไม่ติดไปยังสัตว์อื่น[6] ในประเทศสหรัฐอเมริกาก่อนมีการใช้วัคซีนจะมีผู้ป่วยโรคหัดประมาณปีละ 3-4 ล้านคน[10] ซึ่งหลังจากมีการใช้วัคซีนอย่างกว้างขวาง โรคหัดก็ถูกกำจัดหมดไปจากอเมริกาเมื่อ ค.ศ. 2016[14]
สาเหตุ
เกิดจากเชื้อไวรัสรูบิโอลา (rubeola virus) ซึ่งจะพบมากในน้ำลายของผู้ป่วยติดต่อโดยการไอ จาม หายใจรดกัน หรือการสัมผัสสิ่งของเครื่องใช้ร่วมกัน ระยะฟักตัว 9-11 วัน
อาการ
มีอาการตัวร้อนขึ้นทันทีทันใด ในระยะแรกมีอาการคล้ายไข้หวัด แต่ผิดกันตรงที่จะมีไข้สูงตลอดเวลา กินยาลดไข้ ไข้ก็ไม่ลด เด็กจะซึม กระสับกระส่าย ร้องกวน เบื่ออาหาร มีน้ำมูกใสๆ ไอแห้งๆ น้ำตาไหล ไม่สู้แสง หนังตาบวม จะมีอาการถ่ายเหลวบ่อยครั้งเหมือนท้องเดินในระยะก่อนที่จะมีผื่น หรืออาจชักจากไข้สูงผื่นของหัดจะขึ้นจากตีนผม ซอกคอก่อน แล้วลามไปตามใบหน้าลำตัวและแขนขา ลักษณะเฉพาะของหัดคือจะมีผื่นขึ้นหลังมีไข้ 3-4 วัน มักจะขึ้นในวันที่ 4 ของไข้ เป็นผื่นเท่าหัวเข็มหมุดที่ตีนผมก่อนและซอกคอ ผื่นนี้จะจางหายได้เมื่อดึงรั้งผิวหนังให้ตึง เป็นแผ่นกว้าง รูปร่างไม่แน่นอน อาจมีผื่นคันเล็กน้อย ผื่นจะไม่จางหายไปในทันที จะจางหายไปใน 4-7 วัน และจะเหลือให้เห็นเป็นรอยสีน้ำตาล บางราย
สิ่งตรวจพบ
ไข้ 38.5-40.5 องศาเซลเซียส หรือบางรายอาจสูงกว่านั้นก็เป็นได้ หน้าแดง ตาแดง หน้าตาบวมคู่ เปลือกตาแดง บางรายมีอาการปวดตาเมื่อกลอกตาสุด ระยะ 2 วันหลังมีไข้ พบจุดสีขาวๆ เหลือง หรือ แดงขนาดเล็กๆ คล้ายเม็ดงาที่กระพุ้งแก้มด้านในริเวณใกล้ฟันกรามล่าง หรือ ฟันกรามด้านบนสองซี่สุดท้าย เรียกว่าจุดค็อปลิก (Koplik's spot) ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะตัวของหัดและจะหายไป หลังไข้ขึ้น 2-4 วันจะพบผื่นที่หน้า หลังหู ซอกคอ ลำตัว โดยเริ่มขื้นจากด้านบนก่อน ต่อมน้ำเหลืองที่คอด้านซ้ายและขวาบวมขื้น ปอดจะมีเสียงปกติ ยกเว้นถ้ามีโรคปอดอักเสบแทรก เมื่อใช้เครื่องฟังจะได้ยินเสียงกรอบแกรบ (crepitation)
อาการแทรกซ้อน
มักจะพบในเด็กขาดสารอาหารร่างกายอ่อนแอ ที่พบบ่อยคือ ปอดอักเสบ ท้องเดิน ซึ่งมักจะพบหลังผื่นขึ้น หรือไข้เริ่มทุเลาลงแล้ว ที่รุนแรงถึงตายได้ คือ สมองอักเสบ นอกจากนี้ ยังทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายลดลงมีโอกาสเป็นวัณโรคปอดได้ง่ายขึ้น
การรักษา
- ปฏิบัติตัวเหมือนไข้หวัด คือ พักผ่อนมากๆ ไม่อาบน้ำเย็น ใช้ผ้าชุบตัวเมื่อมีไข้สูง ดื่มน้ำและน้ำหวานหรือน้ำผลไม้ให้มากๆ
- ให้ยารักษาตามอาการ เช่นยาลดไข้ Paracetamol ผู้ใหญ่ ครั้งละ 1-2 เม็ด (500 มิลลิกรัม) เด็กให้ชนิดน้ำเชื่อม (120 มิลลิกรัมต่อช้อนชา ) เด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี ให้ครั้ง ครึ่งช้อนชา อายุ 1-4 ปี ให้ 1 ช้อนชา
- ห้ามใช้ยาปฏิชีวนะ ตั้งแต่ระยะแรกเพราะไม่มีความจำเป็น
- ถ้ามีอาการไอมีเสลดข้นหรือเขียว ไอ ปอดมีเสียงกรอบแกรบ (crepitation) หรือเสียงอีด ให้ยา Amoxycillin ผู้ใหญ่ ให้ครั้งละ 250-500 มิลลิกรัม ทุก 8 ชั่วโมง วันละ 3-4 ครั้ง หลังอาหาร และก่อนนอน เด็กให้วันละ 30-50 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม หรือแบ่งให้ตามน้ำหนักตัว หรือให้ Erythromycin ผู้ใหญ่ให้ครั้งละ 250-500 มิลลิกรัม วันละ 4 ครั้ง เด็ก ให้วันละ 30-50 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม แบ่งให้ทุก 6 ชั่วโมง
ข้อแนะนำ
- ควรแยกผู้ป่วย ไม่คลุกคลีกับผู้ป่วย
- โรคนี้ส่วนใหญ่จะหายได้เอง พบภาวะแทรกซ้อนเป็นส่วนน้อย
- ไม่มีของแสลง กินอาหารที่มีประโยชน์ บำรุง ได้ตามปกติ
การป้องกัน
โรคนี้สามารถป้องกันได้โดยรับการฉีดวัคซีน เมื่ออายุ 9-12 เดือน ฉีดเพียงครั้งเดียวสามารถป้องกันได้ตลอดไป วัคซีนมีทั้งชนิดเดี่ยว และรวมกับหัดเยอรมันและคางทูม (MMR) ขอรับการฉีดได้ที่สถานีอนามัยใกล้บ้าน หรือโรงพยาบาลทั่วไป
อ้างอิง
- ตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป : นายแพทย์สุรเกียรติ อาชานุภาพ
- ↑ Milner, Danny A. (2015). Diagnostic Pathology: Infectious Diseases E-Book (ภาษาอังกฤษ). Elsevier Health Sciences. p. 24. ISBN 9780323400374. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-09-08.
{{cite book}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|deadurl=
ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=
) (help) - ↑ Stanley, Jacqueline (2002). Essentials of Immunology & Serology (ภาษาอังกฤษ). Cengage Learning. p. 323. ISBN 076681064X. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-09-08.
{{cite book}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|deadurl=
ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=
) (help) - ↑ 3.0 3.1 3.2 3.3 3.4 3.5 Caserta, MT, บ.ก. (September 2013). "Measles". Merck Manual Professional. Merck Sharp & Dohme Corp. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 March 2014. สืบค้นเมื่อ 23 March 2014.
{{cite web}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|deadurl=
ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=
) (help) - ↑ 4.0 4.1 4.2 4.3 "Measles (Rubeola) Signs and Symptoms". cdc.gov. November 3, 2014. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 February 2015. สืบค้นเมื่อ 5 February 2015.
{{cite web}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|deadurl=
ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=
) (help) - ↑ "Pinkbook Measles". www.cdc.gov (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 24 July 2015. สืบค้นเมื่อ 25 November 2017.
- ↑ 6.00 6.01 6.02 6.03 6.04 6.05 6.06 6.07 6.08 6.09 6.10 6.11 6.12 6.13 6.14 6.15 6.16 6.17 6.18 6.19 "Measles Fact sheet N°286". who.int. November 2014. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 February 2015. สืบค้นเมื่อ 4 February 2015.
{{cite web}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|deadurl=
ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=
) (help) - ↑ 7.0 7.1 7.2 7.3 Conn's Current Therapy 2015: Expert Consult – Online. Elsevier Health Sciences. 2014. p. 153. ISBN 9780323319560. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-09-08.
{{cite book}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|deadurl=
ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=
) (help) - ↑ 8.0 8.1 GBD 2015 Mortality and Causes of Death, Collaborators. (8 October 2016). "Global, regional, and national life expectancy, all-cause mortality, and cause-specific mortality for 249 causes of death, 1980–2015: a systematic analysis for the Global Burden of Disease Study 2015". Lancet. 388 (10053): 1459–1544. doi:10.1016/S0140-6736(16)31012-1. PMID 27733281.
{{cite journal}}
:|first1=
มีชื่อเรียกทั่วไป (help) - ↑ "Measles (Red Measles, Rubeola)". Dept of Health, Saskatchewan. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 February 2015. สืบค้นเมื่อ 10 February 2015.
{{cite web}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|deadurl=
ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=
) (help) - ↑ 10.0 10.1 10.2 10.3 10.4 10.5 Atkinson, William (2011). Epidemiology and Prevention of Vaccine-Preventable Diseases (12 ed.). Public Health Foundation. pp. 301–323. ISBN 9780983263135. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 February 2015. สืบค้นเมื่อ 5 February 2015.
{{cite book}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|deadurl=
ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=
) (help) - ↑ Marx, John A. (2010). Rosen's emergency medicine : concepts and clinical practice (7th ed.). Philadelphia: Mosby/Elsevier. p. 1541. ISBN 9780323054720. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-09-08.
{{cite book}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|deadurl=
ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=
) (help) - ↑ Kabra, SK; Lodhra, R (14 August 2013). "Antibiotics for preventing complications in children with measles". Cochrane Database of Systematic Reviews. 8: CD001477. doi:10.1002/14651858.CD001477.pub4. PMID 23943263.
- ↑ GBD 2013 Mortality and Causes of Death, Collaborators (17 December 2014). "Global, regional, and national age-sex specific all-cause and cause-specific mortality for 240 causes of death, 1990–2013: a systematic analysis for the Global Burden of Disease Study 2013". Lancet. 385: 117–171. doi:10.1016/S0140-6736(14)61682-2. PMC 4340604. PMID 25530442.
{{cite journal}}
:|first1=
มีชื่อเรียกทั่วไป (help) - ↑ "Region of the Americas is declared free of measles". PAHO. 29 September 2016. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 September 2016. สืบค้นเมื่อ 30 September 2016.
{{cite web}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|deadurl=
ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=
) (help)
แหล่งข้อมูลอื่น
การจำแนกโรค | |
---|---|
ทรัพยากรภายนอก |