ผลต่างระหว่างรุ่นของ "วาร์ฟาริน"
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัด 1: | บรรทัด 1: | ||
{{drugbox | |
{{drugbox | Verifiedfields = changed |
||
| Watchedfields = changed |
|||
⚫ | |||
| verifiedrevid = 460939157 |
|||
⚫ | |||
⚫ | |||
| image2 = Warfarin-from-xtal-3D-balls.png |
|||
⚫ | |||
⚫ | |||
| width = 200 |
|||
⚫ | |||
| image2 = Warfarin3Dan.gif |
|||
⚫ | |||
| |
| width2 = 250 |
||
⚫ | |||
<!--Clinical data--> |
|||
⚫ | |||
| tradename = Coumadin, Jantoven, Marevan |
|||
| smiles = CC(=O)CC(c1ccccc1)C2=C(O)c3ccccc3OC2=O <!-- Starts at bottom right --> |
|||
| Drugs.com = {{drugs.com|monograph|coumadin}} |
|||
⚫ | |||
| MedlinePlus = a682277 |
|||
⚫ | |||
| licence_US = Warfarin |
|||
| bioavailability = 100% |
|||
| protein_bound = 99.5% |
|||
| metabolism = Hepatic: [[CYP2C9]], [[CYP2C19|2C19]], 2C8, 2C18, [[CYP1A2|1A2]] and [[CYP3A4|3A4]] |
|||
| elimination_half-life = 2.5 days |
|||
⚫ | |||
| pregnancy_AU = D |
| pregnancy_AU = D |
||
| pregnancy_US = X |
| pregnancy_US = X |
||
| legal_AU = S4 |
| legal_AU = S4 |
||
| legal_CA = Rx-only |
|||
| legal_UK = POM |
| legal_UK = POM |
||
| legal_US = Rx-only |
| legal_US = Rx-only |
||
| routes_of_administration = ปากหรือ[[การฉีดเข้าหลอดเลือดดำ|ฉีดเข้าหลอดเลือดดำ]] |
|||
| routes_of_administration = Oral or [[intravenous therapy|intravenous]] |
|||
<!--Pharmacokinetic data--> |
|||
| bioavailability = 79-100% (ทางปาก)<ref name = PCK>{{cite journal|title=Clinical Pharmacokinetics and Pharmacodynamics |
|||
of Warfarin Understanding the Dose-Effect Relationship|journal=Clinical Pharamacokinetics|date=December 1986|url=http://link.springer.com/article/10.2165%2F00003088-198611060-00005|doi=10.2165/00003088-198611060-00005|publisher=Springer International Publishing|volume=11|issue=6|pages=483-504|pmid=3542339|author=Holford, NH}}</ref> |
|||
| protein_bound = 99%<ref name = TGA>{{cite web|title=PRODUCT INFORMATION COUMADIN|work=TGA eBusiness Services|publisher=Aspen Pharma Pty Ltd|date=19 January 2010|accessdate=11 December 2013|url=https://www.ebs.tga.gov.au/ebs/picmi/picmirepository.nsf/pdf?OpenAgent&id=CP-2010-PI-02588-3|format=PDF}}</ref> |
|||
| metabolism = ตับ: [[CYP2C9]], [[CYP2C19|2C19]], 2C8, 2C18, [[CYP1A2|1A2]] และ [[CYP3A4|3A4]]<ref name = TGA/> |
|||
| elimination_half-life = 20-60 ชั่วโมง (ค่าเฉลี่ย: 40 ชั่วโมง)<ref name = TGA/> |
|||
⚫ | |||
<!--Identifiers--> |
|||
| CASNo_Ref = {{cascite|correct|CAS}} |
|||
| CAS_number_Ref = {{cascite|correct|??}}I |
|||
⚫ | |||
⚫ | |||
| ATC_suffix = AA03 |
|||
⚫ | |||
| DrugBank_Ref = {{drugbankcite|changed|drugbank}} |
|||
⚫ | |||
| ChemSpiderID_Ref = {{chemspidercite|correct|chemspider}} |
|||
⚫ | |||
| UNII_Ref = {{fdacite|correct|FDA}} |
|||
| UNII = 5Q7ZVV76EI |
|||
| KEGG_Ref = {{keggcite|correct|kegg}} |
|||
| KEGG = D08682 |
|||
| ChEBI_Ref = {{ebicite|correct|EBI}} |
|||
| ChEBI = 10033 |
|||
| ChEMBL_Ref = {{ebicite|changed|EBI}} |
|||
| ChEMBL = 1464 |
|||
<!--Chemical data--> |
|||
⚫ | |||
⚫ | |||
| smiles = CC(=O)CC(C\1=C(/O)c2ccccc2OC/1=O)c3ccccc3 |
|||
| InChI = 1/C19H16O4/c1-12(20)11-15(13-7-3-2-4-8-13)17-18(21)14-9-5-6-10-16(14)23-19(17)22/h2-10,15,21H,11H2,1H3 |
|||
| StdInChI_Ref = {{stdinchicite|correct|chemspider}} |
|||
| StdInChI = 1S/C19H16O4/c1-12(20)11-15(13-7-3-2-4-8-13)17-18(21)14-9-5-6-10-16(14)23-19(17)22/h2-10,15,21H,11H2,1H3 |
|||
| StdInChIKey_Ref = {{stdinchicite|correct|chemspider}} |
|||
| StdInChIKey = PJVWKTKQMONHTI-UHFFFAOYSA-N |
|||
}} |
}} |
||
⚫ | '''วาร์ฟาริน''' ({{lang-en|warfarin}}, หรือชื่อการค้า '''คูมาดิน''', '''มารีแวน''', '''ยูนิวาร์ฟิน''') เป็น[[สารกันเลือดเป็นลิ่ม]]ซึ่งปกติใช้ป้องกัน[[ภาวะหลอดเลือดมีลิ่มเลือด]]และ[[ภาวะลิ่มเลือดหลุดอุดหลอดเลือด]] วาร์ฟารินมักเรียกผิด ๆ ว่าเป็น "ยาเจือจางเลือด" (blood thinner) เริ่มใช้ใน ค.ศ. 1948 ทีแรกเป็น[[สารฆ่าสัตว์รังควาน]]ต่อ[[หนู]]และ[[หนูหริ่ง]] และปัจจุบันยังใช้เพื่อความมุ่งหมายนี้ แม้มีการพัฒนาพิษที่แรงกว่าอย่างโบรไดฟาคุม (brodifacoum) นับแต่นั้น ในต้นคริสต์ทศวรรษ 1950 พบว่า วาร์ฟารินให้ผลป้องกันภาวะหลอดเลือดมีลิ่มเลือดและภาวะลิ่มเลือดหลุดอุดหลอดเลือดในหลายโรคได้และค่อนข้างปลอดภัย ได้รับอนุมัติให้ใช้เป็นยารักษาโรคใน ค.ศ. 1954 และยังได้รับความนิยมนับแต่นั้น วาร์ฟารินเป็นสารกันเลือดเป็นลิ่มชนิดรับประทานที่จ่ายมากที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ |
||
⚫ | '''วาร์ฟาริน''' ({{lang-en|warfarin}}, หรือชื่อการค้า '''คูมาดิน''', '''มารีแวน''', '''ยูนิวาร์ฟิน''') เป็น[[สารกันเลือดเป็นลิ่ม]]ซึ่งปกติใช้ป้องกัน[[ภาวะหลอดเลือดมีลิ่มเลือด]]และ[[ภาวะลิ่มเลือดหลุดอุดหลอดเลือด]] วาร์ฟารินมักเรียกผิด ๆ ว่าเป็น "ยาเจือจางเลือด" (blood thinner) เริ่มใช้ใน ค.ศ. 1948 ทีแรกเป็น[[สารฆ่าสัตว์รังควาน]]ต่อ[[หนู]]และ[[หนูหริ่ง]] และปัจจุบันยังใช้เพื่อความมุ่งหมายนี้ แม้มีการพัฒนาพิษที่แรงกว่าอย่างโบรไดฟาคุม (brodifacoum) นับแต่นั้น ในต้นคริสต์ทศวรรษ 1950 พบว่า วาร์ฟารินให้ผลป้องกันภาวะหลอดเลือดมีลิ่มเลือดและภาวะลิ่มเลือดหลุดอุดหลอดเลือดในหลายโรคได้และค่อนข้างปลอดภัย ได้รับอนุมัติให้ใช้เป็นยารักษาโรคใน ค.ศ. 1954 และยังได้รับความนิยมนับแต่นั้น วาร์ฟารินเป็นสารกันเลือดเป็นลิ่มชนิดรับประทานที่จ่ายมากที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ<ref name=Holbrook2005/> |
||
⚫ | แม้ด้วยประสิทธิผลของมัน แต่การรักษาด้วยวาร์ฟารินมีข้อเสียหลายประการ ยารักษาโรคที่ใช้บ่อยหลายตัวมีอันตรกิริยากับวาร์ฟาริน เช่นเดียวกับอาหารบางชนิด เช่น อาหารผักใบหรือ "เขียว" เนื่องจากผักใบตรงแบบมี[[วิตามินเค|วิตามินเค1]] ปริมาณสูง) และต้องเฝ้าสังเกตกัมมันตภาพของมันโดย[[การตรวจเลือด]]หาอัตราส่วนทำให้เป็นบรรทัดฐานระหว่างประเทศ (international normalized ratio, INR) เพื่อรับประกันว่าได้ขนาดเหมาะสมแต่ปลอดภัย INR ที่สูงโน้มเอียงต่อความเสี่ยงเลือดไหลที่สูง แต่ INR ที่ต่ำกว่าเป้าหมายรักษาโรคได้บ่งชี้ว่าขนาดของวาร์ฟารินไม่เพียงพอป้องกันเหตุการณ์ลิ่มเลือดหลุดอุดหลอดเลือด |
||
⚫ | แม้ด้วยประสิทธิผลของมัน แต่การรักษาด้วยวาร์ฟารินมีข้อเสียหลายประการ ยารักษาโรคที่ใช้บ่อยหลายตัวมีอันตรกิริยากับวาร์ฟาริน เช่นเดียวกับอาหารบางชนิด เช่น อาหารผักใบหรือ "เขียว" เนื่องจากผักใบตรงแบบมี[[วิตามินเค|วิตามินเค1]] ปริมาณสูง) และต้องเฝ้าสังเกตกัมมันตภาพของมันโดย[[การตรวจเลือด]]หาอัตราส่วนทำให้เป็นบรรทัดฐานระหว่างประเทศ (international normalized ratio, INR) เพื่อรับประกันว่าได้ขนาดเหมาะสมแต่ปลอดภัย<ref name="Ansell">{{cite journal| author=Ansell J, Hirsh J, Hylek E, et al.| title=Pharmacology and management of the vitamin K antagonists: American College of Chest Physicians evidence-based clinical practice guidelines (8th Edition) | journal=Chest | year= 2008 | volume= 133 | issue= 6 Suppl | pages= 160S–198S |pmid=18574265| doi=10.1378/chest.08-0670 | url=http://journal.publications.chestnet.org/article.aspx?articleid=1085927 }}</ref> INR ที่สูงโน้มเอียงต่อความเสี่ยงเลือดไหลที่สูง แต่ INR ที่ต่ำกว่าเป้าหมายรักษาโรคได้บ่งชี้ว่าขนาดของวาร์ฟารินไม่เพียงพอป้องกันเหตุการณ์ลิ่มเลือดหลุดอุดหลอดเลือด |
||
วาร์ฟารินกับโมเลกุลซึ่งมี 4-ไฮดรอกซีคูมาริน (4-hydroxycoumarin) ที่สัมพันธ์ลดเลือดจับลิ่มโดยยับยั้ง[[vitamin K epoxide reductase|วิตามินเคอีพ็อกไซด์รีดักเทส]] (vitamin K epoxide reductase) ซึ่งเป็น[[เอนไซม์]]ซึ่งรีไซเคิลวิตามินเค1 ที่ถูกออกซิไดส์เป็นรูปรีดิวส์ของมันหลังร่วมในปฏิกิริยา[[carboxylation|คาร์บ็อกซิเลชัน]] (carboxylation) ของโปรตีนเลือดจับลิ่มหลายตัว หลัก ๆ คือ [[prothrombin|โปรทรอมบิน]] (prothrombin) และ [[factor VII|แฟ็กเตอร์ 7]] (factor VII) วาร์ฟาริน แม้ถูกระบุว่าเป็นสารต้านวิตามินเค แต่มิได้ต้านฤทธิ์ของวิตามินเค1 แต่ต้านการรีไซเคิลวิตามินเค1 ทำให้วิตามินเค1 กัมมันต์หมดไป ฉะนั้น อาจผันกลับฤทธิ์เภสัชวิทยาได้เสมอโดยวิตามินเค1 เมื่อให้แล้ว ยาเหล่านี้ไม่ต้านเลือดจับลิ่มทันที แต่การเริ่มต้นออกฤทธิ์ใช้เวลาประมาณหนึ่งวันก่อนแฟกเตอร์จับลิ่มกัมมันต์ที่เหลืออยู่มีเวลาหมดไปตามธรรมชาติใน[[เมแทบอลิซึม]] และระยะออกฤทธิ์ของวาร์ฟารินขนาดเดียว คือ 2 ถึง 5 วัน การผันกลับของฤทธิ์วาร์ฟารินเมื่อหยุดให้หรือให้วิตามินเค1 ใช้เวลาพอ ๆ กัน |
วาร์ฟารินกับโมเลกุลซึ่งมี 4-ไฮดรอกซีคูมาริน (4-hydroxycoumarin) ที่สัมพันธ์ลดเลือดจับลิ่มโดยยับยั้ง[[vitamin K epoxide reductase|วิตามินเคอีพ็อกไซด์รีดักเทส]] (vitamin K epoxide reductase) ซึ่งเป็น[[เอนไซม์]]ซึ่งรีไซเคิลวิตามินเค1 ที่ถูกออกซิไดส์เป็นรูปรีดิวส์ของมันหลังร่วมในปฏิกิริยา[[carboxylation|คาร์บ็อกซิเลชัน]] (carboxylation) ของโปรตีนเลือดจับลิ่มหลายตัว หลัก ๆ คือ [[prothrombin|โปรทรอมบิน]] (prothrombin) และ [[factor VII|แฟ็กเตอร์ 7]] (factor VII) วาร์ฟาริน แม้ถูกระบุว่าเป็นสารต้านวิตามินเค<ref name="Ansell"/> แต่มิได้ต้านฤทธิ์ของวิตามินเค1 แต่ต้านการรีไซเคิลวิตามินเค1 ทำให้วิตามินเค1 กัมมันต์หมดไป<ref>Holford NH. Clinical pharmacokinetics and pharmacodynamics of warfarin. Understanding the dose-effect relationship. Clin Pharmacokinet 1986; 11: 483–504.</ref> ฉะนั้น อาจผันกลับฤทธิ์เภสัชวิทยาได้เสมอโดยวิตามินเค1 เมื่อให้แล้ว ยาเหล่านี้ไม่ต้านเลือดจับลิ่มทันที แต่การเริ่มต้นออกฤทธิ์ใช้เวลาประมาณหนึ่งวันก่อนแฟกเตอร์จับลิ่มกัมมันต์ที่เหลืออยู่มีเวลาหมดไปตามธรรมชาติใน[[เมแทบอลิซึม]] และระยะออกฤทธิ์ของวาร์ฟารินขนาดเดียว คือ 2 ถึง 5 วัน การผันกลับของฤทธิ์วาร์ฟารินเมื่อหยุดให้หรือให้วิตามินเค1 ใช้เวลาพอ ๆ กัน |
||
วาร์ฟารินเป็นอนุพันธ์ (derivative) สังเคราะห์ของไดคูมารอล (dicoumarol) [[พิษเห็ดรา]]สารกันเลือดเป็นลิ่มที่มาจาก 4-ไฮดรอกซีคูมารินซึ่งแต่เดิมค้นพบในอาหารสัตว์ถั่วหวาน (sweet clover) ที่เน่าเสีย ไดคูมารอลนั้นมาจากคูมารอนอีกต่อหนึ่ง ซึ่งเป็นสารเคมีที่มีกลิ่นหวานแต่ไม่มีฤทธิ์เลือดจับลิ่มซึ่งพบตามธรรมชาติในถั่วหวาน (อันเป็นที่มาของกลิ่นและชื่อ) ถั่วทองกา (tonka bean, หรือ "คูมารู" อันเป็นที่มาของชื่อคูมาริน) และพืชอีกหลายชนิด ชื่อ "วาร์ฟาริน" มาจากการค้นพบที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน โดยรวมรัสพจน์ขององค์การซึ่งให้ทุนการวิจัยหลัก "WARF" ย่อมาจากมูลนิธิวิจัยศิษย์เก่าวิสคอนซิน และปิดด้วย "-arin" ซึ่งชี้การโยงกับคูมาริน |
วาร์ฟารินเป็นอนุพันธ์ (derivative) สังเคราะห์ของไดคูมารอล (dicoumarol) [[พิษเห็ดรา]]สารกันเลือดเป็นลิ่มที่มาจาก 4-ไฮดรอกซีคูมารินซึ่งแต่เดิมค้นพบในอาหารสัตว์ถั่วหวาน (sweet clover) ที่เน่าเสีย ไดคูมารอลนั้นมาจากคูมารอนอีกต่อหนึ่ง ซึ่งเป็นสารเคมีที่มีกลิ่นหวานแต่ไม่มีฤทธิ์เลือดจับลิ่มซึ่งพบตามธรรมชาติในถั่วหวาน (อันเป็นที่มาของกลิ่นและชื่อ) ถั่วทองกา (tonka bean, หรือ "คูมารู" อันเป็นที่มาของชื่อคูมาริน) และพืชอีกหลายชนิด ชื่อ "วาร์ฟาริน" มาจากการค้นพบที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน โดยรวมรัสพจน์ขององค์การซึ่งให้ทุนการวิจัยหลัก "WARF" ย่อมาจากมูลนิธิวิจัยศิษย์เก่าวิสคอนซิน และปิดด้วย "-arin" ซึ่งชี้การโยงกับคูมาริน |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 23:58, 30 ธันวาคม 2557
ข้อมูลทางคลินิก | |
---|---|
ชื่อทางการค้า | Coumadin, Jantoven, Marevan |
AHFS/Drugs.com | โมโนกราฟ |
MedlinePlus | a682277 |
ข้อมูลทะเบียนยา | |
ระดับความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์ | |
ช่องทางการรับยา | ปากหรือฉีดเข้าหลอดเลือดดำ |
รหัส ATC | |
กฏหมาย | |
สถานะตามกฏหมาย | |
ข้อมูลเภสัชจลนศาสตร์ | |
ชีวประสิทธิผล | 79-100% (ทางปาก)[2] |
การจับกับโปรตีน | 99%[1] |
การเปลี่ยนแปลงยา | ตับ: CYP2C9, 2C19, 2C8, 2C18, 1A2 และ 3A4[1] |
ครึ่งชีวิตทางชีวภาพ | 20-60 ชั่วโมง (ค่าเฉลี่ย: 40 ชั่วโมง)[1] |
การขับออก | ไต (92%)[1] |
ตัวบ่งชี้ | |
| |
เลขทะเบียน CAS |
|
PubChem CID | |
DrugBank | |
ChemSpider | |
UNII | |
KEGG | |
ChEBI | |
ChEMBL | |
ECHA InfoCard | 100.001.253 |
ข้อมูลทางกายภาพและเคมี | |
สูตร | C19H16O4 |
มวลต่อโมล | 308.33 g/mol g·mol−1 |
แบบจำลอง 3D (JSmol) | |
| |
| |
7 (what is this?) (verify) | |
วาร์ฟาริน (อังกฤษ: warfarin, หรือชื่อการค้า คูมาดิน, มารีแวน, ยูนิวาร์ฟิน) เป็นสารกันเลือดเป็นลิ่มซึ่งปกติใช้ป้องกันภาวะหลอดเลือดมีลิ่มเลือดและภาวะลิ่มเลือดหลุดอุดหลอดเลือด วาร์ฟารินมักเรียกผิด ๆ ว่าเป็น "ยาเจือจางเลือด" (blood thinner) เริ่มใช้ใน ค.ศ. 1948 ทีแรกเป็นสารฆ่าสัตว์รังควานต่อหนูและหนูหริ่ง และปัจจุบันยังใช้เพื่อความมุ่งหมายนี้ แม้มีการพัฒนาพิษที่แรงกว่าอย่างโบรไดฟาคุม (brodifacoum) นับแต่นั้น ในต้นคริสต์ทศวรรษ 1950 พบว่า วาร์ฟารินให้ผลป้องกันภาวะหลอดเลือดมีลิ่มเลือดและภาวะลิ่มเลือดหลุดอุดหลอดเลือดในหลายโรคได้และค่อนข้างปลอดภัย ได้รับอนุมัติให้ใช้เป็นยารักษาโรคใน ค.ศ. 1954 และยังได้รับความนิยมนับแต่นั้น วาร์ฟารินเป็นสารกันเลือดเป็นลิ่มชนิดรับประทานที่จ่ายมากที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ[3]
แม้ด้วยประสิทธิผลของมัน แต่การรักษาด้วยวาร์ฟารินมีข้อเสียหลายประการ ยารักษาโรคที่ใช้บ่อยหลายตัวมีอันตรกิริยากับวาร์ฟาริน เช่นเดียวกับอาหารบางชนิด เช่น อาหารผักใบหรือ "เขียว" เนื่องจากผักใบตรงแบบมีวิตามินเค1 ปริมาณสูง) และต้องเฝ้าสังเกตกัมมันตภาพของมันโดยการตรวจเลือดหาอัตราส่วนทำให้เป็นบรรทัดฐานระหว่างประเทศ (international normalized ratio, INR) เพื่อรับประกันว่าได้ขนาดเหมาะสมแต่ปลอดภัย[4] INR ที่สูงโน้มเอียงต่อความเสี่ยงเลือดไหลที่สูง แต่ INR ที่ต่ำกว่าเป้าหมายรักษาโรคได้บ่งชี้ว่าขนาดของวาร์ฟารินไม่เพียงพอป้องกันเหตุการณ์ลิ่มเลือดหลุดอุดหลอดเลือด
วาร์ฟารินกับโมเลกุลซึ่งมี 4-ไฮดรอกซีคูมาริน (4-hydroxycoumarin) ที่สัมพันธ์ลดเลือดจับลิ่มโดยยับยั้งวิตามินเคอีพ็อกไซด์รีดักเทส (vitamin K epoxide reductase) ซึ่งเป็นเอนไซม์ซึ่งรีไซเคิลวิตามินเค1 ที่ถูกออกซิไดส์เป็นรูปรีดิวส์ของมันหลังร่วมในปฏิกิริยาคาร์บ็อกซิเลชัน (carboxylation) ของโปรตีนเลือดจับลิ่มหลายตัว หลัก ๆ คือ โปรทรอมบิน (prothrombin) และ แฟ็กเตอร์ 7 (factor VII) วาร์ฟาริน แม้ถูกระบุว่าเป็นสารต้านวิตามินเค[4] แต่มิได้ต้านฤทธิ์ของวิตามินเค1 แต่ต้านการรีไซเคิลวิตามินเค1 ทำให้วิตามินเค1 กัมมันต์หมดไป[5] ฉะนั้น อาจผันกลับฤทธิ์เภสัชวิทยาได้เสมอโดยวิตามินเค1 เมื่อให้แล้ว ยาเหล่านี้ไม่ต้านเลือดจับลิ่มทันที แต่การเริ่มต้นออกฤทธิ์ใช้เวลาประมาณหนึ่งวันก่อนแฟกเตอร์จับลิ่มกัมมันต์ที่เหลืออยู่มีเวลาหมดไปตามธรรมชาติในเมแทบอลิซึม และระยะออกฤทธิ์ของวาร์ฟารินขนาดเดียว คือ 2 ถึง 5 วัน การผันกลับของฤทธิ์วาร์ฟารินเมื่อหยุดให้หรือให้วิตามินเค1 ใช้เวลาพอ ๆ กัน
วาร์ฟารินเป็นอนุพันธ์ (derivative) สังเคราะห์ของไดคูมารอล (dicoumarol) พิษเห็ดราสารกันเลือดเป็นลิ่มที่มาจาก 4-ไฮดรอกซีคูมารินซึ่งแต่เดิมค้นพบในอาหารสัตว์ถั่วหวาน (sweet clover) ที่เน่าเสีย ไดคูมารอลนั้นมาจากคูมารอนอีกต่อหนึ่ง ซึ่งเป็นสารเคมีที่มีกลิ่นหวานแต่ไม่มีฤทธิ์เลือดจับลิ่มซึ่งพบตามธรรมชาติในถั่วหวาน (อันเป็นที่มาของกลิ่นและชื่อ) ถั่วทองกา (tonka bean, หรือ "คูมารู" อันเป็นที่มาของชื่อคูมาริน) และพืชอีกหลายชนิด ชื่อ "วาร์ฟาริน" มาจากการค้นพบที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน โดยรวมรัสพจน์ขององค์การซึ่งให้ทุนการวิจัยหลัก "WARF" ย่อมาจากมูลนิธิวิจัยศิษย์เก่าวิสคอนซิน และปิดด้วย "-arin" ซึ่งชี้การโยงกับคูมาริน
ที่ใช้ในทางการแพทย์
มีการใช้วาร์ฟารินเพื่อลดโอกาสการเกิดลิ่มเลือดหรือเพื่อป้องกันการเกิดขึ้นซ้ำของลิ่มเลือดในผู้ที่มีลิ่มเลือดเกิดขึ้นอยู่ก่อนแล้ว (การป้องกันระดับทุติยภูมิ) การรักษาด้วยวาร์ฟารินสามารถลดการเกิดลิ่มเลือดและลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะลิ่มเลือดหลุดอุดหลอดเลือดได้ด้วย[6]
ข้อห้ามใช้
สตรีมีครรภ์
วาร์ฟารินเป็นยาที่ห้ามใช้ในผู้ตั้งครรภ์ เนื่องจากเป็นยาที่สามารถผ่านรกไปยังทารกในครรภ์ และอาจทำให้ทารกในครรภ์มีเลือดออกได้ การใช้วาร์ฟารินในผู้ตั้งครรภ์พบว่ามีความสัมพันธ์กับการแท้ง การตายคลอด การตายของทารกแรกเกิด และการคลอดก่อนกำหนด[7] นอกจากนี้ยาในกลุ่มคูมาริน (รวมทั้งวาร์ฟารินด้วย) ยังเป็นสารก่อวิรูป ทำให้ทารกมีความผิดปกติแต่กำเนิดได้ อุบัติการณ์ของการเกิดความผิดปกติแต่กำเนิดในทารกที่ได้รับวาร์ฟารินขณะอยู่ในครรภ์อยู่ที่ประมาณ 5% แต่งานวิจัยบางชิ้นพบว่ามีอุบัติการณ์สูงถึง 30%[8] ความผิดปกติแต่กำเนิดที่พบได้บ่อยในทารกที่ได้รับวาร์ฟารินตั้งแต่ในครรภ์มีอยู่สองแบบ ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่ได้รับยา[7]
หากทารกได้รับวาร์ฟาริน (หรือสารอนุพันธ์ของ 4-hydroxycoumarin อื่นๆ) ในช่วงของการตั้งครรภ์ไตรมาสแรก โดยเฉพาะในช่วงอายุครรภ์ 6-9 สัปดาห์ ทารกอาจมีกลุ่มของความผิดปกติที่เรียกว่า กลุ่มอาการทารกในครรภ์ได้รับยาวาร์ฟาริน (fetal warfaryn syndrome, FWS) ซึ่งมีชื่อเรียกอื่นอีกว่า warfarin embryopathy (พยาธิสภาพของตัวอ่อนที่เกิดจากวาร์ฟาริน) หรือ coumarin embryopathy (พยาธิสภาพของตัวอ่อนที่เกิดจากคูมาริน)
ผลข้างเคียง
การตกเลือด
ภาวะไม่พึงประสงค์จากยาที่พบบ่อยที่สุดของวาร์ฟารินคือการตกเลือด ความเสี่ยงของการมีเลือดออกรุนแรงนั้นพบได้ไม่บ่อยแต่ได้รับการพิสูจน์ยืนยันแล้ว (มัธยฐานของอัตราการเกิดภาวะไม่พึงประสงค์ต่อปีอยู่ที่ 0.9-2.7%) แพทย์ผู้สั่งยาจะต้องพิจารณาว่าประโยชน์ใดๆ ที่คาดว่าจะได้รับจากการใช้ยาวาร์ฟาริน มีความคุ้มค่ากับความเสี่ยงของการเกิดเลือดออกนี้ จึงจะพิจารณาสั่งยาได้
ประวัติศาสตร์
ช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1920 มีการระบาดของโรคปศุสัตว์อย่างหนึ่งในประเทศแคนาดาและตอนเหนือของประเทศสหรัฐอเมริกา สัตว์ที่ป่วยจะมีการตกเลือดอย่างมากหลังมีบาดแผลเล็กน้อย หรือบางครั้งตกเลือดเองโดยไม่มีบาดแผลใดๆ รายงานหนึ่งพบว่ามีวัว 21 ใน 22 ตัว ตกเลือดจนเสียชีวิตหลังการตัดเขา และวัวกระทิง 12 ใน 25 ตัว ตกเลือดจนเสียชีวิตหลังถูกตอน
อ้างอิง
- ↑ 1.0 1.1 1.2 1.3 "PRODUCT INFORMATION COUMADIN" (PDF). TGA eBusiness Services. Aspen Pharma Pty Ltd. 19 January 2010. สืบค้นเมื่อ 11 December 2013.
- ↑ Holford, NH (December 1986). "Clinical Pharmacokinetics and Pharmacodynamics of Warfarin Understanding the Dose-Effect Relationship". Clinical Pharamacokinetics. Springer International Publishing. 11 (6): 483–504. doi:10.2165/00003088-198611060-00005. PMID 3542339.
{{cite journal}}
: line feed character ใน|title=
ที่ตำแหน่ง 48 (help) - ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อHolbrook2005
- ↑ 4.0 4.1 Ansell J, Hirsh J, Hylek E; และคณะ (2008). "Pharmacology and management of the vitamin K antagonists: American College of Chest Physicians evidence-based clinical practice guidelines (8th Edition)". Chest. 133 (6 Suppl): 160S–198S. doi:10.1378/chest.08-0670. PMID 18574265.
{{cite journal}}
: ใช้ et al. อย่างชัดเจน ใน|author=
(help)CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑ Holford NH. Clinical pharmacokinetics and pharmacodynamics of warfarin. Understanding the dose-effect relationship. Clin Pharmacokinet 1986; 11: 483–504.
- ↑ "coumadin". The American Society of Health-System Pharmacists. สืบค้นเมื่อ 3 April 2011.
- ↑ 7.0 7.1 Macina, Orest T.; Schardein, James L. (2007). "Warfarin". Human Developmental Toxicants. Boca Raton: CRC Taylor & Francis. pp. 193–4. ISBN 0-8493-7229-1.
{{cite book}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) Retrieved on 15 December 2008 through Google Book Search. - ↑ Loftus, Christopher M. (1995). "Fetal toxicity of common neurosurgical drugs". Neurosurgical Aspects of Pregnancy. Park Ridge, Ill: American Association of Neurological Surgeons. pp. 11–3. ISBN 1-879284-36-7.
แหล่งข้อมูลอื่น
- Warfarin pesticide profile from US Department of Agriculture
- Warfarin factsheet from the Royal Society of Chemistry