ผลต่างระหว่างรุ่นของ "จินตนาการไม่รู้จบ"
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
|||
บรรทัด 31: | บรรทัด 31: | ||
== ประเด็นหลัก == |
== ประเด็นหลัก == |
||
ผลงานของ มิชาเอล เอนเด้ มีจุดเด่นในการอธิบายสิ่งปกติธรรมดาที่เราพบเจออยู่ทุกวัน แต่ถูกละเลยและให้ความสำคัญผิดไป โดยใช้เด็กที่ถูกโดดเดียวจากสังคมเป็นตัวเดินเรื่อง หนังสือจะให้เราตั้งคำถาม |
ผลงานของ มิชาเอล เอนเด้ มีจุดเด่นในการอธิบายสิ่งปกติธรรมดาที่เราพบเจออยู่ทุกวัน แต่ถูกละเลยและให้ความสำคัญผิดไป โดยใช้เด็กที่ถูกโดดเดียวจากสังคมเป็นตัวเดินเรื่อง หนังสือจะให้เราตั้งคำถามกับตัวเอง |
||
ว่าการที่เราอยู่ในโลกที่จินตนาการเหือดหาย ต้องคอยแข่งขันกับคนอื่นเพื่อรักษาภาพลักษณ์ทางสังคมของเรานั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วหรือ หนังสือจะให้เราฉุกคิดกับสิ่งที่เราหลงลืม ซึ่งเป็นธรรมชาติที่แท้จริงของตัวเรา บอกว่าเราจะอยู่ในโลกของความจริงด้วยความรู้สึกลวงๆ หรือจะค้นหาความปรารถนาที่แท้จริงที่ซ่อนอยู่ในจิตใจเรา |
|||
ที่แท้จริงของตัวเรา บอกว่าเราจะอยู่ในโลกของความจริงด้วยความรู้สึกลวงๆ หรือจะค้นหาความปรารถนาที่แท้จริงที่ซ่อนอยู่ในจิตใจเรา |
|||
หนังสือจะนำพาเราสู่โลกของจิตใจ ที่ทุกอย่างเราเป็นคนสร้างขึ้นมาเองตามคำปรารถนา แรงผลักดันที่ทำให้โลกนี้เกิิิดขึ้นมาก็คือเรา แต่การที่เราจะสามารถค้นหาทางเข้าออกของจิตใจได้นั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ |
หนังสือจะนำพาเราสู่โลกของจิตใจ ที่ทุกอย่างเราเป็นคนสร้างขึ้นมาเองตามคำปรารถนา แรงผลักดันที่ทำให้โลกนี้เกิิิดขึ้นมาก็คือเรา แต่การที่เราจะสามารถค้นหาทางเข้าออกของจิตใจได้นั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ หนังสือนำเสนอผ่านการผจญภัยในโลกแฟนตาซีได้อย่างตื่นตาตื่นใจ แต่ขณะเดียวกันก็แฝงปรัชญาในการเข้าใจชีวิตเข้าไปอย่างแนบเนียน |
||
หนังสือนำเสนอผ่านการผจญภัยในโลกแฟนตาซีได้อย่างตื่นตาตื่นใจ แต่ขณะเดียวกันก็แฝงปรัชญาในการเข้าใจชีวิตเข้าไปอย่างแนบเนียน |
|||
== แหล่งข้อมูลอื่น == |
== แหล่งข้อมูลอื่น == |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 21:22, 12 มิถุนายน 2556
จินตนาการไม่รู้จบ | |
---|---|
ปกหนังสือ จินตนาการไม่รู้จบ ฉบับพิมพ์ พ.ศ. 2540 | |
ผู้ประพันธ์ | มิชาเอล เอนเด้ |
ชื่อเรื่องต้นฉบับ | The Neverending Story |
ผู้แปล | รัตนา รัตนดิลกชัย |
ประเทศ | เยอรมัน |
ภาษา | เยอรมัน |
ประเภท | นวนิยายแฟนตาซี |
สำนักพิมพ์ | Thienemann Verlag สำนักพิมพ์เรไร |
วันที่พิมพ์ | พ.ศ. 2522 พ.ศ. 2537 |
จินตนาการไม่รู้จบ (อังกฤษ: The Neverending Story; เยอรมัน: Die unendliche Geschichte) เป็นนวนิยายแฟนตาซีของ มิชาเอล เอนเด้ ตีพิมพ์ครั้งแรกในประเทศเยอรมันเมื่อปี ค.ศ. 1979 ฉบับแปลภาษาอังกฤษโดย ราล์ฟ แมนเฮม ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1983 ต่อมานวนิยายเรื่องนี้ได้ดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ทั้งหมด 3 ภาค โดยภาคที่มีความใกล้เคียงต้นฉบับมากที่สุดคือภาคแรก ซึ่งได้นำชื่อหนังสือมาใช้เป็นชื่อภาพยนตร์ได้นำออกฉายเมื่อปี ค.ศ. 1984 กำกับโดย โวล์ฟกัง ปีเตอร์เซน นอกจากนี้ยังได้มีการดัดแปลงเป็นมินิซีรีส์เมื่อปี ค.ศ. 2001
เหตุการณ์ในเรื่องเกิดขึ้นในดินแดนที่ชื่อว่า แฟนตาสติกา (Fantastica) หรือในฉบับภาพยนตร์เรียกว่า แฟนตาเซีย (Fantasia) ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของยุวจักรพรรดินี ที่มีลักษณะเหมือนเด็ก ซึ่งกำลังประชวรอยู่ และโลกแห่งนี้กำลังถูกทำลายลงด้วย "ความว่างเปล่า" ซึ่งเกี่ยวพันกับอาการประชวรของพระองค์ ยุวจักรพรรดินีจึงขอร้องให้อัทเทรอูไปตามหาคนมาช่วย ซึ่งเรื่องราวการผจญภัยทั้งหมดได้ถูกอ่านโดยบาสเตียนเด็กชายจากโลกอันแท้จริง ซึ่งกำลังอ่านหนังสือจินตนาการไม่รู้จบอยู่ และได้ค้นพบว่าตัวของเขาเองนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวในหนังสือนี้ด้วย
การแปลเป็นภาษาไทย แปลโดย รัตนา รัตนดิลกชัย จัดพิมพ์ในไทยครั้งแรกโดย สำนักพิมพ์เรไร ปี พ.ศ. 2537 ปัจจุบันได้มีการจัดทำรูปเล่มใหม่เพื่อให้อ่านได้ง่ายขึ้นโดยใช้หมึกสองสี เพื่อแยกเรื่องราวระหว่างโลกในจินตนาการกับโลกของความเป็นจริง จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์แพรวเยาวชน ปี พ.ศ. 2554
ประเด็นหลัก
ผลงานของ มิชาเอล เอนเด้ มีจุดเด่นในการอธิบายสิ่งปกติธรรมดาที่เราพบเจออยู่ทุกวัน แต่ถูกละเลยและให้ความสำคัญผิดไป โดยใช้เด็กที่ถูกโดดเดียวจากสังคมเป็นตัวเดินเรื่อง หนังสือจะให้เราตั้งคำถามกับตัวเอง ว่าการที่เราอยู่ในโลกที่จินตนาการเหือดหาย ต้องคอยแข่งขันกับคนอื่นเพื่อรักษาภาพลักษณ์ทางสังคมของเรานั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วหรือ หนังสือจะให้เราฉุกคิดกับสิ่งที่เราหลงลืม ซึ่งเป็นธรรมชาติที่แท้จริงของตัวเรา บอกว่าเราจะอยู่ในโลกของความจริงด้วยความรู้สึกลวงๆ หรือจะค้นหาความปรารถนาที่แท้จริงที่ซ่อนอยู่ในจิตใจเรา
หนังสือจะนำพาเราสู่โลกของจิตใจ ที่ทุกอย่างเราเป็นคนสร้างขึ้นมาเองตามคำปรารถนา แรงผลักดันที่ทำให้โลกนี้เกิิิดขึ้นมาก็คือเรา แต่การที่เราจะสามารถค้นหาทางเข้าออกของจิตใจได้นั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ หนังสือนำเสนอผ่านการผจญภัยในโลกแฟนตาซีได้อย่างตื่นตาตื่นใจ แต่ขณะเดียวกันก็แฝงปรัชญาในการเข้าใจชีวิตเข้าไปอย่างแนบเนียน