โยชิโตชิ
สึกิโอกะ โยชิโตชิ | |
---|---|
เกิด | 30 เมษายน ค.ศ. 1839 เอโดะ ประเทศญี่ปุ่น |
เสียชีวิต | 9 มิถุนายน ค.ศ. 1892 (53 ปี) เรียวโงกุ, โตเกียว, ประเทศญี่ปุ่น |
สัญชาติ | ญี่ปุ่น |
มีชื่อเสียงจาก | ภาพอูกิโยะ |
คู่สมรส |
|
บุตร | 2 |
สึกิโอกะ โยชิโตชิ (ญี่ปุ่น: 月岡 芳年; หรือ ไทโซะ โยชิโตชิ (大蘇 芳年); 30 เมษายน ค.ศ. 1839 - 9 มิถุนายน ค.ศ. 1892) โดยทั่วไปแล้วถือกันว่าเป็นจิตรกร[1]ภาพพิมพ์แกะไม้อูกิโยะคนสำคัญคนสุดท้ายของสำนักศิลปินอูตางาวะชาวญี่ปุ่น และเป็นผู้ที่มีความสามารถในการแสวงหาแนวใหม่ งานของโยชิโตชิคาบระหว่างสองสมัย – ปลายสมัยศักดินาของญี่ปุ่นและต้นญี่ปุ่นสมัยใหม่หลักจากการปฏิรูปเมจิ โยชิโตชิก็เช่นเดียวกับชาวญี่ปุ่นหลายคนที่มีความสนใจกับสิ่งแปลกๆ ใหม่จากโลกภายนอก แต่ในปีต่อๆ มาโยชิโตชิก็เริ่มมีความกังวลกับการสูญเสียวัฒนธรรมอันมีค่าหลายอย่างของญี่ปุ่นที่รวมทั้งศิลปะการทำภาพพิมพ์แกะไม้
เมื่อถึงตอนปลายของอาชีพโยชิโตชิก็แทบจะเป็นผู้เดียวที่ต้องดิ้นรนต่อสู้กับกาลเวลาและเทคโนโลยีที่คืบคลานเข้ามา ขณะที่โยชิโตชิยังคงใช้เวลาโบราณในการผลิตงานภาพพิมพ์ญี่ปุ่นก็เริ่มเข้าสู่ยุคการผลิตระดับอุตสาหกรรมตามแบบฉบับของโลกตะวันตกเช่นงานการถ่ายภาพ และ ภาพพิมพ์หิน แต่กระนั้นขณะที่ญี่ปุ่นหันหลังให้กับอดีตของตนเองโยชิโตชิก็พัฒนาศิลปะการทำภาพพิมพ์แกะไม้ตามธรรมเนียมญี่ปุ่นให้ขึ้นไปอีกระดับหนึ่งก่อนที่ศิลปะดังกล่าวจะตายตามโยชิโตชิไป
ชีวิตของโยชิโตชิอาจจะสรุปตามคำกล่าวของจอห์น สตีเฟนสันว่า:
- ความกล้าหาญ ความเห็นการณ์ไกล และ พลานุภาพของโยชิโตชิเป็นแรงยืดอายุอูกิโยะออกไปอีกชั่วคนหนึ่ง และเป็นประทีปดวงสุดท้ายที่ให้ความรุ่งเรืองแก่ศิลปดังกล่าวเป็นครั้งสุดท้าย
- —จอห์น สตีเฟนสัน, Yoshitoshi's One Hundred Aspects of the Moon, ค.ศ. 1992
ชื่อเสียงของของโยชิโตชิมีแต่จะยิ่งเพิ่มขึ้นทั้งทางตะวันตกและในกลุ่มชาวญี่ปุ่นรุ่นเด็กเอง และในปัจจุบันก็ยอมรับกันว่าเป็นศิลปินคนสำคัญที่สุดคนหนึ่งของญี่ปุ่นของสมัยนั้น
ประวัติชีวิตเบื้องต้น
[แก้]คูนิโยชิเกิดในดิสตริคท์ชิมบาชิในเอโดะเก่าในปี ค.ศ. 1839 บิดาของคูนิโยชิเป็นพ่อค้าที่มีฐานะมั่งคั่งผู้ใช้เงินในการเลื่อนฐานะตนเองขึ้นสู่ฐานะซามูไร เมื่ออายุได้สามขวบคูนิโยชิก็ออกจากบ้านไปพำนักอยู่กับลุงผู้เป็นเภสัชกรผู้ไม่มีลูกชายและรักคูนิโยชิ พออายุได้ห้าขวบคูนิโยชิก็เริ่มมีความสนใจในศิลปะและเริ่มเล่าเรียนกับลุง ในปี ค.ศ. 1850 เมื่ออายุ 11 ก็ไปฝึกงานกับอูตางาวะ คูนิโยชิผู้เป็นจิตรกรสำคัญที่สุดคนหนึ่งของศิลปะการทำภาพพิมพ์แกะไม้ของญี่ปุ่น คูนิโยชิให้นามใหม่แก่ลูกศิษย์ที่มีชื่อเดิมว่า โอวาริยะ โยะเนะยิโระ แม้ว่าจะไม่เป็นที่ยอมรับกันว่าโยชิโตชิเป็นผู้สืบทอดงานพิมพ์ของอูตางาวะ คูนิโยชิในระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ในปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันว่าโยชิโตชิเป็นลูกศิษย์คนสำคัญที่สุดของอูตางาวะ คูนิโยชิ
ระหว่างการฝึกงานโยชิโตชิก็เน้นการศึกษาในด้านการร่างและเขียนภาพและทำงานก็อปปีจากงานของปรมาจารย์ คูนิโยชิเน้นการวาดจากชีวิตจริง ซึ่งแตกต่างเป็นอันมากไปจากการฝึกหัดการเขียนภาพแบบญี่ปุ่น เพราะหน้าที่ของศิลปินคือการแสดงหัวเรื่องที่วาดมิใช่การตีความหมายสิ่งที่วาด นอกจากนั้นแล้วโยชิโตชิก็ยังศึกษาองค์ประกอบของเทคนิคของการวาดภาพแบบตะวันตก และ ทัศนมิติโดยการศึกษาจากงานสะสมภาพพิมพ์ของตะวันตกของคูนิโยชิ
งานพิมพ์ชิ้นแรกของโยชิโตชิสร้างในปี ค.ศ. 1853 แต่ก็ไม่มีงานชิ้นอื่นที่ตามมาอยู่อีกหลายปี ซึ่งอาจจะเป็นเพราะความเจ็บป่วยของปรมาจารย์คูนิโยชิในบั้นปลายของชีวิต แม้ว่าจะประสบกับความลำบากหลังจากการเสียชีวิตของอาจารย์ในปี ค.ศ. 1861 โยชิโตชิก็มีผลงานบ้างที่รวมทั้ง งานภาพพิมพ์ 44 ภาพจากปี ค.ศ. 1862 ในช่วงสองปีต่อมาโยชิโตชิก็มีงานออกแบบภาพพิมพ์ 63 ภาพที่ส่วนใหญ่เป็นภาพคาบูกิ นอกจากนั้นก็ยังช่วยในการออกแบบภาพชุด Tokaido ในปี ค.ศ. 1863 ของศิลปินของสำนักศิลปินอูตางาวะที่จัดขึ้นโดยอูตางาวะ คูนิซาดะ
ภาพนองเลือดที่สร้างความนิยมในหมู่ประชาชน
[แก้]ภาพพิมพ์ส่วนใหญ่ของโยชิโตชิของคริสต์ทศวรรษ 1860 เป็นภาพที่มีเนื้อหารุนแรงและเกี่ยวกับความตาย หัวข้อการเขียนมีแรงบันดาลใจบางส่วนมาจากความตายของบิดาในปี ค.ศ. 1863 และจากสังคมที่โหดร้ายปราศจากกฎหมายของสังคมรอบตัว ที่นำมาซึ่งการสลายตัวของระบบศักดินาที่บริหารโดยรัฐบาลโชกุนโทกูงาวะ รวมทั้งผลของการติดต่อกับโลกตะวันตก ในปลายปี ค.ศ. 1863 โยชิโตชิก็เริ่มเขียนภาพความโหดร้ายและในที่สุดก็รวมเข้าเป็นภาพพิมพ์เกี่ยวกับการต่อสู้อันเต็มไปด้วยการนองเลือด สาธารณชนนิยมภาพประเภทนี้ซึ่งทำให้โยชิโตชิกลายเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายและเพิ่มอันดับความสำคัญในหมู่ศิลปินภาพอูกิโยะในเอโดะ ขณะที่ญี่ปุ่นอยู่ในระหว่างสงครามโยชิโตชิก็ช่วยให้ผู้ที่มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้มีประสบการณ์จากภาพที่ตนออกแบบ สาธารณชนมิได้นิยมงานของโยชิโตชิเฉพาะแต่การวางองค์ประกอบของภาพและฝีมือการวาด แต่การลงแรงลงใจในหัวข้อและเนื้อหาที่เขียนด้วย นอกจากนั้นจะต้องการที่จะสนองความต้องการงานภาพพิมพ์ของสำนักพิมพ์และผู้ซื้อภาพแล้ว โยชิโตชิก็ยังพยายามที่จะกำจัดสิ่งชั่วร้ายต่างๆ ที่เพื่อนร่วมชาติกำลังต้องประสบอีกด้วย
เมื่อมีชื่อเสียงมากขึ้นโยชิโตชิก็สามารถพิมพ์งานออกแบบภาพพิมพ์อีก 95 ชิ้นในปี ค.ศ. 1865 ที่ส่วนใหญ่เป็นภาพที่เป็นหัวเรื่องเกี่ยวกับทหารหรือประวัติศาสตร์ได้ ในบรรดาภาพเหล่านี้ก็มีภาพสองชุดที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถในทางสร้างสรร ความเป็นต้นฉบับ และ ความมีจินตนาการของโยชิโตชิ ชุดแรกคือ Tsûzoku saiyûki (“การเดินทางไปยังตะวันตก”) ซึ่งเป็นภาพชุดที่เกี่ยวกับวีรบุรุษของประชาชนชาวจีน ชุดที่สองโยชิโตชิ Wakan hyaku monogatari (“ร้อยเรื่องเกี่ยวกับญี่ปุ่นและจีน”) ซึ่งเป็นภาพเกี่ยวกับปีศาจ ภาพที่เต็มไปด้วยจินตนาการทำให้งานของโยชิโตชิแตกต่างจากศิลปินร่วมสมัยคนอื่นๆ
ระหว่างปี ค.ศ. 1866 จนถึงปี ค.ศ. 1868 โยชิโตชิก็สร้างงานที่สร้างความกระทบกระเทือนทางอารมณ์ให้แก่ผู้ชมเป็นอันมากโดยเฉพาะในชุด Eimei nijûhasshûku (การฆาตกรรมยี่สิบสี่กรณีพร้อมคำบรรยาย) ภาพชุดนี้แสดงให้เห็นการฆ่าคนด้วยวิธีต่างอย่างชัดแจ้งเช่นการฆ่าโดยการตัดร่างของสตรีเป็นชิ้นโดยมีรอยมือของฆาตกรประทับอยู่บนเสื้อผ้าทั้งของฆาตกรและเหยื่อ ตัวอย่างอื่นก็ได้แก่ภาพในชุดที่สร้างในปี ค.ศ. 1866 Kinsei kyôgiden (ประวัติชีวิตของคนสมัยใหม่) ซึ่งเป็นภาพความขัดแย้งทางอำนาจระหว่างกลุ่มนักเล่นการพนันสองกลุ่ม และ ภาพในชุดที่สร้างในปี ค.ศ. 1867 Azuma no nishiki ukiyo kôdan ที่สร้างหลังจากยุทธการอูเอโนะ ในปี ค.ศ. 1868 โยชิโตชิสร้างภาพชุด Kaidai hyaku sensô ซึ่งเป็นภาพของทหารร่วมสมัยในเครื่องแต่งกายแบบโบราณแบบกึ่งตะวันตก โดยใช้มุมมองที่ใกล้ตัวและที่แปลกออกไป ที่มักจะแสดงจุดสุดยอดของการต่อสู้ที่แสดงสีหน้าอันสิ้นหวัง
เชื่อกันว่างานของโยชิโตชิของสมัย "นองเลือด" มีอิทธิพลต่อนักเขียนเช่น จุงอิจิโร ทานิซากิ (ค.ศ. 1886–ค.ศ. 1965) และรวมทั้งศิลปินเช่น ทาดาโนริ โยโกโอะ และ มาซามิ เทราโอกะ แม้ว่าโยชิโตชิจะสร้างชื่อเสียงจากงานประเภท "นองเลือด" แต่อันที่จริงแล้วงานประเภทนี้เป็นเพียงส่วนน้อยของงานทั้งหมดที่สร้างขึ้น แต่เป็นงานที่มักจะถูกได้รับการเน้นมากกว่างานประเภทอื่น ซึ่งเป็นการสร้างภาพพจน์อันไม่ถูกต้องของโยชิโตชิ และทำให้เป็นการมองข้ามงานประเภทอื่นๆ และ ความลึกซึ้งของงานของโยชิโตชิ
สมัยกลาง: ความยากเข็ญและการฟื้นตัว
[แก้]เมื่อมาถึงปี ค.ศ. 1869 โยชิโตชิก็ถือกันว่าเป็นศิลปินภาพพิมพ์แกะไม้ผู้ที่มีฝีมือดีที่สุดในญี่ปุ่น แต่ไม่นานหลังจากนั้นโยชิโตชิก็หยุดได้รับงานจ้าง ซึ่งอาจจะเป็นเพราะสาธารณชนเกิดความเบื่อหน่ายกับงานที่เป็นฉากของความทารุณโหดร้าย เมื่อมาถึงปี ค.ศ. 1871 โยชิโตชิก็ตกอยู่ในอารมณ์อันซึมเศร้าอย่างหนัก และชีวิตส่วนตัวก็เต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงและดำเนินต่อมาเป็นช่วงเช่นนั้นจนกระทั่งเสียชีวิต โยชิโตชิดำรงชีวิตอยู่ในสภาพอันลำบากแสนเข็ญกับภรรยาน้อยโอโกโตะผู้ภักดี ผู้ยอมขายเสื้อผ้าและทรัพย์สมบัติของตนเองเพื่อเลี้ยงดูโยชิโตชิ ความยากไร้ถึงจุดต่ำสุดครั้งหนึ่งเมื่อถึงกับต้องเผาพื้นบ้านเพื่อทำความร้อน เชื่อกันว่าในปี ค.ศ. 1872 โยชิโตชิก็เสียสติหลังจากที่ประสบกับปฏิกิริยาที่ขาดความนิยมต่องานชิ้นล่าสุดที่ไม่ได้คาดของงานที่เพิ่งออกแบบ
แต่ในปีต่อมาสถานการณ์ก็เปลี่ยนไปเมื่อสภาวะทางจิตใจค่อยกระเตื้องขึ้น และโยชิโตชิก็เริ่มออกแบบงานเพิ่มขึ้น ก่อนปี ค.ศ. 1873 ลงชื่อบนงานเขียนเกือบทุกชิ้นว่า "อิกไกไซ โยชิโตชิ" แต่หลังจากนั้นโยชิโตชิใช้ชื่อ "ไทโซะ" (ที่แปลว่า "การฟื้นฟูครั้งสำคัญ") เพื่อแสดงความมั่นใจในตนเอง ในช่วงนั้นก็มีการเริ่มหนังสือพิมพ์กันขึ้น โยชิโตชิได้รับการเชิญชวนให้สร้าง "news nishikie" ซึ่งเป็นงานภาพพิมพ์แกะไม้สำหรับภาพทั้งหน้าเพื่อประกอบบทความ ซึ่งมักจะเป็นภาพเชิงกระพือข่าวเช่นเรื่องเกี่ยวกับอาชญากรรม ฐานะทางการเงินของโยชิโตชิก็ยังอยู่ในสภาพที่ไม่ไคร่ดีนัก แต่ในปี ค.ศ. 1876 ภรรยาน้อยโอโกโตะตามธรรมเนียมการเสียสละของญี่ปุ่นเพื่อแสดงความภักดีต่อสามีก็ขายตัวให้แก่ซ่องเพื่อช่วยสามี
การปฏิวัติซัตสึมะปี ค.ศ. 1877 ที่ฝ่ายศักดินาพยายามเป็นครั้งสุดท้ายที่จะหยุดยั้งความก้าวหน้าของญี่ปุ่น หนังสือพิมพ์ก็ขายได้เหมือนเทน้ำ ซึ่งทำให้จิตรกรภาพพิมพ์แกะไม้เป็นที่ต้องการตัวกันมาก และทำให้ความนิยมในตัวโยชิโตชิเริ่มฟื้นฟูขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ภาพพิมพ์ที่ออกแบบทำให้สาธารณชนรู้จักผลงาน รายได้ก็ค่อยดีขึ้นแต่ก็ไม่จนกระทั่งปี ค.ศ. 1882 ที่เรียกได้ว่ามีฐานะมั่นคง
ในปลายปี ค.ศ. 1877 โยชิโตชิก็มีภรรยาน้อยคนใหม่เป็นเกอิชาชื่อโอรากุ ผู้เช่นเดียวกับโอโกโตะผู้ยอมขายเสื้อผ้าและทรัพย์สมบัติของตนเองเพื่อเลี้ยงดูโยชิโตชิ และหลังจากที่อยู่ร่วมกันได้ปีหนึ่ง โอรากุก็ขายตัวเข้าซ่อง
ในปี ค.ศ. 1878 โยชิโตชิออกแบบงานบิจิงะชุด Bita shichi yosei ที่ก่อให้เกิดปัญหาทางการเมืองให้แก่โยชิโตชิขึ้น เพราะเป็นภาพของสตรีเจ็ดคนที่มีหน้าที่ในราชสำนัก และระบุชื่อด้วยกันทุกคน อาจสาเหตุอาจจะเป็นได้ว่าตัวพระจักรพรรดินีเองไม่ทรงพอพระทัยกับลักษณะของภาพเหมือนของพระองค์ในภาพชุดดังกล่าวก็เป็นได้
ในปี ค.ศ. 1880 โยชิโตชิก็พบสตรีอีกคนหนึ่งที่เคยเป็นเกอิชาที่มีลูกสองคนชื่อซากามากิ ไทโกะ สองคนสมรสกันในปี ค.ศ. 1884 ขณะที่โยชิโตชิยังคงมีปัญหาแต่ความอดทนและความอ่อนโยนของซากามากิ ไทโกะดูเหมือนจะเป็นเครื่องที่ช่วยให้โยชิโตชิสงบลงบ้าง
ในปี ค.ศ. 1885 นิตยสารศิลปะและแฟชั่น "Tokyo Hayari Hosomiki" ลำดับโยชิโตชิเป็นที่หนึ่งในบรรดาศิลปินภาพอูกิโยะที่มีความสามารถเหนือกว่าศิลปินเมจิร่วมสมัยเช่นอูตางาวะ โยชิอิกุ และ โทโยฮาระ คูนิชิดะ ซึ่งทำให้โยชิโตชิได้รับชื่อเสียงและความนิยมในอันดับสูงสุด
เมื่อมาถึงช่วงนี้อุตสาหกรรมภาพพิมพ์แกะไม้ก็แทบจะไม่มีหลงเหลืออยู่แล้ว ศิลปินภาพพิมพ์แกะไม้ชั้นครูของต้นคริสต์ศตวรรษเช่นฮิโรชิเงะ, อูตางาวะ คูนิซาดะ และ อูตางาวะ คูนิโยชิ ต่างก็เสียชีวิตกันไปหลายสิบปีก่อนหน้านั้น และศิลปะภาพพิมพ์แกะไม้ก็เป็นศิลปะที่หมดความสำคัญลงท่ามกลางญี่ปุ่นที่ก้าวไปข้างหน้า
โยชิโตชิเน้นการรักษามาตรฐานของคุณภาพอันสูงส่งในการสร้างภาพพิมพ์แกะไม้ ซึ่งก็เป็นการพยุงชีวิตจากการเสื่อมโทรมของศิลปะอยู่ชั่วระยะหนึ่ง โยชิโตชิกลายมาเป็นปรมาจารย์ผู้มีลูกศิษย์คนสำคัญเช่นโทชิกาตะ มิซูโนะ, โทชิฮิเดะ มิงาตะ และอื่นๆ
บั้นปลาย
[แก้]บั้นปลายของชีวิตเป็นช่วงที่โยชิโตชิผลิตผลงานมากที่สุดที่รวมทั้งภาพชุด "ทัศนียภาพ 100 มุมของพระจันทร์" (ค.ศ. 1885–1892) และ ชุด "ปีศาจ 36 ตน" (Shinkei Sanjurokuten) (ค.ศ. 1889–1892) และภาพชุดของนักแสดงคะบูกิและฉาก
ในปี ค.ศ. 1885 โยชิโตชิสร้างงานชิ้นอื้อฉาวแต่มีพลังชื่อ “Oshu adachigahara hitotsuya no zu” (บ้านโดดเดี่ยวบนเนินอาดาจิ) ที่ไม่แต่จะเป็นงานที่ถือกันว่าเป็นไอคอนแต่ยังเป็นงานที่มีอิทธิพลต่อประวัติของการพันธนาการ (kinbaku) สมัยใหม่ที่มีอิทธิพลต่อผู้มีความสนใจต่อมาเช่น Seiu Ito
ในช่วงเดียวกันนี้โยชิโตชิก็ร่วมมือกับเพื่อนที่เป็นนักแสดงDanjuroและผู้อื่นในการพยายามที่จะอนุรักษ์ศิลปะโบราณของญี่ปุ่น
ในช่วงสองสามปีสุดท้ายของชีวิตอาการทางจิตก็เริ่มหวนกลับมาอีกครั้งหนึ่ง เมื่อต้นปี ค.ศ. 1891 โยชิโตชิเชิญชวนเพื่อนมาร่วมการพบปะกับกลุ่มศิลปินที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง นอกจากนั้นสุขภาพก็เสื่อมโทรมลง และ มาทับถมด้วยการสูญเสียทรัพย์สินเงินทองไปหมดเมื่อบ้านถูกโจรกรรม หลังจากที่อาการกำเริบหนักขึ้นโยชิโตชิก็ถูกส่งตัวเข้ารักษาในโรงพยาบาลโรคจิต และก็ออกจากโรงพยาบาลเมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1892 แต่ไม่ได้กลับบ้าน แต่ไปเช่าห้องอยู่
โยชิโตชิเสียชีวิตอีกสามอาทิตย์ต่อมาในห้องเช่าเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน ค.ศ. 1892 เมื่อมีอายุได้เพียง 53 ปี จากเส้นโลหิตในสมองแตก แผ่นหินอนุสรณ์แด่โยชิโตชิได้รับการสร้างขึ้นใน Higashi-okubo ที่โตเกียวในปี ค.ศ. 1898
- holding back the night
- with its increasing brilliance
- the summer moon
- -- โคลงมรณะแด่โยชิโตชิ
ข้อสังเกตย้อนหลัง
[แก้]ในช่วงชีวิตการเขียนโยชิโตชิเขียนภาพหลายชุด และบานพับภาพอีกหลายชิ้น ภาพสองชุดในสามชุดที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีที่สุดคือชุด "ทัศนียภาพ 100 มุมของพระจันทร์" และ ชุด "ปีศาจ 36 ตน" (Shinkei Sanjurokuten) ซึ่งเป็นชุดที่มีงานชิ้นเอกหลายชิ้นรวมอยู่ด้วย ชุดที่สาม "ประเพณีและพฤติกรรม 32 ทัศนะ" ถือกันว่าเป็นงานที่มีฝีมือดีอยู่เป็นเวลานานแต่ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับสองชุดแรก ภาพชุดอื่นๆ ที่มีงานฝีมือดีอยู่บ้างก็ได้แก่ "นายพลคนสำคัญของญี่ปุ่น" และ "ชีวิตของคนสมัยใหม่"
ขณะที่ความต้องการงานพิมพ์ของโยชิโตชิยังคงมีอยู่เป็นเวลาหลายปีต่อมา แต่ในที่สุดก็มายุติลงทั้งในญี่ปุ่นและในต่างประเทศทั่วโลก ทัศนคติทั่วไปเกี่ยวกับงานพิมพ์ที่เป็นที่ยึดมั่นกันในยุคนั้นคืองานพิมพ์ของช่างพิมพ์รุ่นเดียวกับฮิโรชิเงะเป็นงานภาพพิมพ์ที่เยี่ยมที่สุดรุ่นสุดท้าย และนักสะสมงานประเภทนี้บางคนถึงกับยุติการสะสมงานตั้งแต่ที่ทำกันก่อนหน้าฮิโรชิเงะ ตั้งแต่สมัยศิลปินอุตะมะโระ และ โทะโยะคุนิ
แต่เมื่อมาถึงคริสต์ทศวรรษ 1970 ก็เริ่มมีการฟื้นฟูความสนใจในงานภาพพิมพ์ของโยชิโตชิกันขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง และมองเห็นกันว่าเป็นงานที่มีคุณภาพ ความเป็นต้นฉบับ และ ความเป็นอัจฉริยะอย่างเด่นที่สุด และคุณค่าของการที่โยชิโตชิพยายามรักษาศิลปะการทำภาพพิมพ์แกะไม้ดั้งเดิมของญี่ปุ่นเอาไว้ ขณะที่ผสานความคิดใหม่ๆ จากโลกตะวันตก และ ความคิดสร้างสรรของตนเองเข้ามาในงานเขียน
ภาพพิมพ์ชุด
[แก้]ภาพพิมพ์บางชุด:
- One Hundred Stories of Japan and China (ค.ศ. 1865–ค.ศ. 1866)
- Biographies of Modern Men (ค.ศ. 1865–ค.ศ. 1866)
- Twenty-Eight Famous Murders with Verses (ค.ศ. 1866–ค.ศ. 1869)
- One Hundred Warriors (ค.ศ. 1868–ค.ศ. 1869)
- Biographies of Drunken Valiant Tigers (ค.ศ. 1874)
- Mirror of Beauties Past and Present (ค.ศ. 1876)
- Famous Generals of Japan (ค.ศ. 1876–ค.ศ. 1882)
- A Collection of Desires (ค.ศ. 1877)
- Eight Elements of Honor (ค.ศ. 1878)
- Twenty-Four Hours with the Courtesans of Shimbashi and Yanagibashi (ค.ศ. 1880)
- Warriors Trembling with Courage (ค.ศ. 1883–ค.ศ. 1886)
- Yoshitoshi Manga (ค.ศ. 1885–ค.ศ. 1887)
- One Hundred Aspects of the Moon (ค.ศ. 1885–ค.ศ. 1892)
- Personalities of Recent Times (ค.ศ. 1886–ค.ศ. 1888)
- Thirty-Two Aspects of Customs and Manners (ค.ศ. 1888) "Fuzoku sanjuniso - Aitasou"
- New Forms of Thirty-Six Ghosts (ค.ศ. 1889–ค.ศ. 1892)
อ้างอิง
[แก้]- ↑ Nussbaum, Louis Frédéric. (2005). "Tsukoka Kōgyō" in Japan Encyclopedia, p. 1000.
- ↑ Stevenson, John (1992). Yoshitoshi's One Hundred Aspects of the Moon. San Francisco Graphic Society. p. 49. ISBN 0963221809.
บรรณานุกรม
[แก้]- Eric van den Ing, Robert Schaap, Beauty and Violence: Japanese Prints by Yoshitoshi 1839-1892 (Havilland, Eindhoven, 1992; Society for Japanese Arts, Amsterdam) is the standard work on him
- Shinichi Segi, Yoshitoshi: The Splendid Decadent (Kodansha, Tokyo, 1985) is an excellent, but rare, overview of him
- T. Liberthson, Divine Dementia: The Woodblock Prints of Yoshitoshi (Shogun Gallery, Washington, 1981) contains small illustrations of many of his lesser works
- John Stevenson, Yoshitoshi's One Hundred Aspects of the Moon (San Francisco Graphic Society, Redmond, 1992)
- John Stevenson, Yoshitoshi's Women: The Print Series 'Fuzoku Sanjuniso' (Avery Press, 1986)
- John Stevenson, Yoshitoshi's Thirty-Six Ghosts (Weatherill, New York, 1983)
- John Stevenson, Yoshitoshi’s Strange Tales (Amsterdam. Hotei Publishing 2005).
ดูเพิ่ม
[แก้]แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- yoshitoshi.net - Online catalogue raisonne of his work
- Tsukioka Yoshitoshi - Contains images of many of his prints
- Tsukioka Yoshitoshi Online
- 100 Views of the Moon - The complete online reference