โคลงสี่สุภาพ

หน้าถูกกึ่งป้องกัน
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

โคลงสี่สุภาพ เป็นโคลงชนิดหนึ่งที่กวีนิยมแต่งมากที่สุด ด้วยเสน่ห์ของการบังคับวรรณยุกต์เอกโทอันเป็นมรดกของภาษาไทยที่ลงตัวที่สุด คำว่า สุภาพ หรือ เสาวภาพ หมายถึงคำที่มิได้มีรูปวรรณยุกต์[1]

โคลงสี่สุภาพ ปรากฏในวรรณกรรมไทย ตั้งแต่สมัยต้นอยุธยา ปรากฏในมหาชาติคำหลวงเป็นเรื่องแรก[2] และมีวรรณกรรมที่แต่งด้วยโคลงสี่สุภาพ 3 เรื่อง ได้แก่ โคลงนิราศหริภุญชัย โคลงมังทราตีเชียงใหม่ และลิลิตพระลอ

สมัยอยุธยาตอนกลาง วรรณกรรมที่ใช้โคลงสี่สุภาพ ได้แก่ โครงเรื่องพาลีสอนน้อง โคลงทศรถสอนพระราม และโคลงราชสวัสดิ์ พระราชนิพนธ์สมเด็จพระนายรายณ์มหาราช โคลงเฉลิมพระเกียรติพระนารายณ์มหาราช โคลงนิราศนครสวรรค์ กาพย์ห่อโคลงและโคลงอักษรสามของพระศรีมโหสถ

สมัยอยุธยาตอนปลาย ได้แก่ โคลงนิราศพระบาท โคลงนิราศเจ้าฟ้าอภัย และกาพย์ห่อโคลงพระราชนิพนธ์เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร

สมัยธนบุรี ได้แก่ โคลงยอพระเกียรติพระเจ้ากรุงธนบุรี และลิลิตเพชรมงกุฎ

สมัยรัตนโกสินทร์ วรรณกรรมที่ใช้โคลงสี่สุภาพที่เด่น ๆ ได้แก่ ลิลิตตะเลงพ่าย โคลงนิราศนรินทร์ โคลงนิราศสุพรรณ โคลงโลกนิติ สามกรุง

โคลงสี่สุภาพเป็นคำประพันธ์ที่กวีชอบแต่งและผ่านการพัฒนามายาวนานจนมีฉันทลักษณ์ที่ลงตัวและเป็นแบบฉบับดังที่ยึดถือกันในปัจจุบัน

ลักษณะบังคับ

๐ ๐ ๐ เอก โท ๐ x (๐ ๐)
๐ เอก ๐ ๐ x เอก โท
๐ ๐ เอก ๐ x ๐ เอก (๐ ๐)
๐ เอก ๐ ๐ โท เอก โท ๐ ๐

หนึ่งบทมี 4 บาท , 3 บาทแรกบาทละ 7 คำ บาทที่สี่ 9 คำ ดังนี้

บาท ที่ 1 มี 7 คำ

บาท ที่ 2 มี 7 คำ

บาท ที่ 3 มี 7 คำ

บาท ที่ 4 มี 9 คำ

1 บาท แบ่งเป็น 2 วรรค

วรรคแรก 5 คำ วรรคหลัง 2 คำ

ยกเว้นบาทที่ 4 จะมีวรรคหลัง 4 คำ

สรุปรวม 1 บทประกอบด้วย 30 คำ

มีคำสร้อยได้ในบาทที่ 1 บาทที่ 3 (คำสร้อย คือ คำที่แต่งเติมต่อท้ายบาท เพื่อทำให้ได้ใจความครบถ้วน ถ้าโคลงบาทใดได้ความครบถ้วนแล้วก็ไม่จำเป็ยต้องเติมคำสร้อย)

กฎการสัมผัส คำสุดท้ายของบาทที่ 1 ต้องสัมผัสกับ คำที่ 5 ของบาทที่ 2 และบาทที่ 3 คำสุดท้ายของบาทที่ 2 ต้องสัมผัสกับ คำที่ 5 ของบาทที่ 4

บังคับตำแหน่งวรรณยุกต์ เอก 7 แห่ง โท 4 แห่ง

  วรรค1   วรรค2  (คำสร้อย)
   ○○○○่●้    ○●   (○○)--> บาทที่ 1 มี 7 คำ
         ┌───┘
   ○○่○○●─┤  ○่●้       --> บาทที่ 2 มี 7 คำ
         │┌──┘
   ○○○่○●─┘│ ○○่   (○○)--> บาทที่ 3 มี 7 คำ
          │
   ○○่○○●้──┘ ○่○้○○ (○○)--> บาทที่ 4 มี 9 คำ

ดังคำโคลงอธิบายต่อไปนี้

๏ ให้ปลายบาทเอกนั้น มาฟัด
ห้าที่บทสองวัจน์ ชอบพร้อง
บาทสามดุจเดียวทัด ในที่ เบญจนา
ปลายแห่งบทสองต้อง ที่หน้าบทหลัง ๚ะ
๏ ที่พินทุ์โทนั้นอย่า พึงพินทุ์ เอกนา
บชอบอย่างควรถวิล ใส่ไว้
ที่พินทุ์เอกอย่าจิน ดาใส่ โทนา
แม้วบมีไม้ เอกไม้โทควร ๚ะ
๏ บทเอกใส่สร้อยได้ โดยมี
แม้วจะใส่บทตรี ย่อมได้
จัตวานพวาที ในที่ นั้นนา
โทที่ถัดมาใช้ เจ็ดถ้วนคำคง ๚ะ
๏ บทต้นทั้งสี่ใช้ โดยใจ
แม้วจะพินทุ์ใดใด ย่อมได้
สี่ห้าที่ภายใน บทแรก
แม้นมาทจักมีไม้ เอกไม้โทควร ๚ะ
จินดามณี ฉบับพระโหราธิบดี

คำเอก โท ในบาทแรกของโคลงอาจสลับที่กันได้ และอนุโลมให้ใช้คำตายแทนคำเอกในที่ที่หาคำเอกไม่ได้ แต่ไม่นิยมใช้เอกโทษและโทโทษ ดังกล่าวไว้ในจินดามณี ฉบับหลวงวงศาธิราชสนิท ดังต่อไปนี้

๏ เอกโทเปลี่ยนผลัดได้ โดยประสงค์
แห่งที่ห้าควรคง บทต้น
บทอื่นอาจบ่ปลง แปลงแบบ นาพ่อ
เฉภาะแต่บทหนึ่งพ้น กว่านั้นฤๅมี ๚ะ
๏ เอกเจ็ดหายากแท้ สุดแสน เข็ญเอย
เอาอักษรตายแทน เทียบได้
โทสี่ประหยัดหน หวงเปลี่ยน
ห่อนจักหาอื่นใช้ ต่างนั้นไป่มี ๚ะ
๏ เอกโทผิดที่อ้าง ออกนาม โทษนา
จงอย่ายลอย่างตาม แต่กี้
ผจงจิตรคิดพยายาม ถูกถ่อง แท้แฮ
ยลเยี่ยงปราชญ์สับปลี้ เปล่าสิ้นสรรเสริญ ๚ะ
๏ ใช้ได้แต่ปราชญ์คร้าน การเพียร
ปราชญ์ประเสริฐดำเนียร หมิ่นช้า
ถือเท็จท่านติเตียน คำตู่ คำนา
มักง่ายอายอับหน้า อาจถ้อเถียงไฉน ๚ะ

โคลงสี่สุภาพมี 30 คำ เมื่อหัก เอก 7 โท 4 แล้ว ส่วนที่เหลือ 19 คำแม้ไม่กำหนดรูปวรรณยุกต์ ในท้ายวรรคทุกวรรคต้องไม่มีรูปวรรณยุกต์ เพราะจะทำให้น้ำหนักของโคลงเสียไป ได้แก่คำที่กากบาทในแผนผังข้างล่าง

๐ ๐ ๐ เอก โท ๐ X (๐ ๐)
๐ เอก ๐ ๐ X เอก โท
๐ ๐ เอก ๐ X ๐ เอก (๐ ๐)
๐ เอก ๐ ๐ โท เอก โท ๐ X )

คำสุดท้ายของโคลงนอกจากจะห้ามมีรูปวรรณยุกต์แล้ว กวียังนิยมใช้เพียงเสียงสามัญ หรือ จัตวา เท่านั้น

อนึ่ง เคยมีความเข้าใจกันว่า บาทที่สี่มีสร้อยไม่ได้ แต่หากพิจารณาคำอธิบายการแต่งโคลงในจินดามณีแล้วน่าจะตีความได้ว่าโคลงสี่สุภาพมีสร้อยได้ทุกบาทยกเว้นบาทที่สอง

๏ บทเอกใส่สร้อยได้ โดยมี
แม้วจะใส่บทตรี ย่อมได้
จัตวานพวาที ในที่ นั้นนา
โทที่ถัดมาใช้ เจ็ดถ้วนคำคง ๚ะ
(ถอดความ)
วรรคแรก ในบาทแรกนั้น มีคำสร้อยได้
วรรคที่สอง และอาจใส่ในบาทที่สามได้อีก
วรรคที่สาม และรวมทั้งท้ายคำที่เก้าของบาทที่สี่ด้วย
วรรคที่สี่ ในบาทสองที่เหลืออยู่ ให้คงมีเพียงเจ็ดคำ (=ไม่มีสร้อย)

ทั้งนี้มีตัวอย่างโคลงในวรรณกรรมยืนยันได้แก่

๏ ตีอกโอ้ลูกแก้ว กลอยใจ แม่เฮย
เจ้าแม่มาเป็นใด ดั่งนี้
สมบัติแต่มีใน ภาพแผ่น เรานา
อเนกบรู้กี้ โกฏิไว้จักยา พ่อนา ๚ะ
ลิลิตพระลอ


๏ จรุงพจน์จรดถ้อยห่าง ทางกวี
ยังทิวาราตรี ไม่น้อย
เทพใดหฤทัยมี มาโนชญ์
เชิญช่วยอวยให้ข้อย คล่องถ้อยคำแถลง เถิดรา ๚ะ
สามกรุง

โคลงตัวอย่าง

ตัวอย่างของโคลงสี่สุภาพในจินดามณีฉบับพระโหราธิบดี ที่มีไม้เอกไม้โทตรงตามบังคับ

๏ เสียงลือเสียงเล่าอ้าง อันใด พี่เอย
เสียงย่อมยอยศใคร ทั่วหล้า
สองเขือพี่หลับใหล ลืมตื่น ฤๅพี่
สองพี่คิดเองอ้า อย่าได้ถามเผือ ๚ะ
ลิลิตพระลอ

ตัวอย่างของโคลงสี่สุภาพในจินดามณี ฉบับหลวงวงศาธิราชสนิท ที่มีไม้เอกไม้โทตรงตามบังคับ

๏ นิพนธ์กลกล่าวไว้ เป็นฉบับ
พึงเพ่งตามบังคับ ถี่ถ้วน
เอกโทท่านลำดับ โดยที่ สถิตนา
ทุกทั่วลักษณะล้วน เล่ห์นี้คือโคลง ๚ะ

นอกจากนี้มีโคลงแบบฉบับอีกบทที่มาจากโคลงนิราศนรินทร์ ที่เอกโทครบตรงตำแหน่งเช่นกัน

๏ จากมามาลิ่วล้ำ ลำบาง
บางยี่เรือราพราง พี่พร้อง
เรือแผงช่วยพานาง เมียงม่าน มานา
บางบ่รับคำคล้อง คล่าวน้ำตาคลอ ๚ะ
นิราศนรินทร์

สัมผัสระหว่างบท

การแต่งโคลงสี่สุภาพต่อกันหลายๆ บท เป็นเรื่องราวอย่างโคลงนิราศ โคลงเฉลิมพระเกียรติ โคลงสุภาษิต หรือโคลงอธิบายเหตุการณ์ต่างๆ อาจทำได้ 2 ลักษณะ คือ โคลงสุภาพชาตรี และ โคลงสุภาพลิลิต

  • โคลงสุภาพชาตรี ไม่มีสัมผัสระหว่างบท ส่วนใหญ่กวีนิพนธ์แบบเก่าจะนิยมแบบนี้เป็นส่วนมาก
  • โคลงสุภาพลิลิต มีการร้อยสัมผัสระหว่างบท โดยคำสุดท้ายของบทต้นต้องส่งสัมผัสสระ ไปยังคำที่ 1 หรือ 2 หรือ 3 ในบทต่อไป

เช่น

1 ๏ บุเรงนองนามราชเจ้า จอมรา มัญเฮย
ยกพยุหแสนยา ยิ่งแกล้ว
มอญม่านประมวลมา สามสิบ หมื่นแฮ
ถึงอยุธเยศแล้ว หยุดใกล้นครา ๚ะ
2 ๏ พระมหาจักรพรรดิเผ้า ภูวดล สยามเฮย
วางค่ายรายรี้พล เพียบหล้า
ดำริจักใคร่ยล แรงศึก
ยกนิกรทัพกล้า ออกตั้งกลางสมร ๚ะ
3 ๏ บังอรอัคเรศผู้ พิศมัย ท่านนา
นามพระสุริโยทัย ออกอ้าง
ทรงเครื่องยุทธพิไชย เช่นอุปราชแฮ
เถลิงคชาธารคว้าง ควบเข้าขบวนไคล ๚ะ
โคลงภาพเรื่องพระราชพงศาวดาร

คำสร้อย

คำสร้อยซึ่งใช้ในโคลงสี่สุภาพนั้น จะใช้ต่อเมื่อความขาด หรือยังไม่สมบูรณ์ หากได้ใจความอยู่แล้วไม่ต้องใส่ เพราะจะทำให้ "รกสร้อย"

คำสร้อยที่นิยมใช้กันเป็นแบบแผนมีทั้งหมด 18 คำ

  1. พ่อ ใช้ขยายความเฉพาะบุคคล
  2. แม่ ใช้ขยายความเฉพาะบุคคล หรือเป็นคำร้องเรียก
  3. พี่ ใช้ขยายความเฉพาะบุคคล อาจใช้เป็นสรรพนามบุรุษที่ 1 หรือบุรุษที่ 2 ก็ได้
  4. เลย ใช้ในความหมายเชิงปฏิเสธ
  5. เทอญ มีความหมายเชิงขอให้มี หรือ ขอให้เป็น
  6. นา มีความหมายว่าดังนั้น เช่นนั้น
  7. นอ มีความหมายเช่นเดียวกับคำอุทานว่า หนอ หรือ นั่นเอง
  8. บารนี สร้อยคำนี้นิยมใช้มากในลิลิตพระลอ มีความหมายว่า ดังนี้ เช่นนี้
  9. รา มีความหมายว่า เถอะ เถิด
  10. ฤๅ มีความหมายเชิงถาม เหมือนกับคำว่า หรือ
  11. เนอ มีความหมายว่า ดังนั้น เช่นนั้น
  12. ฮา มีความหมายเข่นเดียวกับคำสร้อย นา
  13. แล มีความหมายว่า อย่างนั้น เป็นเช่นนั้น
  14. ก็ดี มีความหมายทำนองเดียวกับ ฉันใดก็ฉันนั้น
  15. แฮ มีความหมายว่า เป็นอย่างนั้นนั่นเอง ทำนองเดียวกับคำสร้อยแล
  16. อา ไม่มีความหมายแน่ชัด แต่จะวางไว้หลังคำร้องเรียกให้ครบพยางค์ เช่น พ่ออา แม่อา พี่อา หรือเป็นคำออกเสียงพูดในเชิงรำพึงด้วยวิตกกังวล
  17. เอย ใช้เมื่ออยู่หลังคำร้องเรียกเหมือนคำว่าเอ๋ยในคำประพันธ์อื่น หรือวางไว้ให้คำครบตามบังคับ
  18. เฮย ใช้เน้นความเห็นคล้อยตามข้อความที่กล่าวหน้าสร้อยคำนั้น เฮย มาจากคำเขมรว่า "เหย" แปลว่า "แล้ว" จึงน่าจะมีความหมายว่า

นอกจากนี้มีคำสร้อยที่เรียกว่า "สร้อยเจตนัง" คือสร้อยที่มีความหมาย หรือใช้ตามใจตน ซึ่งไม่ควรใช้ในงานกวีนิพนธ์ที่เป็นพิธีการ

"หายเห็นประเหลนุช นอนเงื่อง งงง่วง" โคลงนิราศตามเสด็จทัพลำน้ำน้อย
"พวกไทยไล่ตามเพลิง เผาจุด ฉางฮือ" โคลงภาพพระราชพงศาวดาร
"ลัทธิท่านเคร่งเขมง เมืองท่าน ถือฮอ" โคลงภาพฤๅษีดัดตน

อ้างอิง

  1. พจนานุกรมศัพท์วรรณกรรมไทย ภาคฉันทลักษณ์ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน / ราชบัณฑิตยสถาน, พิมพ์ครั้งที่ 1 ปี 2550.
  2. สุภาพร มากแจ้ง. กวีนิพนธ์ไทย 1. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์, 2535.