ผู้ใช้:Mokmetha Meechan

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
บีทชูการ์
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์
อาณาจักร: Plantae
หมวด: Magnoliophyta
ชั้น: Magnoliopsida
ชั้นย่อย: Caryophyllidae
อันดับ: Caryophyllales
วงศ์: Amaranthaceae
สกุล: Beta

น้ำตาลที่ได้จากธรรมชาตินั้นมีลักษณะและรสชาติเฉพาะตัวทำให้ถูกนำไปใช้ได้หลากหลายในอาหารหารต่างๆ โดยน้ำตาลนั้นเป็น Carbohydrate ที่จำเป็นต่อสุขภาพร่างกายและการดำรงชีวิต แหล่งน้ำตาลที่นิยมใช้มักมาจากพืช 2 ชนิดหลักๆ ได้แก่ บีทรูท และอ้อย โดยใน 123 ประเทศบนโลกมีการสร้างน้ำตาล 80% จาก sugar cane และอีก 20% จาก Sugar beet โดย sugar beet มักนิยมปลูกในประเทศที่พัฒนาแล้วเนื่องจากพบปริมาณน้ำตาล 16% ซึ่งมากกว่าอ้อย sugar beet นั้นชอบสภาพแวดล้อมที่อบอุ่น ,มีความชื่น, แห้ง และมีแดด อีกทั้งนิยมปลูกที่ที่มีสภาพดินที่ดีและใส่ปุ๋ยเนื่องจากช่วงแรกๆ sugar beet จะมีความเปราะบาง

แหล่งกำเนิดและการกระจายพันธุ์ของบีทชูการ์[แก้]

Sugar beet นั้นมีต้อนกำเนิดมาจาก Azores, west Europe to Mediterraean และอินเดีย โดยอินเดียเป็นประเทศแรกที่ค้นพบการสกัดน้ำตาลจากอ้อย ทำให้เมื่อสมัยก่อนน้ำตาลมักจะถูกทำมาจากอ้อยหรือที่เรียกว่า Sugar Cane ซึ่งเหมาะสมในพื้นที่เขตร้อนและนิยมปลูกเพื่อเป็นแหล่งความหวานมาเกือบ 3000 ปีจนกระถึงศตวรรษที่ 19 เริ่มใช้แหล่งความหวานจากบีตรูต หรือที่เรียกว่า Sugar Beet ซึ่งพบเริ่มต้นจากอินเดีย เมื่อคริสต์ศักราช 1880 ใน Europe ได้มีการใช้ sugar beet แทน sugar cane โดยพบว่า แหล่งน้ำตาลที่มาจาก Sugar Beet พบในประเทศที่พัฒนาแล้ว 20% เนื่องจาก Sugar beet ชอบในภูมิอากาศที่อบอุ่น (Temperate climates) ได้แก่ Europe, United States, China และ Japan เป็นต้น แต่ Sugar cane พบในประเทศที่กำลังพัฒนา 80% เนื่องจากภูมิอากาศร้อนในเขตร้อน (Topical) ได้แก่ Brazil, Cuba, Mexico, India และ Australia

ส่วนของบีทชูการ์ที่ใช้และสมบัติทางเคมี[แก้]

Beet หรือ Beta vulgaris L. นั้นมี 3 พันธุ์ได้แก่ red table beet นำมาทำอาหาร, fodder beet ไว้ทำอาหารสัตว์ และ sugar beet ซึ่งนำมาทำน้ำตาล Sugar beet จะใช้ส่วนของรากในการนำมาสกัดน้ำตาล โดยรากมีลักษณะเป็นทรงกระบอกและสีขาวซึ่งมีการสะสมน้ำตาลที่ผลิตมาจากกระบวนการสังเคราะห์แสงที่ใบ เนื่องจาก sugar beet เป็นพืชอายุสั้นหากไม่เก็บเกี่ยวน้ำตาลที่สะสมในรากจะถูกนำไปใช้ในการศืบพันธุ์เพื่อสร้างเมล็ดต่อไป แต่ในปกติดเก็บเกี่ยวในช่วงที่รากนั้นกักเก็บน้ำตาลอยู่ โดยในรากพบปริมาณน้ำตาลประมาณ 15%-21% จากน้ำหนักรวมของ sugar beet

น้ำตาล Sucrose สามารถพบปริมาณที่แตกต่างกันได้ใน sugar beet ซึ่งเกิดจากได้หลายสาเหตุเช่น วันที่เก็บเกี่ยว, ระยะเวลาในการขนส่งจากฟาร์มมาถึงโรงงาน, ความแตกต่างหรือความหลากหลายที่เกิดในสายพันธุ์, ระยะความห่างในการปลูก, จำนวนเมล็ดต่อหนึ่งแถว และสภาวะการสมสมน้ำตาล เป็นต้น

Sugar beet มีปริมาณน้ำตาลอยู่ที่ประมาณ 16% โดยมีอัตราการสกัดน้ำตาลจากหัวบีทได้ตั้งแต่ 40%-80% แต่ในอ้อยพบว่ามีปริมาณน้ำตาลอยู่ที่ประมาณ 12% โดยมีอัตรการสกัดน้ำตาลจากอ้อยได้ตั้งแต่ 30%-100%

ประวัติของบีทชูการ์และผลิตภัณฑ์[แก้]

หลังจากการสกัดน้ำตาลจาก Sugar Beet จะได้ส่วนประกอบสำหลับนำไปทำผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายโดย มี 3 อย่างหลักๆ ได้แก่ น้ำตาล (160 kg/ton) กากน้ำตาล(38 Kg/ton) และเยื่อกระดาษ (500Kg/ton) น้ำตาลซึ่งเป็น Sucrose จะถูกนำมาทำเป็นน้ำตาลทรายขาว, น้ำตาลทรายแดง, น้ำตาลก้อนและ น้ำตาลไอซิ่ง เป็นต้น กากน้ำตาล (Molasses) ซึ่งได้มาจากการตกผลึกของน้ำตาลส่วนน้ำเชื่อมข้นๆ ที่หลงเหลืออยู่จากการตกผลึกซึ่งถูกนำไปใช้ทำอาหารสัตว์ อีกทั้งนำไปใช้ในการผลิตทางอุตสาหกรรมแอลกอฮอล์ สารอินทรีย์ และเหล้ารัมเป็นต้น เยื่อกระดาษ (Plup) เป็นเยื่อที่ได้หลังจากผ่านกระบวนการผลิตน้ำตาลโดยนำมาตากแห้งเพื่อทำเป็นอาหารสัตว์

ประเทศที่ให้ผลผลิตบีทชูการ์อันดับต้นๆ[แก้]

ในปี 2022 พบว่ามีผู้ผลิตรายใหญ่ของ Sugar Beet ได้แก่ Russian, France, United states, Germany และ Turkey ตามลำดับ โดยที่รัสเซียถือเป็นผู้ผลิต Sugar beet รายใหญ่ของโลกซึ่งสามารถผลิต Sugar Beet ได้ถึง 48907752 ตัน ซึ่งส่วนใหญ่นำมาผลิตน้ำตาล

วิธีการเก็บเกี่ยวบีทชูการ์[แก้]

ในประเทศที่มีการพัฒนาแล้วจะใช้เครื่องจักรสำหรับเก็บเกี่ยว Sugar Beet โดยเครื่องจักรจะตัดใบออกแล้วแยก bulbous root ขึ้นมาจากดิน หลังจากนั้นจะถ่ายโอน Sugar beet ไปยังรถบรรทุกซึ่งมีการกำจัดดินส่วนเกินออกด้วย โดยการข่นส่ง Sugar beet ไปยังโรงงานแปรรูปต้องเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเนื่องจากหลังจากมีการดึง Sugar beet ออกจากดินจะส่งผลให้ปริมาณน้ำตาลใน Sugar beet ลดลงอย่างรวดเร็ว ทำใหเโรงงานแปรรูป Sugar beet หลายๆที่จะอยู่บริเวณใกล้กันกับพื้นที่เพาะปลูกเพื่อให้ Sugar beet ยังคงปริมาณน้ำตาลไว้ได้มากที่สุด

วิธีแปรรูปบีทชูการ์[แก้]

การสร้างน้ำตาลทรายขาวจาก Sugar beet มี 10 ขั้นตอน

  • Delivery

เป็นการขนส่ง Sugar beet จากบริเวณเก็บเกี่ยวส่งมาถึงโรงงานผ่านรถบรรทุกซึ่งต้องใช้เวลาในการขนส่งโดยเร็วที่สุดเนื่องจากปริมาณของน้ำตาลจะลดลงหลังจากนำรากสะสมอาหารออกจากดินอย่างรวดเร็ว

  • Washing

เป็นการล้างดินออกจาก Sugar beet

  • Slicing

ตัด Sugar beet ด้วยเครื่องบางเป็นแท่งๆ เส้นๆ เล็กๆ เรียกว่า Strips

  • Extraction

น้ำตาลจะถูกสกัดผ่านการแพร่ (Diffusion) โดยน้ำร้อนโดยจะเคลื่อนที่ผ่าน Strips ทำให้น้ำตาลที่อยู่ใน Strips จะเคลื่อนที่ออกไปตามน้ำได้ Raw juice ออกมา

  • Purification

Raw juice ประกอบไปด้วนน้ำตาลและสิ่งเจอปน (แร่ธาตุ) ซึ่งจะแยกน้ำตาลออกให้กลายเป็น Thin Juice โดยใช้ Calcium Hydroxide หรือเรียกว่า lime milk โดยขณะเดียวกันเศษ Strips จะถูกแยกออกมาเป็น Plup สำหรับนำไปทำอาหารสัตว์

  • Evaporation

Thin juice ที่ผ่านกรองแล้วนั้นจะประกอบด้วยน้ำตาล 13% และน้ำ 87% ซึ่งจะให้ความร้อนถึง Boiling point การเป็นน้ำตาลเชื่อม (Syrup)

  • Crystallization

มีการเติมผลึกน้ำตาลเพื่อให้มีเริ่มการสร้างผลึกน้ำตาล

  • Centrifugal Treatment

ทำการปั่นเหวี่ยงเพื่อให้น้ำตาลแยกออกจากน้ำเชื่อม โดยน้ำตาลจะเกาะอยู่ด้านข้างของเครื่องปั่นเหวี่ยงซึ่งจะถูกล้างด้วยน้ำร้อนที่สะอาดเพื่อสร้างผลึกน้ำตาล โดยน้ำเชื่อมที่ไม่การเป็นผลึกจะเรียกว่ากากน้ำตาล (Molasses)

  • Drying

ผลึกน้ำตาลยังคงมีความร้อนชื้นจึกถูกเป่าด้วยลมร้อนแล้วให้ความเย็นทำให้พร้อมต่อการบริโภค

  • Packing

คัดกรอง คัดแยก และแพ็คผลิตภัณฑ์สำหรับส่งออกขายไปสู่ผู้บริโภคโดยอาจจะทำเป็นน้ำตาลทรายขาว, น้ำตาลก้อนและ น้ำตาลไอซิ่ง เป็นต้น

อ้างอิง[แก้]