ผู้ใช้:Boom1221/กระบะทราย1

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ตอนที่ 10: กำเนิดอามีเรีย

จะกล่าวถึงทาร่าสายสวาท ด้วยเป็นชาติเชื้อชั่วทั้งตัวสู
อยู่เขตวังหลังม่านประมาณดู ได้สมสู่กษัตริย์ขัตติยา
บัดนี้กาลเวลาชะตาเลื่อน ถึงสิบเดือนเคลื่อนไปจะสิงหา
ร้องปั่นปวดรวดร้าวเป็นคราวครา ซึ่งชันษาครบแล้วแก้วพระครรภ์
นางวีร่าตรวจจับสดับฤกษ์ แล้วจึงเบิกตัวแพทย์ทั้งแปดหัน
เสียบัดนี้ทาร่าร้องอ้าอัน ให้รู้ลั่นทั่วไปในห้องนอน
นางคร่ำครวญหวนไห้ร่ำไรห้อย น้ำตาคล้อยหน้าหลบเข้าซบหมอน
อยากเห็นหน้าองค์เธนนเรนธร พระบิดรของบุตรสุดใจเรา
อันว่ารีมีน่ามาร์จาวุ่น เตรียมน้ำอุ่นผ้าพับประดับเขา
นี่จะคลอดแล้วเอ๋ยอย่าเฉยเชา เร่งเร็วเข้าหยูกยาเตรียมมากิน
ถึงสองยามความจริงสิ่งปรากฎ ได้ลิ้มรสชาติปวดระทวดสิ้น
ทาร่าร้องลั่นแล่นในแผ่นดิน ตัวเด็กดิ้นคลอดยากลำบากนาน
จงอย่าให้นางตายมลายหลับ เป็นคำศัพท์หน่อนาถราชฐาน
แล้วแก้ไขได้เวลาบุตราการ คลอดกุมารเป็นนารีฉวีงาม
ล้วนดวงตาคิ้วคมสมพระเนตร ผู้ทรงเดชองค์พระเจ้าสยาม
แล้วห่อหุ้มอุ้มผ้าสีฟ้าคราม สีผมตามเหมือนแม่ชะแง้มอง
ทาร่ากล่อมร้องเห่โอ้เอ่แล้ว ชมน้องแก้วตาใสนัยน์ทั้งสอง
ได้ผูกเปลเรเรืองทั้งเครื่องทอง ไม่หม่นหมองสุขใจสบายตัว
แล้วคะนึงตรึงตรึกด้วยนึกถึง กษัตริย์หนึ่งญาติวงศ์เป็นองค์ผัว
ครั้งหนึ่งเล่าเข้าชิดสนิทครัว บัดนี้ตัวแยกจากอยู่พรากกัน
บัดนี้จึงเข้านอนเสียก่อนเถิด แรงเตลิดหายไปกระทันหัน
แล้วพรุ่งนี้มาคิดติดนามนัล อยู่ทุกวันสุขกายสบายใจ ฯ
ครั้นจะนึกชื่อนามความยากแท้ ต่างก็แก้ไปกันเลือกอันไหน
วีร่าทำคำนวณกระบวนใน ถึงฤกษ์ไรยากย่ำประจำกาล
อันวันนี้อาทิตย์ประสิทธิ์เกริก ด้วยดวงฤกษ์ชะตามหาศาล
จะอยู่ยงคงกระพันนับพันวาร แต่ภัยพาลจะพรากจากแม่ตน
ทาร่ารู้รับฟังยังสะดุ้ง ศอกกระทุ้งตาเหลือกกระเสือกกระสน
เหตุใดเล่าลูกข้าจะลาจล ดูพิกลหนเหตุประการใด
คำถามนี้ยากยิ่งสิ่งคำตอบ ใครจะรอบรู้ซึ่งถึงเหตุไหน
อนาคตสดใสหรืออย่างไร ไม่มีใครทูลหวังดังใจจง
ทาร่าเลือกชื่อนามตามมนุษย์ เป็นที่สุดต้องตามความประสงค์
ให้ชื่อว่าอามีเรียเวี่ยดำรง เกิดมาคงอาภัพเหมือนกับตน
จึงมอบเครื่องธำมรงค์ดำรงรัตน์ แล้วผูกหัตถ์ธิดาสี่ห้าหน
ก้มลงลูบจูบมือฤๅกังวล ขอให้พ้นภัยพาลทุกการไป ฯ
กาลเวลาล่วงลัดแปดวรรษา นุดาราร่ำเรียนเพียรศาสตร์ไสย
เป็นสิ่งนำสำคัญให้มั่นใจ จะมีชัยเหนือกรุงคุ้งมนุษย์
ทั้งศาสตร์สู้รู้ศึกล้ำลึกนัก น้อยคนจักเข้าใจในอาวุธ
อันผู้หญิงถือดาบปราบพิรุธ อีกการยุทธ์การกลล่องหนเป็น
นางพากเพียรเรียนเช้าเข้าบ่ายค่ำ ฝึกฝนซ้ำไปมาทาร่าเห็น
ให้เครื่องคาวข้าวสามทุกยามเย็น ถามประเด็นเรื่องราวคราวรายวัน
เจ้ามิไปไหนบ้างสักอย่างหรือ เห็นแบกถือศาสตราขาขยัน
เป็นเด็กเยาว์สาวน้อยอยู่ร้อยพัน จะฝึกฟันฟ่าสู้อยู่ทำไม
อามีเรียได้แถลงแจ้งคำตอบ ด้วยรอบคอบพิจารณามารดาไฉน
ถึงการศึกตรึกจำเป็นคำไคล สำคัญไซร้ป้องกันเมืองขัณฑา
แล้วแสดงเดชาศาสตราวุธ อันยงยุทธ์แสงสายเป็นหลายหลา
ดูประจักษ์ตาต่ออย่ารอช้า จึงเล่นท่ากระบวนกายฝึกหลายคืน
จับดาบคมก้มแทงสำแดงฤทธิ์ สมดังจิตอาฆาตดูฝาดฝืน
ท่วงท่าท่องว่องไวดังไกปืน ชำนาญชื่นลื่นไหลดังใจปอง
แล้วหยิบเปลี่ยนเรียนธนูดูเรียวสวย ประดับด้วยทองคำสัมฤทธิ์สอง
ถือตั้งท่ากล้ายิงทุกสิ่งลอง เร็วจนมองไม่ทันมันน่าชม
แล้วมาลองกระบองเหล็กไม่เล็กใหญ่ ทุบตีไปเยื้องกายสยายผม
พริ้วไสวดังสายน้ำสามสายลม สายตาคมทิ่มแทงตำแหน่งเพลิน
ถึงมีดคู่ดูคมสมคำเล่า แต่นงเยาว์ถือได้ไม่อายเขิน
ดูช่ำชองประลองกับแม่ทัพเทอญ น่าชวนเชิญเทวาลงมาดู
ล้วนอาวุธยุทธาทิวาหวาด จะฟันฟาดขาดคอถึงศอหู
แก่คนใครใคร่กล้าก่อศัตรู ข้าศึกกูตายสิ้นทั่วดินแดน ฯ
ทาร่าเห็นเป็นท่าให้ปรากฎ ทรหดอดทนฝึกฝนแขน
เป็นยอดยิ่งสิ่งใดในเมืองแมน เธอจะแทนคุณแม่เป็นแน่นอน
จึงให้กลับบ้านวังหลังจากนี้ มารดามีความแจ้งแถลงสอน
จงรีบเร่งเพ่งพิศทิพากร ดูรอนรอนโอ้เอ้เอกากล
ปล่อยให้ฝึกฝนไปตามนัยหญิง ดูยอดยิ่งยาตราสี่ห้าหน
ให้เก่งกล้าสามารถพิฆาตคน อย่าผิดผลผันแปรแม่จะตี
อามีเรียฝึกเสร็จระเห็จกลับ มาอยู่กับมารดามารศรี
ถึงคำสอนพรชัยหทัยดี ยามราตรีกลับวังแม่นั่งรอ
ทาร่าทักกวักมือมานั่งข้าง แม่ก็ร้างเรือนเข้าเก้าปีหนอ
จะบอกความนามเผ่าทั้งเหล่ากอ อันท่านพ่อนามเธนนเรนทร์คน
อันตัวเจ้าเล่าใช้ปีศาจแท้ ที่แน่แน่พ่อเจ้าเฝ้าสิงหล
เป็นสุโขสโมสรขจรจล กำลังพลมากมายกระจายไป
บิตุรงค์พงศ์กษัตริย์ประวัติศาสตร์ แต่ฉกาจอาจหาหญแต่กาลไหน
ถึงบรรพบุรุษมนุษย์ใน สงครามใหญ่กับผีปีศาจเรา
ในครั้งนั้นฉันจะเพลี่ยงพลาด ช่างฉลาดยอดเยี่ยมเทียมขุนเขา
ด้วยแอสทริดคิดจริงลอบยิงเอา เพียงบรรเทาโกรธาฆ่าบิดร
อย่าไปทำตามทางพอพลางขัด จงขจัดโทสาโลภาหลอน
อีกโมหะละไว้ในอาภรณ์ จงถอดถอนให้สิ้นทุกถิ่นไท
จงจดจำคำเตือนสะเทือนลั่น ด้วยสำคัญหลงราภาษาไสย
อย่านำไปฆ่าตนหรือคนใด แต่จงใช้ให้ฉลาดสะอาดเทอญ
กตัญญูรู้คุณเป็นบุญหนา ถึงเทวามาลอคเล่าสรรเสริญ
ทั้งภพไตรรู้รอดยอดเหลือเกิน เราเผชิญสิ่งใดก็ไม่กลัว
ท้องฟ้ามืดตะวันต่ำก็ค่ำแล้ว ทั้งสองแก้วมองฟ้านภาสลัว
แม่ชี้นิ้วลิ่วดูดารามัว จนพอตัวเหมาะเล่าเข้าไสยา ฯ