ผู้ใช้:สุนิษา ศรีทองกุล/กระบะทราย

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
หมีขั้วโลก
สถานะการอนุรักษ์
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์
อาณาจักร: Animalia
ไฟลัม: Chordata
ชั้น: Mammalia
อันดับ: Carnivora
วงศ์: Ursidae
สกุล: Ursus
สปีชีส์: U.  maritimus
ชื่อทวินาม
Ursus maritimus
Phipps, 1774
แผนที่การแสดงการกระจายพันธุ์ของหมีขาว
ชื่อพ้อง
  • Ursus eogroenlandicus
  • Ursus groenlandicus
  • Ursus jenaensis
  • Ursus labradorensis
  • Ursus marinus
  • Ursus polaris
  • Ursus spitzbergensis
  • Ursus ungavensis
  • Thalarctos maritimus

Scientific classification[แก้]

หมีขาว หรือ หมีขั้วโลก (อังกฤษ: Polar bear; ชื่อวิทยาศาสตร์: Ursus maritimus) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม จัดเป็นสัตว์กินเนื้อ(Carnivora)ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในซีกโลกนี้[1]

บทนำ[แก้]

ชีววิทยา[แก้]

หมีขาว หรือ หมีขั้วโลก (อังกฤษ: Polar bear) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เป็นนักล่าแห่งดินแดนขั้วโลกเหนือที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสภาพชีวิตกลางน้ำแข็ง ธรรมชาติสร้างให้หมีขาวแตกต่างจากหมีพันธุ์อื่น คือ มีขนคลุมอุ้งเท้า นิ้วเท้าสั้น เล็บโค้งงอเพื่อ ให้ยึดน้ำแข็งได้อย่างมั่นคง ในขณะเดียวกันก็มีท่อนขาขนาดใหญ่เพื่อเฉลี่ยน้ำหนักมหาศาล เพื่อสามารถเดินบนน้ำแข็งบางๆ ได้ เป็นหมีที่ถือได้ว่ากินอาหารมากกว่าหมีชนิดอื่น ๆ ซึ่งอาหารของหมีขาวมีมากมาย เช่น แมวน้ำ หรือวอลรัส ด้วยการย่องเข้าไปเงียบ ๆ หรือหลบซ่อนตัวตามก้อนหินหรือก้อนน้ำแข็ง นอกจากนี้แล้วบางครั้งยังอาจจับนกทะเล ทั้งไข่และลูกนก บางครั้งก็จับปลากิน หรืออาจจะกินซากของวาฬที่ตายเกยตื้น หรือแม้แต่ซากหมีขาวด้วยกันหรือลูกหมีที่ตายได้ด้วย [2]

แหล่งที่อยู่อาศัย                                                                                                                                                                                                                                                                                      หมีขาวกระจายพันธุ์อยู่เฉพาะซีกโลกทางเหนือ บริเวณขั้วโลกเหนือหรืออาร์กติกเท่านั้น จัดได้ว่าเป็นสัตว์กินเนื้อที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในซีกโลกนี้ อุ้งเท้าของหมีขาวมีขนรองช่วยให้ไม่ลื่นไถลไปกับความลื่นของพื้นน้ำแข็ง หมีขาวถือเป็นสัตว์ที่เดินทางไกลมาก โดยบางครั้งอาจจะใช้วิธีการนั่งบนแผ่นหรือก้อนน้ำแข็งลอยตามน้ำไป หรือไม่ก็ว่ายน้ำหรือดำน้ำไป ซึ่งหมีขาวจัดเป็นหมีที่ว่ายน้ำและดำน้ำเก่งมาก โดยใช้ขาหน้าพุ้ย หรือบางครั้งก็ใช้ทั้ง 4 ขา เคยมีผู้พบหมีขาวว่ายอยู่ในทะเลที่ห่างจากชายฝั่งไกลถึง 200 ไมล์ 

ความสำคัญ[แก้]

ในช่วงก่อนหน้านี้มนุษย์มีการล่าหมีขั้วโลกซึ่งเป็นความเชื่อของชนพื้นเมืองบางเผ่าที่ล่าหมีเพื่อแสดงความกล้าเอาหนังมาทำเป็นเครื่องนุ่งห่ม เนื้อเอามากิน ไขมันนำมาใช้เป็นอาหารและพลังงานในการให้แสงสว่างและความอบอุ่นถุงน้ำดีและหัวใจเอามาตากแห้งแล้วบดให้ละเอียดใช้เป็นยาเขี้ยวเอามาทำเป็นเครื่องประดับมีเพียงตับเท่านั้นที่ไม่ได้นำมาใช้เนื่องจากมีความเข้มข้นของวิตามินเอที่สูงมากจนมีความเป็นพิษสูงมนุษย์ที่ล่ามักจะโยนตับทิ้งลงทะเลหรือฝังกลบเพื่อหลีกเลี่ยงสุนัขที่นำไปด้วยขุดคุ้ยเอามากินในประเทศรัสเซียหมีขั้วโลกถูกฆ่าเพื่อการค้าตั้งแต่ศตวรรษที่ 14ถึงแม้ว่าราคาขนของหมีขั้วโลกหรือหมีขาวนี้มีราคาถูกกว่าขนของสุนัขจิ้งจอกอาร์กติกหรือกวางเรนเดียร์ จนต้องมีมาตรการในแต่ละประเทศที่ออกมาเพื่อปกป้องหมีขั้วโลกเหล่านี้รวมถึงสหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติ (IUCN)ที่ได้จัดให้หมีขั้วโลกเป็นสัตว์ที่มีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์[3]

ความสัมพันธ์เชิงวิวัฒนาการของสัตว์ชนิดนั้นกับญาติ[แก้]

ในโลกของสัตว์กินเนื้อ หมีขั้วโลกหรือหมีขาว ถือเป็นสัตว์บกกินเนื้อที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีการแยกสายวิวัฒนาการมาจากหมีสีน้ำตาลแถบอะแลสกาเมื่อประมาณ 150,000 ปีมาแล้วจากฟอสซิลหายากที่พบเมื่อหลายปีก่อน ลินด์ควิสต์และทีมวิจัยของศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์และชี วสารสนเทศ รัฐนิวยอร์ก (New York State Center of Excellence in Bioinformatics and Life Sciences ) ได้ถอด รหัสดีเอ็นเอในไมโตคอนเดรีย (mitochondrial DNA) ที่สกัดได้จากฟอสซิลของหมีขั้วโลกยุคโบราณ และวิเคราะห์เปรียบเทียบกับดีเอ็นเอในไมโตคอนเดรียของหมีขั้วโลกในยุค ปัจจุบันและหมีอื่นๆ พบว่าวิวัฒนาการของหมีขั้วโลกอยู่ในสายวิวัฒนาการเดียวกับหมีสีน้ำตาล โดยหมีสีน้ำตาลจากเกาะแอดมิรอลตี บารานอฟ และชิคากอฟ (Admiralty Baranof, and Chichagof Islands) ในมลรัฐอะแลสกา สหรัฐฯ เป็นญาติใกล้ชิดที่สุดของหมีขั้วโลก [4] ถึงแม้ว่าทั้งสองชนิดนี้มีความใกล้เคียงกันในสายวิวัฒนาการ แต่หมีขั้วโลกหรือหมีขาวได้ปรับตัวเองให้สามารถอาศัยอยู่ในสภาพถิ่นที่อยู่ที่ค่อนข้างไม่มีความหลากหลาย การดำรงชีวิตให้อยู่รอดในแถบอาร์กติกที่มีอุณหภูมิหนาวเย็น ทำให้สัตว์หลายๆ ชนิดใช้เวลายาวนานในการวิวัฒนาการจนมีขนสีขาว หรือเปลี่ยนสีขนในฤดูหนาวจนกลมกลืนกับหิมะ ซึ่งเป็นการพรางตัวที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต และหาอาหาร ดังเช่นกระต่ายป่าสีขาว (white hare) , นกนางนวลอาร์กติก (Arctictern) , ตัววีเซล (weasel) , ตัวเลมมิง (lemming) , หมาจิ้งจอกอาร์กติก (Arctic fox) โดยเฉพาะหมีขั้วโลก (polar bear) ที่ใช้เวลาประมาณ 2 แสนปี พัฒนา และมีวิวัฒนาการจากหมีสีน้ำตาลมาเป็นหมีขาวในทุกวันนี้[5]

การปรับตัวเชิงวิวัฒนาการด้านต่างๆของหมีขั้วโลกหรือหมีขาว(Evolutionary adaptation of thelang-en|Polar bear)[แก้]

1.การปรับตัวด้านสรีระ ( physiological adaptation )[แก้]

หมีขาวมีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสภาพชีวิตกลางน้ำแข็ง ธรรมชาติสร้างให้หมีขาวแตกต่างจากหมีพันธุ์อื่น คือ มีขนคลุมอุ้งเท้า นิ้วเท้าสั้น เล็บโค้งงอเพื่อ ให้ยึดน้ำแข็งได้อย่างมั่นคง ในขณะเดียวกันก็มีท่อนขาขนาดใหญ่เพื่อเฉลี่ยน้ำหนักมหาศาล เพื่อสามารถเดินบนน้ำแข็งบางๆ ได้[6]

2. การปรับตัวทางด้านรูปร่าง (Morphological adaptation)[แก้]

หมีมีการปรับตัวบางอย่างถูกคิดค้นมาได้อย่างชาญฉลาด เช่นขนสีขาวราวหิมะอันแสนสวยที่แลดูขาวสะอาดและละเอียดของมัน แท้จริงแล้วขนของมันไม่ใช่สีขาวเลยแม้แต่น้อย แพขนจะสะท้อนแสงแดดที่ทอดลงมาบนหิมะ ทำให้มันดูเป็นสีขาวและกลืนไปกับสภาพแวดล้อม ซึ่งเป็นการพรางตัวที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต และหาอาหารในบางครั้ง ขนที่หนาและละเอียดของมัน รวมถึงชั้นไขมันอาจทำให้ความร้อนในตัวสูงเกินไปจนอาจเสียชีวิตได้ ทำให้พวกมันต้องใช้ชีวิตอย่างเชื่องช้า การเดินช้าๆ ช่วยควบคุมอุณหภูมิในร่างกายของพวกมันได้[7]

3.การปรับตัวด้านพฤติกรรม ( behavioral adaptation )[แก้]

หมีขั้วโลกจะล่าแมวน้ำที่บริเวณแผ่นน้ำแข็งแต่เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นส่งผลให้เกิดการละลายของแผ่นน้ำแข็งซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในแต่ละปี เมื่อแผ่นน้ำแข็งละลายอาหารก็หายากมากขึ้น จึงมีการสร้างไขมันสะสม มีชั้นไขมันที่หนาประมาณ 10 เซนติเมตร อยู่ถัดลงไปจากชั้นของผิวหนังและขน ทำให้พวกมันมีอุณหภูมิภายในร่างกายที่สูงกว่าอุณหภูมิภายนอกประมาณ 10 องศาเซลเซียสซึ่งจะทำการเก็บสะสมในช่วงฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วงเพื่อใช้ในการจำศีลในช่วงฤดูหนาว[8]

อ้างอิง[แก้]

  1. http://www.oknation.net/blog/print.php?id=465822
  2. http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A7
  3. http://wqm.pcd.go.th/km/images/stories/general/life/polarbear.pdf
  4. http://webboard.yenta4.com/topic/381390
  5. http://pirun.ku.ac.th/~b521075131/pola%20bear.html
  6. http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=vinitsiri&month=01-2011&date=19&group=51&gblog=239
  7. http://karn.tv/index.php?option=com_content&view=article&id=116
  8. http://www.doyouknow.in.th/%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88-%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81-%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD-%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A7-%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%96%E0%B8%9A%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B8%AD/