ผลต่างระหว่างรุ่นของ "พระคริสตราชาแห่งดิลี"

พิกัด: 8°31′14″S 125°36′30″E / 8.520527°S 125.608322°E / -8.520527; 125.608322
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Chainwit. (คุย | ส่วนร่วม)
หน้าใหม่: {{Infobox monument | name = พระคริสตราชาแห่งดิลี | native_name = {{native name list |tag1=pt |name1={{nowrap|Estátua do Cristo Rei de Díli}} |tag2=tet |name2=Estátua Cristo Rei Dili}} | image = Christ Dili.jpg{{!}}upright | image_size = | caption = พระคริสตราชา มองจากCape Fatucama|แฟลมฟาตูกา...
ป้ายระบุ: เครื่องมือแก้ไขต้นฉบับปี 2560
(ไม่แตกต่าง)

รุ่นแก้ไขเมื่อ 12:05, 19 กุมภาพันธ์ 2566

พระคริสตราชาแห่งดิลี
พระคริสตราชา มองจากแฟลมฟาตูกามา
แผนที่
พิกัด8°31′14″S 125°36′30″E / 8.520527°S 125.608322°E / -8.520527; 125.608322
ที่ตั้งแหลมฟาตูกามา ดิลี ประเทศติมอร์ตะวันออก
ผู้ออกแบบMochamad Syailillah ("Bolil")
ประเภทรูปปั้น
วัสดุทองแดง
ความสูง27.0 เมตร (88.6 ฟุต)
วันที่อุทิศ15 ตุลาคม 1996
อุทิศแด่พระคริสตราชา

พระคริสตราชาแห่งดิลี (โปรตุเกส: Estátua do Cristo Rei de Díli, เตตุน: Estátua Cristo Rei Dili) เป็นรูปปั้นมหึมา ความสูง 27.0 เมตร (88.6 ฟุต) รูปพระเยซูในฐานะพระคริสตราชาประทับบนลูกโลก ตั้งอยู่ที่แหลมฟาตูกามา ดิลี ประเทศติมอร์ตะวันออก ถือเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของประเทศ

รูปปั้นเป็นผลงานออกแบบและควบคุมการก่อสร้างโดย Mochamad Syailillah หรือที่รู้จักในชื่อ "Bolil" ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ซูฮาร์โต เป็นผู้เดินทางมาประกอบพิธีเปิดรูปปั้นในปี 1996 รูปปั้นนี้เป็นของขวัญจากรัฐบาลอินโดนีเซียให้กับตีมอร์ตีมูร์ ซึ่งในเวลานั้นเป็นส่วนหนึ่งของประเทศอินโดนีเซีย

ที่ตั้ง

รูปปั้นตั้งอยํ่บนยอดเขาบนปลายของแหลมฟาตูกามา[1][2][3] The statue is accessible from the car park at Cristo Rei Beach, on the south side of the cape, inside the Bay of Dili, via a 570-step concrete staircase shaded by trees.[4][5][6][7]

ประวัติศาสตร์

การก่อสร้าง

แนวคิดการก่อสร้างรูปปั้น Cristo Rei (พระคริสตราชา) ถูกเสนอโดย José Abílio Osório Soares ซึ่งในเวลานั้นเป็นผู้ว่าการติมอร์ตะวันออก แก่ประธานาธิบดีซูฮาร์โต โดยตั้งใจจะให้เป็นของขวัญจากรัฐบาลอินโดนีเซียแก่ติมอร์ตะวันออกเนื่องในวาระครบรอบ 20 ปีของการ ผนวกติมอร์ตะวันออกเข้ากับอินโดนีเซีย ซึ่งจะตรงกับวันที่ 17 กรกฎาคม 1996[8]

ซูฮาร์โตได้มีคำสั่งให้สายการบินประจำชาติ การูดาอินโดนีเซีย เป็นผู้นำในการดูแลโครงการนี้ และมีภาระรับผิดชอบในการจัดสรรเงินทุนสำหรับโครงการ การูดาอินโดนีเซียสามารถระดมทุนได้ถึง 1.1 พันล้าน รูปียะฮ์ (US$123,000) ซึ่งไม่พอต่อการสร้างรูปปั้น จึงมีการะดมทุนจากข้าราชการและนักธุรกิจชาวติมอร์ตะวันออกจนเพียงพอต่อโครงการซึ่งท้ายที่สุดใช้งบประมาณไปมากกว่า 5 พันล้านรูปียะฮ์ (US$559,000)[8]

สำหรับงานออกแบบสร้าง การูดาอินโดนีเซียได้ติดต่อให้ Mochamad Syailillah หรือที่รู้จักในชื่อ "Bolil" จากบันดุง เป็นผู้ออกแบบสร้าง เขาเดินทางไปยังติมอร์ตะวันออกและสำรวจพื้นที่ที่จะใช้ก่อสร้าง ที่ซึ่งเขาเห็นควรว่ามีภูมิประเทศเหมาะสมแก่การสร้างรูปปั้นขนาดสูใหญ่ได้[8] หลังพิจารณาลมท้องถิ่นซึ่งพัดแรงกับภูมิประเทศแล้ว เขาได้เริ่มออกแบบโปรโตทายป์ของรูปปี้น แสดงพระเยซูคริสต์ทรงผ้าคลุม ในขณะที่ส่วนพระพักตร์ของพระเยซูนั้นออกแบบได้อย่างยากลำบาก เขาได้ปรึกษากับคณะกรรมการคริสต์จักรในอินโดนีเซียสำนักงานใหญ่ที่จาการ์ตา จนท้ายที่สุดได้ตัดสินใจสร้างพระพักตร์อย่างกรีกและโรมัน และเน้นที่ความเรียบง่าย[8]

การก่อสร้างส่วนลำตัวของรูปปั้นดำเนินไปในระยะเวลาเกือบปีเต็ม ด้วยคนงานกว่า 30 ชีวิตในซูการาจา, บันดุง ท้ายที่สุด รูปปั้นแล้วเสร็จโดยประกอบด้วยชิ้นส่วนทองแดงรวม 27 ชิ้นที่แยกกัน ก่อนจะขนส่งไปยังดิลีผ่านทางเรือ แล้วประกอบขึ้นที่ดิลีโดยทีมงานจากบันดุง รูปปั้นตลอดจนลูกโลกด้านล่างและกางเขนขนาด 10 m-high (33 ft) ประกอบขึ้นแล้วเสร็จในระยะเวลาสามเดือน[8]

การเปิดตัว

ก่อนพิธีเปิดรูปปั้น ผู้นำกองกำลังตีมอร์ที่ต่อต้านอินโดนีเซีย Xanana Gusmão ซึ่งในเวลานั้นถูกคุมขังในเรือนจำที่จาการ์ตา ได้วิจารณ์รูปปั้นนี้อย่างหนักว่า:

"นี่เป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อของจาการ์ตาเพื่อหลอกลวงคนของตัวเองและชุมชนนานาชาติ ซูฮาร์โต[...]เป็นผู้นำการเมือง สิ่งที่บิชอป[โรมันคาทอลิก] [การ์โลส ฟีลีเป ฌีเมเนส] เบโล ไม่เห็นด้วย เป็นเรื่องของการแทรกแซงคริสต์จักรทางการเมือง เราไม่รู้เลยว่าท่านบิชอปจะเดินทางไปร่วมพิธีเปิดด้วยหรือไม่ หวังว่าจะไม่ เพราะ[หากบิชอปไปร่วมพิธีเปิด]ก็หมายความว่าคริสต์จักรในดิลีอยู่ภายใต้จาการ์ตา ทั้ง ๆ ที่[ควรจะ]อยู่ภายใต้วาติกันโดยตรง"[8]

รูปปั้นมีพิธีเปิดในวันที่ 15 ตุลาคม 1996 บิชอปเบโลและประธานาธิบดีซูฮาร์โต เข้าร่วมชมพิธีเปิดรูปปั้นทางอากาศอยู่บนเฮลิคอปเตอร์[8] ไม่กี่วันก่อนหน้า คณะกรรมการโนเบลนอร์เวย์ได้ทำให้รัฐบาลอินโดนีเซียอับอายด้วยการให้รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพประจำปี 1996 แก่บิชอปเบโล และโฌ้ซ ราโมส-ออร์ตา "เพื่อเชิดชูส่วนร่วมที่เป็นการพลีกายอย่างต่อเนื่องแก่คนที่ถูกกดขี่แม้จะมีจำนวนน้อย"[9]: 159  บิชอปเบโลได้ให้ความเห็นสาธารณะเกี่ยวกับรูปปั้นไว้ว่า:

"จำก่อสร้างรูปปั้นพระเยซูเจ้าไปเพื่ออะไร หากผู้คนยังไม่ได้รับการดูแลดังที่พระองค์ทรงสอนเรา? มันจะดีกว่าถ้าเราจะฟื้นฟูสถานการณ์ที่เป็นอยู่ แทนที่จะสร้างรูปปั้นต่าง ๆ ขึ้น"[9]: 159 [10][11]: 82 

ก่อนที่ติมอร์จะประกาศอิสรภาพเป็นรัฐเอกราชจากอินโดนีเซีย รูปปั้นนี้ได้รับรางวัลจากพิพิธภัณฑ์สถิติโลกอินโดนีเซียให้เป็นรูปปั้นที่สูงที่สุดในประเทศ[1][8] หลังติมอร์ตะวันออกได้รับเอกราชในปี 2002 รูปปั้นนี้ไม่ได้ถูกรื้อถอนลง แต่ถูกเก็บรักษาและเปลี่ยนรูปแบบใหม่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแทน[11]: 83, 84 

สัญลักษณ์

รูปปั้นรวมถึงลูกโลกและฐานมีความสูง 27.0 m (88.6 ft) ซึ่งแทนถึงจังหวัดติมอร์ตะวันออกของอินโดนีเซียเป็นจังหวัดที่ 27[1][12][11]: 82  รูปปั้นและลูกโลกมีความสูง 34 m (112 ft) สองเท่าของ 17 สื่อถึงวันที่ 17 กรกฎาคม 1976 วันที่ซึ่งอินโดนีเซียผนวกติมอร์ตะวันออก และ 17 สิงหาคม 1945 วันที่ซึ่งอินโดนีเซียประกาศเอกราชจากเนเธอร์แลนด์[9]: 159, 160 [11]: 82 

รูปปั้นยังเป็นสัญลักษณ์ของพระเยซูคริสต์, การทรมาน และศาสนาคริสต์คาทอลิกที่ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเป็นชาวติมอร์ตะวันออก[11]: 85  แขนที่เปิดรับของรูปปั้นหันหน้าไปทางตะวันตก บ้างว่าน่าจะเป็นการสื่อถึงทิศของจาการ์ตา[2][11]: 83  ในขณะที่ศิลปินผู้สร้างระบุว่าเป็นการหันหน้าไปทิศของดิลีตามคำขอของผู้ว่าการติมอร์ตะวันออกในเวลานั้น[8]

อ้างอิง

  1. 1.0 1.1 1.2 "Patung Kristus Raja, Wisata Rohani Timor Leste" [Statue of Christ the King, Spiritual Tourism of East Timor] (ภาษาIndonesian). Liputan6. 31 March 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 February 2012. สืบค้นเมื่อ 16 November 2017.{{cite web}}: CS1 maint: unfit URL (ลิงก์) CS1 maint: unrecognized language (ลิงก์)
  2. 2.0 2.1 Cox, Christopher R. (5 May 2009). "Tourism in Timor?". Travel + Leisure. New York: Travel + Leisure Co. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 April 2020. สืบค้นเมื่อ 22 April 2022.
  3. "Cristo Rei". Tourism Timor-Leste (ภาษาอังกฤษ). 9 February 2020. สืบค้นเมื่อ 22 April 2022.
  4. "Lakad Pilipinas: EAST TIMOR | Climbing the Cristo Rei of Dili". Lakad Pilipinas. สืบค้นเมื่อ 30 March 2022.
  5. "Lakad Pilipinas: EAST TIMOR | The Beaches of Dili". Lakad Pilipinas. สืบค้นเมื่อ 18 March 2022.
  6. Gregory, David. "Hike to Cristo Rei of Dili". www.theoutbound.com (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 18 March 2022.
  7. Tan, Luna (27 July 2013). "Weekend with Jesus at the Beach, Cristo Rei, Dili, East Timor". Life to Reset (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 21 April 2022.
  8. 8.0 8.1 8.2 8.3 8.4 8.5 8.6 8.7 8.8 Yunus, Ahmad (24 March 2008). "Di Balik Cristo Rei Timor Leste" [Behind Cristo Rei Timor Leste]. Aceh Feature (ภาษาอินโดนีเซีย). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 December 2010. สืบค้นเมื่อ 8 March 2022.
  9. 9.0 9.1 9.2 Henick, Jonathan (August 2014). Nation Building in Timor-Leste: National Identity Contests and Crises (PDF) (PhD thesis). Honolulu: University of Hawaiʻi at Mānoa. OCLC 930543867.
  10. Gunn, Geoffrey C. (2000). "10. From Salazar to Suharto: Toponymy, Public Architecture, and Memory in the Making of Timor Identity". New World Hegemony in the Malay World. Lawrenceville, NJ, USA: Red Sea Press. p. 227–251, at 233. ISBN 1569021341.
  11. 11.0 11.1 11.2 11.3 11.4 11.5 Arthur, Catherine E. (2019). Political Symbols and National Identity in Timor-Leste. Rethinking Peace and Conflict Studies series. Cham, Switzerland: Palgrave Macmillan. pp. 81–89. ISBN 9783319987811.
  12. East Timor. Lonely Planet. 2011. ISBN 1-74059-644-7.