ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ลิงลม"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
InternetArchiveBot (คุย | ส่วนร่วม)
Rescuing 0 sources and tagging 1 as dead.) #IABot (v2.0.9.2
น้ำพริกอ่อง เป็นน้ำพริกซึ่งนิยมรับประทานกันในภาคเหนือของประเทศไทย โดยเฉพาะเมื่อมีงานบุญหรืองานออกรับแขกบ้านแขกเมืองจะต้องมีอาหารชนิดนี้อยู่ในสำรับขันโตก[1] ส่วนผสม น้ำพริกอ่องมีรสเผ็ดจากพริก เปรี้ยวจากมะเขือเทศ (มะเขือส้ม) และเค็มจากถั่วเน่า ส่วนผสมทั้งสามอย่างนี้ทำให้น้ำพริกมีสีแดงส้มสะดุดตา น้ำพริกอ่องจะมีลักษณะคล้ายผัดหมูสับ มากกว่าจะเป็นน้ำพริกไว้จิ้มทั่วไป สามารถใส่น้ำขลุกขลิกหรือใส่น้ำจนลักษณะคล้ายแกงก็ได้ เป็นน้ำพริกที่นิยมรับประทานกับแคบหมูและผักสด เช่น แตงกวาหั่นแว่น ถั่วฝักยาว ผักกาดข
ป้ายระบุ: ถูกย้อนกลับแล้ว
บรรทัด 1: บรรทัด 1:
น้ำพริกอ่อง เป็นน้ำพริกซึ่งนิยมรับประทานกันในภาคเหนือของประเทศไทย โดยเฉพาะเมื่อมีงานบุญหรืองานออกรับแขกบ้านแขกเมืองจะต้องมีอาหารชนิดนี้อยู่ในสำรับขันโตก[1]
{{Taxobox
|fossil_range = ต้นยุค[[อีโอซีน]]-ปัจจุบัน, {{fossil range|50.0|0}}<ref name="จอม"/>
| name = ลิงลม
| image = Nycticebus bengalensis 001.jpg
| image_width = 250px
| image2 = Smit.Faces of Lorises.jpg
| image2_width = 250px
| image2_caption = ใบหน้าของลิงลมแต่ละชนิดที่มีลายเส้นขีดไม่เหมือนกัน
| image_caption = [[ลิงลมเบงกอล]] หรือ ลิงลมเหนือ (''Nycticebus bengalensis'')
| status = CITES_A1
| status_system = CITES
| status_ref = <ref>Appendices I, II and III" (PDF). Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora (CITES). 2010. http://www.cites.org/eng/app/Appendices-E.pdf {{Webarchive|url=https://web.archive.org/web/20101224025029/http://cites.org/eng/app/Appendices-E.pdf |date=2010-12-24 }}.</ref>
| regnum = [[Animal]]ia
| phylum = [[Chordate|Chordata]]
| classis = [[Mammal]]ia
| ordo = [[Primate]]s
| familia = [[Lorisidae]]
| subfamilia = [[Lorisinae]]
| genus = '''''Nycticebus'''''
| genus_authority = [[Étienne Geoffroy Saint-Hilaire|E. Geoffroy]], 1812
| type_species = ''[[นางอายใต้|Tardigradus coucang]]''
| type_species_authority = [[Pieter Boddaert|Boddaert]], 1785<ref>Wilson, D. E., & Reeder, D. M. (editors) (2005). ''Mammal Species of the World — A Taxonomic and Geographic Reference''. Third edition. ISBN 0-8018-8221-4.</ref>
| subdivision_ranks = [[Species|ชนิด]]
| subdivision =
*''[[Nycticebus bancanus|N. bancanus]]'' <small>([[Marcus Ward Lyon, Jr.|Lyon]], 1906)</small>
*''[[นางอายเหนือ|N. bengalensis]]'' <small>([[Bernard Germain de Lacépède|Lacépède]], 1800)</small>
*''[[Nycticebus borneanus|N. borneanus]]'' <small>([[Marcus Ward Lyon, Jr.|Lyon]], 1906)</small>
*''[[นางอายใต้|N. coucang]]'' <small>([[Pieter Boddaert|Boddaert]], 1785)</small>
*†[[? Nycticebus linglom|?&nbsp;''N. linglom'']] <small>Mein & Ginsburg, 1997</small>
*''[[Javan slow loris|N. javanicus]]'' <small>[[Étienne Geoffroy Saint-Hilaire|É. Geoffroy]], 1812</small>
*''[[Nycticebus kayan|N. kayan]]'' <small>Munds, Nekaris & Ford, 2012</small>
*''[[Bornean slow loris|N. menagensis]]'' <small>([[Richard Lydekker|Lydekker]], 1893)</small>
*''[[นางอายแคระ|N. pygmaeus]]'' <small>[[J. Lewis Bonhote|Bonhote]], 1907</small>
| range_map = Slow loris area.png
| range_map_alt = แผนที่แสดงการกระจายพันธุ์ของลิงลมทั้งสามชนิด
| range_map_caption=[[แผนที่]]แสดงการกระจายพันธุ์ของลิงลมแต่ละชนิด ([[สีแดง]]: ''N. pygmaeus'', [[สีน้ำเงิน]]: ''N. bengalensis'', [[สีน้ำตาล]]: ''N. coucang'', ''N. javanicus'', ''N. menagensis'')
| synonyms =
* ''Tardigradus'' <small>[[Pieter Boddaert|Boddaert]] 1784: ([[Slender loris|สับสน]])</small>
* ''Loris'' <small>[[Étienne Geoffroy Saint-Hilaire|É. Geoffroy]] 1796</small>
* ''Lori'' <small>[[Bernard Germain de Lacépède|Lacépède]] 1799</small>
* ''Stenops'' <small>[[Johann Karl Wilhelm Illiger|Illiger]] 1811</small>
* ''Bradycebus'' <small>[[Étienne Geoffroy Saint-Hilaire|É. Geoffroy]] & [[Frédéric Cuvier|F. Cuvier]] 1820: ''([[nomen nudum|ชื่อตั้งไร้คำอธิบาย]])''</small>
* ''Bradylemur'' <small>[[Henri Marie Ducrotay de Blainville|de Blainville]] 1839</small>
| synonyms_ref = <ref name=Table2b>{{cite web|title=Table 2 b: taxonomic names and synonyms used by several authors: genus, species, subspecies, populations|url=http://www.loris-conservation.org/database/population_database/tables/02b-synonyms.pdf|work=Loris and potto conservation database|publisher=loris-conservation.org|accessdate=30 April 2013|page=3|format=PDF|date=4 February 2003}}</ref><ref>{{cite web|title=Synonyms of Slow Lorises (Nycticebus)|url=http://eol.org/pages/42022/names/synonyms|work=Encyclopedia of Life|publisher=eol.org|accessdate=30 April 2013|archive-date=2013-12-05|archive-url=https://web.archive.org/web/20131205231937/http://eol.org/pages/42022/names/synonyms|url-status=dead}}</ref>


ส่วนผสม
น้ำพริกอ่องมีรสเผ็ดจากพริก เปรี้ยวจากมะเขือเทศ (มะเขือส้ม) และเค็มจากถั่วเน่า ส่วนผสมทั้งสามอย่างนี้ทำให้น้ำพริกมีสีแดงส้มสะดุดตา น้ำพริกอ่องจะมีลักษณะคล้ายผัดหมูสับ มากกว่าจะเป็นน้ำพริกไว้จิ้มทั่วไป สามารถใส่น้ำขลุกขลิกหรือใส่น้ำจนลักษณะคล้ายแกงก็ได้ เป็นน้ำพริกที่นิยมรับประทานกับแคบหมูและผักสด เช่น แตงกวาหั่นแว่น ถั่วฝักยาว ผักกาดขาว กะหล่ำปลี ทั้งนี้จะไม่นิยมใส่น้ำตาล[1]


เครื่องปรุงสำคัญคือมะเขือส้ม นำมาผัดเคี่ยวกับเนื้อหมู และน้ำพริก แต่เดิมจะใช้เนื้อปลาช่อนย่างเพราะเนื้อหมูหายาก คำว่า "อ่อง" ในที่นี้หมายถึงวิธีการปรุงน้ำพริกที่ต้องผัดเคี่ยวทิ้งไว้ให้น้ำค่อย ๆ งวดลง รับประทานคู่กับผักชนิดต่าง ๆ เช่น ขนุนอ่อนต้ม ใบบัวบก[2]


น้ำพริกสำหรับผัดน้ำพริกอ่องจะคล้ายน้ำพริกแกงส้มของทางภาคกลางเพียงแต่ไม่ใส่กระชายและใช้พริกแห้งแทนพริกหยวก (ภาษาเหนือเรียกว่า พริกหนุ่ม) น้ำพริกจึงประกอบไปด้วย พริก เกลือ หอมแดง กระเทียม กะปิ ถั่วเน่า สามารถใส่หรือไม่ใส่ตะไคร้ก็ได้ เดิมนั้นใช้ถั่วเน่าแผ่นปิ้งไฟให้หอม ปัจจุบันสามารถใช้เต้าเจี้ยวสีน้ำตาลตามท้องตลาดแทนได้ การเจียวน้ำพริกหากไม่ชอบกระเทียมเจียวก็สามารถเจียวด้วยหอมแดงซอย น้ำพริกอ่องสามารถนำไปทำเป็นน้ำเงี้ยวต่อได้
}}
'''ลิงลม''' หรือ '''นางอาย''' หรือ '''ลิงจุ่น''' ({{lang-en|Slow lorises, Lorises}}; [[ภาษาอินโดนีเซีย|อินโดนีเซีย]]: Kukang) เป็น[[genus|สกุล]]ของ[[สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม]]สกุลหนึ่ง ในวงศ์ [[Lorisidae]] ใน[[อันดับไพรเมต]] (Primates) ใช้[[ชื่อวิทยาศาสตร์]]ว่า ''Nycticebus'' (/นิค-ติ-ซี-บัส/)


พลังงาน
== ศัพทมูลวิทยา ==
ทั้งนี้น้ำพริกอ่องมีปริมาณไขมัน 9.46 กรัมต่อน้ำพริกน้ำหนัก 100 กรัม และให้พลังงาน 123 แคลลอรีต่อน้ำพริกน้ำหนัก 100 กรัม หากรับประทานกับแคบหมูก็จะได้ไขมันและพลังงานเพียงพอสำหรับอากาศช่วงฤดูหนาวทางภาคเหนือ[1]
ลิงลม โดยปกติแล้วที่เคลื่อนไหวได้เชื่องช้ามาก แต่จะว่องไวในเวลา[[กลางคืน]] เมื่อหาอาหาร และเวลาที่โดน[[ลม]]พัด อันเป็นที่มาของชื่อ เมื่อตกใจจะเอาแขนซุกใบหน้าไว้ อันเป็นที่มาของชื่อสามัญในภาษาไทยอีกเช่นกัน <ref>[http://rirs3.royin.go.th/new-search/word-35-search.asp {{Webarchive|url=https://web.archive.org/web/20120424124958/http://rirs3.royin.go.th/new-search/word-35-search.asp |date=2012-04-24 }} ลิงลม น. ตาม[[พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542]]]</ref>


อ้างอิง
โดยคำว่า "Loris" (/ลอ-ริส/) ในภาษาอังกฤษนั้น มาจาก[[ภาษาดัตช์]]คำว่า "Loeris" อันหมายถึง "ตัวตลกใน[[ละครสัตว์]]"<ref>{{cite web|url=http://www.dnp.go.th/wildlife/wildlifeyearbook/abstract/2551%20full/3.1%20%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%A5%E0%B8%A1%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%20(%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%9F%E0%B9%89%E0%B8%B2)%20P179-183%20OK.pdf|title= การจำแนกลิงลมหรือนางอายในประเทศไทย|format=[[PDF]]}}</ref> ในขณะที่[[ภาษาจีน]]จะเรียกลิงลมว่า "懒猴" (พินอิน: Lǎn hóu) หมายถึง "ลิงขี้เกียจ" อันเนื่องจากการเคลื่อนไหวที่เชื่องช้า<ref>''Untamed China with Nigel Marven'', สารคดีทางอนิมอลพลาเน็ต. ทางทรูวิชั่นส์: เสาร์ที่ 19 มกราคม 2556</ref>
ฉลาดชาย รมิตานนท์. "น้ำพริกกับวิถีชีวิตและธรรมชาติ". ศิลปวัฒนธรรม. 22:3 มกราคม 2544, หน้า 123

สริรักษ์ บางสุด และพลวัฒน์ อารมณ์. โอชะล้านนา. กรุงเทพฯ : แสงแดด, 2558, หน้า 21
== ลักษณะ ==
แหล่งข้อมูลอื่น
ลิงลมมีรูปร่างโดยรวม คือ มี[[ขนสัตว์|ขน]]นุ่มสั้นเหมือน[[กำมะหยี่]] ลำตัวป้อมกลมอ้วน รูปร่างหน้าตาน่ารักเหมือน[[ตุ๊กตา]] มี[[ตา]]กลมโต มีจำนวนฟันและเขี้ยวที่เขียนเป็นสูตรได้ว่า {{DentalFormula|upper=2.1.3.3|lower=2.1.3.3|total=36}}<ref>Elliot, Daniel Giraud (1913). ''A Review of the Primates''. Monograph series, no. 1. New York, New York: American Museum of Natural History. OCLC 1282520.</ref> <ref>Ankel-Simons, F. (2007). ''Primate Anatomy'' (3rd ed.). San Diego, California: Academic Press. ISBN 0-12-372576-3.</ref> สีขนมีความหลากหลายแตกต่างกันตามสภาพพื้นที่ที่อยู่อาศัย และแต่ละ[[species|ชนิด]] บางชนิดจะมีรอยขีดคาดตามใบหน้า, ส่วนหัว, ดวงตา และเส้นกลางหลัง อันเป็นลักษณะสำคัญในการแบ่งแยกชนิด มีส่วนหางที่สั้นมากจนดูเหมือนไม่มีหาง น้ำหนักเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 1 [[กิโลกรัม]]
วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ น้ำพริกอ่อง

วิธีทำน้ำพริกอ่อง เก็บถาวร 2012-05-22 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน - มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
นอกจากนี้แล้ว ลิงลมยังเป็นสัตว์ที่มีลิ้น 2 ลิ้น คือ ลิ้นสั้น กับ ลิ้นยาว ใช้ประโยชน์ในการกินอาหารแตกต่างกัน รวมถึงมีกระดูกสันหลังที่มีลักษณะพิเศษที่สามารถบิดตัวได้คล้ายงูอีกด้วย จึงใช้ในการปีนป่ายต้นไม้ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งสภาพของขนและสียังสามารถแฝงตัวให้กลมกลืนกับธรรมชาติได้ด้วย
Foodlogo2.svg บทความเกี่ยวกับอาหาร เครื่องดื่ม และหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคอื่น ๆ นี้ยังเป็นโครง คุณสามารถช่วยวิกิพีเดียได้โดยการเพิ่มเติมข้อมูล

หมวดหมู่: น้ำพริกอาหารไทยภาคเหนืออาหารจากเนื้อหมูบทความเกี่ยวกับ อาหาร ที่ยังไม่สมบูรณ์
ซึ่งลิงลมเป็นสัตว์ที่มีวิวัฒนาการเช่นนี้มานานกว่า 50 ล้านปีมาแล้ว<ref name="จอม"/>

== การจำแนก ==
ปัจจุบัน แบ่งออกเป็น 8 ชนิด<ref>Nekaris, K. A. I.; Munds, R. (2010). "Chapter 22: Using Facial Markings to Unmask Diversity: the Slow Lorises (Primates: Lorisidae: ''Nycticebus spp.'') of Indonesia". In Gursky-Doyen, S.; Supriatna, J.. Indonesian Primates. New York: Springer. pp. 383–396. {{doi|10.1007/978-1-4419-1560-3_22}} ISBN 978-1-4419-1559-7</ref><ref>{{cite web|last=Nekaris|first=Anna|title=Experts gather to tackle slow loris trade|url=http://www.nocturama.org/tag/nycticebus-kayan/|work=Prof Anna Nekaris' Little Fireface Project|publisher=nocturama.org|accessdate=30 April 2013|date=23 January 2013|quote=Anna Nekaris, ... who described the new Kayan slow loris, presented the results of her research highlighting the differences between the species.}}</ref> ได้แก่ (ในอดีตถูกแบ่งเพียง 2 หรือ 3 หรือเคยเชื่อว่ามีเพียงชนิดเดียว แต่จากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์พบว่าอาจมีได้ถึง 12 ชนิด<ref name="จอม"/>)<ref>[http://www.verdantplanet.org/mammaltax/mammaltaxonomy.php?taxon=Nycticebus สกุล ''Nycticebus'']</ref> <ref>{{ITIS|id=572799|taxon=''Nycticebus''}}</ref>

* ''[[Nycticebus bancanus]]''
* ''[[Nycticebus bengalensis]]''
* ''[[Nycticebus borneanus]]''
* ''[[Nycticebus coucang]]''
* ''[[Nycticebus kayan]]''
* ''[[Nycticebus pygmaeus]]''
* ''[[Nycticebus javanicus]]''
* ''[[Nycticebus menagensis]]''

== พฤติกรรมและสถานะ ==

โดยที่ทุกชนิดนั้นกระจายพันธุ์อยู่ในภูมิภาค[[เอเชียตะวันออกเฉียงใต้]]และ[[ประเทศอินเดีย]] จนถึงหมู่เกาะต่าง ๆ ใน[[อินโดนีเซีย]] มีพฤติกรรมอาศัยอยู่ตามลำพังตัวเดียว โดยปีนป่ายหากินตามต้นไม้ในเวลากลางคืน จับ[[แมลง]], [[สัตว์เลื้อยคลาน]]ขนาดเล็ก และ[[ไข่]][[นก]]กินเป็นอาหารหลัก และมี[[ผลไม้]]บางชนิดเป็นอาหารรองลงไป แต่ก็สามารถกินสัตว์ขนาดใหญ่ เช่น ค้างคาว หรือ นกที่หลับบนกิ่งไม้เป็นอาหารได้ด้วย [[ตัวผู้]]มักจะกินน้ำในปริมาณที่มาก และถ่าย[[ปัสสาวะ]]ไว้ซึ่งมีกลิ่นรุนแรงมาก เพื่อประกาศอาณาเขต โดยลิงลมจะมี[[กระดูกสันหลัง]]แบบพิเศษ และมีมือที่เก็บซ่อน[[นิ้ว (อวัยวะ)|นิ้ว]]เพื่อให้จับเหยื่อและเคลื่อนที่ไปทั่วได้โดยไม่เป็นที่สังเกต นิ้วชี้ของขาหลังมีเล็บยาวปลายแหลมเห็นได้ชัด ขาหน้าและขาหลังสั้นแต่แข็งแรง นอกจากนี้ยังมี[[พิษ]]ที่มีสภาพคล้ายน้ำมันที่ซ่อนอยู่ในข้อศอก มีฤทธิ์ในการทำลายเนื้อเยื่อ ลิงลมจะใช้ผสมกับ[[น้ำลาย]]เมื่อกัด ซึ่งถือได้ว่าเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเพียงจำพวกเดียวที่มีพิษ พิษนี้มีความร้ายแรงถึงขนาดมีมนุษย์เสียชีวิตมาแล้วจากการถูกกัดในประเทศพม่า และไทย <ref name="จอม"/>

ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบถึงสาเหตุที่แท้จริงของการมีพิษนี้ แต่พิษนี้ใช้ประโยชน์ได้ในการล่าเหยื่อ หรืออาจจะใช้ประโยชน์ในการกำจัดปรสิตตามตัว เพราะลิงลมจะไม่มีเห็บหรือหมัดตามตัวเหมือนสัตว์ในอันดับไพรเมตจำพวกอื่น เคยมีข้อสันนิษฐานว่าลิงลมอาจจะได้พิษนี้มาจากแมลงหรือแมงมีพิษจำพวกต่าง ๆ ที่กินเป็นอาหาร เช่น มด และกิ้งกือ ซึ่งเป็นอาหารโปรดของลิงลม เพราะพบพิษลักษณะเดียวกันนี้ในมดและกิ้งกือ อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้อีกว่า มีพิษไว้สำหรับสู้กับลิงลมเพศเดียวกันตัวอื่น โดยเฉพาะตัวผู้ เพื่อประกาศอาณาเขตและแย่งชิงคู่ครอง เพราะลิงลมจะต่อสู้กันเองด้วยการกัดและเหวี่ยงอย่างรุนแรง ซึ่งอาจบาดเจ็บสาหัสถึงขั้นตายได้<ref name="จอม">{{cite web|url=http://tv.ohozaa.com/hourly-rerun/tpbs/2014-05-26/18/|title=จอมซนแห่งเกาะชวา|date=26 May 2014|accessdate=26 May 2014|publisher=ไทยพีบีเอส|archive-date=2014-08-14|archive-url=https://web.archive.org/web/20140814064231/http://tv.ohozaa.com/hourly-rerun/tpbs/2014-05-26/18/|url-status=dead}}</ref>

[[ภาพ:Nycticebus coucang 1678-9199-19-21-2 right.png|left|thumb|ลิงลมที่เอาแขนซุกใบหน้าไว้]]
[[ไฟล์:Nycticebus tooth removal 01.jpg|thumb|left|การตัดเขี้ยวของลิงลมด้วยกรรไกรตัดเล็บธรรมดา]]
ลิงลมสถานะในปัจจุบัน อยู่ในสถานะที่ใกล้สูญพันธุ์แล้วใน[[ธรรมชาติ]] ด้วยความน่ารักจึงมักถูกจับไปเป็น[[สัตว์เลี้ยง]]บ่อย ๆ โดยผู้ขายหรือผู้เลี้ยงมักจะตัดเขี้ยวหรือฟันหน้าออกทั้งซี่บนและล่าง โดยที่เหลือรากฟันอยู่ เพื่อมิให้ถูกกัด ซึ่งลิงลมบางตัวอาจจะติดเชื้อจากขั้นตอนนี้ทำให้[[ตาย]]ได้ ซึ่งลิงลมถูกจัดเป็นสัตว์ป่าที่มีการลักลอบขายกันมากเป็นอันดับหนึ่ง<ref>''เปิดโผสัตว์ป่ายอดนิยม ' นางอาย ' อันดับหนึ่ง !'', [[คมชัดลึก (หนังสือพิมพ์)|คมชัดลึก]]: [[14 พฤศจิกายน]] [[พ.ศ. 2546]] </ref> ขณะที่บางพื้นที่มีการจับนำไปทำเป็นยาบำรุงตามความเชื่อ<ref name="กิน.">{{cite web|url=http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9550000011465&CommentReferID=20704660&CommentReferNo=7&TabID=2&|title=ยังไม่ทันได้รู้จักก็จะสูญพันธุ์เสียแล้ว|work=[[ผู้จัดการออนไลน์]]}}{{ลิงก์เสีย|date=พฤศจิกายน 2022 |bot=InternetArchiveBot |fix-attempted=yes }}</ref>

== ความเชื่อ ==
นอกเหนือจากความเชื่อที่ว่าเมื่อรับประทานแล้วจะเป็นยาบำรุงของชาวจีนแล้ว<ref name="กิน."/> ชาวพื้นเมืองบน[[จังหวัดชวาตะวันออก|เกาะชวาตะวันออก]] มีคำสั่งสอนสืบต่อกันจากรุ่นสู่รุ่นว่า เมื่อเข้าไปในป่า จงหลีกเลี่ยงลิงลมเพราะเป็นสัตว์อันตราย เนื่องจากเป็นสัตว์ที่มีพิษร้ายและยังไม่มียาใดรักษา การครอบครองกระดูกลิงลมจะนำมาซึ่งโชคร้าย อีกทั้งยังมีการอาบใบมีดด้วยเลือดของลิงลมก่อนจะนำไปใช้เป็นอาวุธในการสงคราม เพราะจะทำให้ศัตรูเจ็บและไม่มียารักษา และมีนิทานพื้นบ้านเล่าว่า ภรรยาสามารถควบคุมผู้เป็นสามีได้ด้วยหัวกะโหลกของลิงลมที่แช่ไว้ในเหยือกน้ำอีกด้วย<ref name="จอม"/>

ในพื้นที่ภาคกลางตอนบนของไทย มีการละเล่นพื้นบ้านแบบทรงเจ้าเข้าผีเรียกว่า "ผีลิงลม" โดยการเป็นการอัญเชิญผีลิงลมเข้าสิงร่างผู้ทรง ผู้ที่เข้าทรงนั้นจะมีความว่องไว สมชื่อลิงลม เป็นการละเล่นที่นิยมเล่นกันในช่วง[[เทศกาลสงกรานต์]]<ref>{{cite web|url=http://www.thaiethnicity.com/content.php?id=48|title=การละเล่นลิงลม|date=|accessdate=26 May 2014|publisher=thaiethnicity.com}}{{ลิงก์เสีย|date=กันยายน 2021 |bot=InternetArchiveBot |fix-attempted=yes }}</ref> นายพรานบางคนมีความเชื่อผิด ๆ ว่าลิงลมเป็นตัวนำโชคร้าย ถ้าเข้าป่าล่าสัตว์แล้วเห็นลิงลมจะไม่เห็นสัตว์อื่นให้ล่า ลิงลมจึงถูกยิงทิ้งด้วยความชิงชังเสียมาก{{ต้องการอ้างอิงตรงนี้}}

== อ้างอิง ==
{{รายการอ้างอิง|2}}
{{คอมมอนส์-หมวดหมู่|Nycticebus|''Nyciticebus''}}

== แหล่งข้อมูลอื่น ==
{{wikispecies-inline|Nycticebus}}

[[หมวดหมู่:ลิงลมและกาลาโก]]
[[หมวดหมู่:สัตว์มีพิษ]]
[[หมวดหมู่:สัตว์ที่พบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้]]
[[หมวดหมู่:สัตว์ที่พบในประเทศจีน]]
[[หมวดหมู่:สัตว์ที่พบในประเทศอินเดีย]]

รุ่นแก้ไขเมื่อ 13:42, 20 ธันวาคม 2565

น้ำพริกอ่อง เป็นน้ำพริกซึ่งนิยมรับประทานกันในภาคเหนือของประเทศไทย โดยเฉพาะเมื่อมีงานบุญหรืองานออกรับแขกบ้านแขกเมืองจะต้องมีอาหารชนิดนี้อยู่ในสำรับขันโตก[1]

ส่วนผสม น้ำพริกอ่องมีรสเผ็ดจากพริก เปรี้ยวจากมะเขือเทศ (มะเขือส้ม) และเค็มจากถั่วเน่า ส่วนผสมทั้งสามอย่างนี้ทำให้น้ำพริกมีสีแดงส้มสะดุดตา น้ำพริกอ่องจะมีลักษณะคล้ายผัดหมูสับ มากกว่าจะเป็นน้ำพริกไว้จิ้มทั่วไป สามารถใส่น้ำขลุกขลิกหรือใส่น้ำจนลักษณะคล้ายแกงก็ได้ เป็นน้ำพริกที่นิยมรับประทานกับแคบหมูและผักสด เช่น แตงกวาหั่นแว่น ถั่วฝักยาว ผักกาดขาว กะหล่ำปลี ทั้งนี้จะไม่นิยมใส่น้ำตาล[1]

เครื่องปรุงสำคัญคือมะเขือส้ม นำมาผัดเคี่ยวกับเนื้อหมู และน้ำพริก แต่เดิมจะใช้เนื้อปลาช่อนย่างเพราะเนื้อหมูหายาก คำว่า "อ่อง" ในที่นี้หมายถึงวิธีการปรุงน้ำพริกที่ต้องผัดเคี่ยวทิ้งไว้ให้น้ำค่อย ๆ งวดลง รับประทานคู่กับผักชนิดต่าง ๆ เช่น ขนุนอ่อนต้ม ใบบัวบก[2]

น้ำพริกสำหรับผัดน้ำพริกอ่องจะคล้ายน้ำพริกแกงส้มของทางภาคกลางเพียงแต่ไม่ใส่กระชายและใช้พริกแห้งแทนพริกหยวก (ภาษาเหนือเรียกว่า พริกหนุ่ม) น้ำพริกจึงประกอบไปด้วย พริก เกลือ หอมแดง กระเทียม กะปิ ถั่วเน่า สามารถใส่หรือไม่ใส่ตะไคร้ก็ได้ เดิมนั้นใช้ถั่วเน่าแผ่นปิ้งไฟให้หอม ปัจจุบันสามารถใช้เต้าเจี้ยวสีน้ำตาลตามท้องตลาดแทนได้ การเจียวน้ำพริกหากไม่ชอบกระเทียมเจียวก็สามารถเจียวด้วยหอมแดงซอย น้ำพริกอ่องสามารถนำไปทำเป็นน้ำเงี้ยวต่อได้

พลังงาน ทั้งนี้น้ำพริกอ่องมีปริมาณไขมัน 9.46 กรัมต่อน้ำพริกน้ำหนัก 100 กรัม และให้พลังงาน 123 แคลลอรีต่อน้ำพริกน้ำหนัก 100 กรัม หากรับประทานกับแคบหมูก็จะได้ไขมันและพลังงานเพียงพอสำหรับอากาศช่วงฤดูหนาวทางภาคเหนือ[1]

อ้างอิง

ฉลาดชาย รมิตานนท์. "น้ำพริกกับวิถีชีวิตและธรรมชาติ". ศิลปวัฒนธรรม. 22:3 มกราคม 2544, หน้า 123
สริรักษ์ บางสุด และพลวัฒน์ อารมณ์. โอชะล้านนา. กรุงเทพฯ : แสงแดด, 2558, หน้า 21

แหล่งข้อมูลอื่น

วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ น้ำพริกอ่อง

วิธีทำน้ำพริกอ่อง เก็บถาวร 2012-05-22 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน - มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ Foodlogo2.svg บทความเกี่ยวกับอาหาร เครื่องดื่ม และหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคอื่น ๆ นี้ยังเป็นโครง คุณสามารถช่วยวิกิพีเดียได้โดยการเพิ่มเติมข้อมูล หมวดหมู่: น้ำพริกอาหารไทยภาคเหนืออาหารจากเนื้อหมูบทความเกี่ยวกับ อาหาร ที่ยังไม่สมบูรณ์