เอสเธอร์ 2
เอสเธอร์ 2 | |
---|---|
สำเนาต้นฉบับม้วนหนังสือเอสเธอร์ในช่วงต้นศตวรรษที่ 18 ที่มีภาพประกอบอย่างประณีต | |
หนังสือ | หนังสือเอสเธอร์ |
หมวดหมู่ | เคทูวีม |
ภาคในคัมภีร์ไบเบิลคริสต์ | พันธสัญญาเดิม |
ลำดับในภาคของคัมภีร์ไบเบิลคริสต์ | 17 |
เอสเธอร์ 2 (อังกฤษ: Esther 2) เป็นบทที่ 2 ของหนังสือเอสเธอร์ในคัมภีร์ฮีบรูหรือพันธสัญญาเดิมในคัมภีร์ไบเบิลของศาสนาคริสต์[1] ไม่ทราบว่าผู้เขียนหนังสือเอสเธอร์เป็นใคร นักวิชาการสมัยใหม่พิสูจน์ได้ว่าขั้นสุดท้ายของต้นฉบับภาษาฮีบรูน่าจะถูกเขียนเมื่อศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล[2] บทที่ 1 และ 2 มีฐานะเป็นบทเปิดเรื่องของหนังสือเอสเธอร์[3] บทที่ 2 เป็นการแนะนำโมรเดคัยและเอสเธอร์บุตรสาวบุญธรรมผู้มีความงามที่ชนะใจกษัตริย์อาหสุเอรัสและได้สวมมงกุฎเป็นราชินีแห่งเปอร์เซีย (วรรค 17)[4] โมรเดคัยล่วงรู้ถึงแผนการปลงพระชนม์กษัตริย์ของผู้ประสงค์ร้าย จึงทูลเอสเธอร์ให้นำความขึ้นทูลเตือนกษัตริย์ (วรรค 21–22) ผู้คิดการลอบปลงพระชนม์จึงถูกประหารชีวิตบนตะแลงแกง และกษัตริย์ทรงติดหนี้ชีวิตต่อโมรเดคัย[4]
ต้นฉบับ[แก้]
บทนี้เดิมเขียนด้วยภาษาฮีบรู แบ่งออกเป็น 23 วรรคตั้งแต่ศตวรรษที่ 16
พยานต้นฉบับ[แก้]
บางสำเนาต้นฉบับในยุคต้นที่มีข้อความของบทนี้เป็นภาษาฮีบรูมีลักษณะเป็นต้นฉบับเมโซเรติก (Masoretic Text) ได้แก่ ฉบับเลนินกราด (Leningrad Codex; ค.ศ. 1008)[5][a]
ยังมีคำแปลเป็นภาษากรีกคอยนีที่รู้จักในชื่อเซปทัวจินต์ (ทำขึ้นในช่วงไม่กี่ศตวรรษสุดท้ายก่อนคริสตกาล) ได้แก่ ฉบับวาติกัน (Codex Vaticanus; B; B; ศตวรรษที่ 4) ฉบับซีนาย (Codex Sinaiticus; S; BHK: S; ศตวรรษที่ 4) และฉบับอะเล็กซานเดรีย (Codex Alexandrinus; A; A; ศตวรรษที่ 5)[7]
การตัดสินพระทัยของกษัตริย์ที่จะแสวงหาราชินีองค์ใหม่ (2:1–4)[แก้]
เพื่อจะหาผู้มาเป็นราชินีแห่งเปอร์เซียหลังการปลดวัชทีจากตำแหน่ง กษัตริย์จึงทรงตัดสินพระทัยจะให้หาหญิงงามจากทั่วแผ่นดินเพื่อตัดสินใจหาผู้จะขึ้นเป็นราชินีตามคำแนะนำของข้าราชการของพระองค์[8]
วรรค 3[แก้]
- และขอกษัตริย์ทรงแต่งตั้งผู้แทนพระองค์ในทุกมณฑลแห่งราชอาณาจักรของพระองค์ ให้รวบรวมหญิงสาวพรหมจารีที่งดงามทุกคนมายังฮาเร็มในสุสาเมืองป้อม ให้อยู่ในอารักขาของเฮกัย ขันทีของกษัตริย์ผู้ดูแลสตรี และขอประทานเครื่องสำอางแก่พวกนาง[9]
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
เอสเธอร์ได้รับเข้าราชสำนัก (2:5–11)[แก้]
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
วรรค 5[แก้]
- ยังมียิวคนหนึ่งในสุสาเมืองป้อม ชื่อโมรเดคัย บุตรยาอีร์ ผู้เป็นบุตรชิเมอี ผู้เป็นบุตรคีช คนเบนยามิน[12]
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
วรรค 6[แก้]
- คือคีช ผู้ถูกเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์บาบิโลนกวาดต้อนจากเยรูซาเล็มไปพร้อมกับเชลยและเยโคนิยาห์กษัตริย์ยูดาห์[13]
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
วรรค 7[แก้]
- ท่านได้เลี้ยงดูฮาดาชาห์คือ เอสเธอร์ บุตรหญิงของลุงของท่านเพราะเธอไม่มีบิดามารดา หญิงสาวคนนี้รูปงามและชวนมอง เมื่อบิดามารดาของเธอสิ้นชีวิตแล้ว โมรเดคัยก็รับเธอมาเป็นบุตร[14]
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
วรรค 10[แก้]
- เอสเธอร์ไม่ได้เปิดเผยเรื่องชาติกำเนิดของเธอ เพราะโมรเดคัยกำชับเธอไม่ให้บอกใคร[15]
- "เปิดเผย" (THSV11; TNCV; NTV; THA-ERV): หรือ "บอกให้ทราบ" (TH1971; ThaiKJV) เอสเธอร์ทรงสามารถปกปิดชาติกำเนิดของพระองค์ที่เป็นชาวยิวได้เป็นอย่างดี บ่งบอกว่าพระองค์ไม่ได้ทรงปฏิบัติตามบทบัญญัติเกี่ยวกับอาหารและศาสนาของชาวยิวอย่างสม่ำเสมอ (ตรงกันข้ามกับดาเนียล)[16]
- "ชาติกำเนิดของเธอ": ในภาษาฮีบรูแปลตรงตัวว่า "ประชาชนของเธอและญาติของเธอ"[17] วลีเดียวกันในภาษาฮีบรูนี้ปรากฏในเอสเธอร์ 2:20 เช่นกันแต่สลับลำดับคำเป็น "ญาติของพระนางและประชาชนของพระนาง"[18] ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน (THSV11) แปลเป็น "ชาติกำเนิดของเธอ" ในวรรค 10 และ "ชาติกำเนิดของพระนาง" ในวรรค 20
เอสเธอร์ขึ้นเป็นราชินี (2:12–18)[แก้]
ส่วนนี้ประกอบด้วยคำอธิบายของระเบียบการเสริมความงามเป็นเวลา 12 เดือนสำหรับหญิงผู้จะรับการคัดเลือกเป็นราชินีแห่งเปอร์เซีย และยังบ่งบอกถึงลักษณะของเอสเธอร์ว่าอาจมี 'เสน่ห์มาแต่กำเนิด' ทำให้เอสเธอร์แตกต่างจากหญิงคนอื่น ๆ และท้ายที่สุดจึงได้รับเลือกเป็นราชินี[19]
วรรค 12[แก้]
- เมื่อถึงเวร หญิงสาวทุกคนจะเข้าไปเฝ้ากษัตริย์อาหสุเอรัส หลังจากได้เตรียมตัวตามระเบียบของหญิงเป็นเวลาสิบสองเดือนแล้ว (และนี่เป็นเวลาปกติสำหรับประทินผิว คือชโลมกายด้วยน้ำมันกำยานหกเดือน และด้วยเครื่องเทศและเครื่องสำอางของผู้หญิงอีกหกเดือน)[20]
- "ตามระเบียบของหญิง": จากภาษาฮีบรู "ตามกฎหมายของหญิง"[21]
วรรค 16[แก้]
- เขาได้พาเอสเธอร์เข้าไปเฝ้ากษัตริย์อาหสุเอรัสในพระราชสำนัก ในเดือนสิบซึ่งเป็นเดือนเทเบทในปีที่เจ็ดแห่งรัชกาลของพระองค์[22]
เวลาที่อ้างถึงในวรรคนี้อยู่ในช่วงเดือนมกราคมหรือกุมภาพันธ์ของ 478 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งคงเป็นช่วงเวลาไม่นานหลังจากกษัตริย์เซอร์ซีสเสด็จกลับมายังสุสาหลังสงครามกับชาวกรีก ดังนั้นความล่าช้าในการตั้งราชินีแทนที่วัชทีจึงสามารถอธิบายได้ว่าเป็นเพราะกษัตริย์เซอร์ซีสทรงไม่อยู่เป็นเวลานานเพราะเสด็จไปทำศึกกับกรีก[23]
โมรเดคัยล่วงรู้แผนปลงพระชนม์กษัตริย์ (2:19–23)[แก้]
ส่วนนี้บันทึกถึงเรื่องที่โมรเดคัยได้ยินแผนการลอบพระชนม์กษัตริย์จึงนำความทูลเอสเธอร์ เอสเธอร์จึงทรงสามารถช่วยชีวิตกษัตริย์จากข้อมูล "ในนามของโมรเดคัย" (วรรค 22)[19] เหตุการณ์นี้บอกล่วงหน้าถึงเหตุการณ์ในอนาคตซึ่งมีกลายเป็นเหตุที่ืทำให้โมรเดคัยได้รางวัลในบทที่ 6[19]
วรรค 20[แก้]
- ส่วนพระนางเอสเธอร์นั้นไม่ได้ทรงให้ใครทราบถึงชาติกำเนิดของพระนางดังที่โมรเดคัยกำชับพระนางไว้ เพราะพระนางเอสเธอร์ทรงเชื่อฟังโมรเดคัยเหมือนเมื่อครั้งที่พระนางทรงอยู่ในความดูแลของท่าน[24]
- "ไม่ได้ทรงให้ใครทราบ": เอสเธอร์ทรงสามารถปกปิดชาติกำเนิดของพระองค์ที่เป็นชาวยิวได้เป็นอย่างดี บ่งบอกว่าพระองค์ไม่ได้ทรงปฏิบัติตามบทบัญญัติเกี่ยวกับอาหารและศาสนาของชาวยิวอย่างสม่ำเสมอ (ตรงกันข้ามกับดาเนียล)[16]
- "ชาติกำเนิดของพระนาง": ในภาษาฮีบรูแปลตรงตัวว่า "ญาติของพระนางและประชาชนของพระนาง" วลีเดียวกันในภาษาฮีบรูนี้ปรากฏในเอสเธอร์ 2:10 เช่นกันแต่สลับลำดับคำเป็น "ประชาชนของเธอและญาติของเธอ"[18] ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน (THSV11) แปลเป็น "ชาติกำเนิดของเธอ" ในวรรค 10 และ "ชาติกำเนิดของพระนาง" ในวรรค 20
- "โมรเดคัยกำชับพระนางไว้": ในส่วนท้ายของวลีนี้ ในคัมภีร์ไบเบิลภาษากรีกเซปทัวจินต์มีความว่า "ให้ทรงยำเกรงพระเจ้า"[25]
วรรค 21[แก้]
- ในครั้งนั้น เมื่อโมรเดคัยกำลังนั่งอยู่ที่ประตูพระราชวัง บิกธานและเทเรช ขันทีสองคนของกษัตริย์ ผู้เฝ้าธรณีประตูมีความโกรธและหาโอกาสลอบปลงพระชนม์กษัตริย์อาหสุเอรัส[26]
- "บิกธาน": เรียกด้วยชื่อ "บิกธานา" ซึ่งเป็นการสะกดชื่ออีกแบบหนึ่งในเอสเธอร์ 6:2[27][28]
ดูเพิ่ม[แก้]
- เซอร์ซีสที่ 1
- สุสา
- ส่วนในคัมภีร์ไบเบิลที่เกี่ยวข้อง: นางรูธ 4, เนหะมีย์ 1, ดาเนียล 6, ดาเนียล 8
หมายเหตุ[แก้]
- ↑ หนังสือเอสรา-เนหะมีย์ทั้งเล่มหายไปจากฉบับอะเลปโป (Aleppo Codex) ตั้งแต่การจลาจลต่อต้านชาวยิวในอะเลปโปในปี ค.ศ. 1947[6]
อ้างอิง[แก้]
- ↑ Halley 1965, p. 238.
- ↑ Meyers 2007, p. 324.
- ↑ Clines 1988, p. 387.
- ↑ 4.0 4.1 Meyers 2007, p. 327.
- ↑ Würthwein 1995, pp. 36–37.
- ↑ P. W. Skehan (2003), "BIBLE (TEXTS)", New Catholic Encyclopedia, vol. 2 (2nd ed.), Gale, pp. 355–362
- ↑ Würthwein 1995, pp. 73–74.
- ↑ Clines 1988, p. 388.
- ↑ เอสเธอร์ 2:3 THSV11
- ↑ หมายเหตุ [a] ของเอสเธอร์ 2:3 ใน NKJV
- ↑ หมายเหตุ [b] ของเอสเธอร์ 2:3 ใน NKJV
- ↑ เอสเธอร์ 2:5 THSV11
- ↑ เอสเธอร์ 2:6 THSV11
- ↑ เอสเธอร์ 2:7 THSV11
- ↑ เอสเธอร์ 2:10 THSV11
- ↑ 16.0 16.1 หมายเหตุ [a] ของเอสเธอร์ 2:20 ใน NET Bible
- ↑ หมายเหตุของเอสเธอร์ 2:20 ใน THSV11
- ↑ 18.0 18.1 หมายเหตุ [a] ของเอสเธอร์ 2:10 ใน NET Bible
- ↑ 19.0 19.1 19.2 Clines 1988, p. 389.
- ↑ เอสเธอร์ 2:12 THSV11
- ↑ หมายเหตุ [a] ของเอสเธอร์ 2:12 ใน NET
- ↑ เอสเธอร์ 2:16 THSV11
- ↑ Ellicott, C. J. (Ed.) (1905). Ellicott's Bible Commentary for English Readers. Esther 2. London : Cassell and Company, Limited, [1905-1906] Online version: (OCoLC) 929526708. Accessed 28 April 2019.
- ↑ เอสเธอร์ 2:20 THSV11
- ↑ หมายเหตุ [b] ของเอสเธอร์ 2:20 ใน NET Bible
- ↑ เอสเธอร์ 2:21 THSV11
- ↑ หมายเหตุ [a] ของเอสเธอร์ 2:21 ใน NKJV
- ↑ หมายเหตุ [a] ของเอสเธอร์ 2:21 ใน NET
บรรณานุกรม[แก้]
- Clines, David J. A. (1988). "Esther". ใน Mays, James Luther; Blenkinsopp, Joseph (บ.ก.). Harper's Bible Commentary (illustrated ed.). Harper & Row. pp. 387–394. ISBN 978-0060655419.
- Crawford, Sidnie White (2003). "Esther". ใน Dunn, James D. G.; Rogerson, John William (บ.ก.). Eerdmans Commentary on the Bible (illustrated ed.). Wm. B. Eerdmans Publishing. pp. 329–336. ISBN 978-0802837110. สืบค้นเมื่อ October 28, 2019.
- Halley, Henry H. (1965). Halley's Bible Handbook: an abbreviated Bible commentary (24th (revised) ed.). Zondervan Publishing House. ISBN 0-310-25720-4.
- Larson, Knute; Dahlen, Kathy; Anders, Max E. (2005). Anders, Max E. (บ.ก.). Holman Old Testament Commentary - Ezra, Nehemiah, Esther. Holman Old Testament commentary. Vol. 9 (illustrated ed.). B&H Publishing Group. ISBN 978-0805494693. สืบค้นเมื่อ October 28, 2019.
- Meyers, Carol (2007). "16. Esther". ใน Barton, John; Muddiman, John (บ.ก.). The Oxford Bible Commentary (first (paperback) ed.). Oxford University Press. pp. 324–330. ISBN 978-0199277186. สืบค้นเมื่อ February 6, 2019.
- Moore, Carey A. (Sep–Dec 1975). "Archaeology and the Book of Esther". The Biblical Archaeologist. 38 (3/4): 62–79. doi:10.2307/3209587. JSTOR 3209587. S2CID 166110735.
- Smith, Gary (2018). Ezra, Nehemiah, Esther. Cornerstone Biblical Commentary. Vol. 5. Tyndale House. ISBN 978-1414399126.
- Turner, L. A. (2013). Desperately Seeking YHWH: Finding God in Esther's "Acrostics". Interested Readers. Essays on the Hebrew Bible in Honor of David J. A. Clines, 183–193.
- Würthwein, Ernst (1995). The Text of the Old Testament. แปลโดย Rhodes, Erroll F. Grand Rapids, MI: Wm. B. Eerdmans. ISBN 0-8028-0788-7. สืบค้นเมื่อ January 26, 2019.
อ่านเพิ่มเติม[แก้]
- Bechtel, Carol (1983). Esther. Westminster John Knox Press. ISBN 978-0664237455.
- Bush, Frederic W. (2018). Ruth-Esther. Word Biblical Commentary. Vol. 9. Zondervan Academic. ISBN 978-0310588283.
- McConville, J. G. (1985). Ezra, Nehemiah, and Esther. The daily study Bible : Old Testament. Westminster John Knox Press. ISBN 978-0664245832. สืบค้นเมื่อ October 28, 2019.
แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]
- คำแปลในศาสนายูดาห์:
- Esther - Chapter 2 (Judaica Press) translation [with Rashi's commentary] at Chabad.org
- คำแปลในศาสนาคริสต์:
- Online Bible at GospelHall.org (ESV, KJV, Darby, American Standard Version, Bible in Basic English)
- Book of Esther Chapter 2. Bible Gateway
- เอสเธอร์ 2. ยูเวอร์ชัน