อุทกภัยในประเทศปากีสถาน พ.ศ. 2553
ภาพถ่ายดาวเทียมของนาซา แสดงแม่น้ำสิทธุขณะเกิดอุทกภัย | |
วันที่ | 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2553–สิงหาคม พ.ศ. 2553 |
---|---|
เสียชีวิต | 1,781+[1] |
ทรัพย์สินเสียหาย | 43,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[2] (ประมาณการ) |
อุทกภัยในประเทศปากีสถาน พ.ศ. 2553 เริ่มขึ้นในปลายเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2553 หลังเกิดฝนมรสุมตกหนักในหลายภูมิภาคของประเทศปากีสถาน และมีผลกระทบต่อที่ราบลุ่มแม่น้ำสินธุ ประมาณหนึ่งในห้าของพื้นที่ปากีสถานทั้งหมดจมใต้น้ำ คิดเป็นราว 796,095 ตารางกิโลเมตร[3][4][5] ตามข้อมูลของรัฐบาลปากีสถาน อุทกภัยดังกล่าวมีผลกระทบโดยตรงต่อประชากรราว 20 ล้านคน ส่วนใหญ่จากการทำลายล้างทรัพย์สิน การดำรงชีพ และโครงสร้างพื้นฐาน โดยมียอดผู้เสียชีวิตเกือบ 2,000 คน[1]
เลขาธิการใหญ่สหประชาชาติ บัน คี มูน แต่แรกได้เรียกร้องเงิน 460 ล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นความช่วยเหลือฉุกเฉิน โดยระบุว่าอุทกภัยครั้งนี้เป็นภัยพิบัติครั้งร้ายแรงที่สุดที่เขาเคยเห็น แต่จนถึงวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2553 มีการส่งเงินช่วยเหลือมาเพียง 20% จากที่ร้องขอเท่านั้น[6] สหประชาชาติกังวลว่าความช่วยเหลือจะมาถึงไม่ทันการณ์ และองค์การอนามัยโลกรายงานว่า ประชาชนสิบล้านคนถูกบีบให้ดื่มน้ำที่ไม่ปลอดภัย[7] เศรษฐกิจปากีสถานถูกทำลายหนักอันเกิดจากความเสียหายที่เกิดกับโครงสร้างพื้นฐานและพืชผลอย่างกว้างขวาง[8] ความเสียหายต่อโครงสร้างนั้นถูกประเมินว่าเกิน 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และพืชผลข้าวสาลีประเมินว่าได้รับความเสียหายเกิน 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[9] ผลกระทบทางเศรษฐกิจทั้งสิ้นอาจเกิน 43,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[10][11]
สาเหตุ[แก้]
อุทกภัยครั้งนี้ได้รับอิทธิพลจากฝนมรสุมมากอย่างไม่เคยมีมาก่อน[12] แผนที่ฝนตกผิดปกติซึ่งตีพิมพ์โดยนาซา แสดงให้เห็นฝนมรสุมหนาแน่นผิดปกติ อันคาดว่าเป็นผลจากปรากฏการณ์ลานีญา[13] วันที่ 21 มิถุนายน กรมอุตุนิยมวิทยาปากีสถานเตือนว่าอุทกภัยในเขตเมืองและน้ำป่าไหลหลากอาจเกิดขึ้นตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงกันยายนทางตอนเหนือของประเทศ[14] กรมดังกล่าวได้บันทึกปริมาณน้ำฝนสูงกว่าปกติในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม พ.ศ. 2553[15] และเฝ้าระวังการเปลี่ยนรูปของคลื่นอุทกภัย (flood wave progression)[16] ปริมาณฝนตกนั้นเทียบได้กับเมื่อครั้งเกิดอุทกภัยเมื่อ พ.ศ. 2531, 2538 และ 2540[17] ปริมาณฝนฤดูมรสุมทั่วประเทศ พ.ศ. 2553 เกิน 87% และสูงที่สุดนับแต่ พ.ศ. 2537 และมากที่สุดเป็นอันดับสองในช่วงระยะเวลาห้าสิบปีหลังสุด[18]
บทความในนิวไซแอนทิสต์คาดว่าสาเหตุของปริมาณฝนผิดปกติเกิดขึ้นจาก "การแข็ง" ของลมกรด[19] ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ได้รับรายงานว่ายังเป็นสาเหตุของคลื่นความร้อนและไฟป่าในรัสเซียอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เช่นเดียวกับอุทกภัยในสหราชอาณาจักร พ.ศ. 2550[20]
ในการรับมือกับอุทกภัยแม่น้ำสินธุใน พ.ศ. 2516 และ 2519 ที่ผ่านมา ปากีสถานได้แต่งตั้งคณะกรรมการอุทกภัยกลาง (FFC) ใน พ.ศ. 2520 FFC ดำเนินการภายใต้กำกับกระทรวงน้ำและพลังงานของปากีสถาน มีหน้าที่รับผิดชอบโครงการควบคุมอุทกภัยและคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินของชาวปากีสถานจากผลกระทบของอุทกภัย นับแต่ก่อตั้ง FFC ได้รับงบประมาณแล้ว 87,800 ล้านรูปีปากีสถาน (ราว 900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เอกสาร FFC แสดงให้เห็นว่าหลายโครงการได้ริเริ่มขึ้น ได้รับการสนับสนุนงบประมาณและดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว แต่รายงานยังชี้ว่าแท้จริงแล้วมีการดำเนินการเพียงเล็กน้อยเพราะผู้นำไร้ประสิทธิภาพและการฉ้อราษฎร์บังหลวง[21]
อุทกภัยและผลกระทบ[แก้]
อุทกภัย[แก้]
ฝนฤดูมรสุมพยากรณ์ว่าจะตกต่อไปจนถึงต้นเดือนสิงหาคม และบรรรยายว่าเลวร้ายที่สุดในพื้นที่นี้ใน 80 ปีหลัง[22] กรมอุตุนิยมวิทยาปากีสถานรายงานว่ามีฝนตกเกิน 200 มิลลิเมตรในช่วง 24 ชั่วโมงในแคว้นแคบาร์ปัคตูนควาและรัฐปัญจาบ[23] ฝนตกทำลายสถิติ 274 มิลลิเมตรในเปศวาร์ในช่วง 24 ชั่วโมง[24] สถิติครั้งก่อน คือ 187 มิลลิเมตรในเดือนเมษายน พ.ศ. 2552[25] จนถึงวันที่ 30 กรกฎาคม มีประชาชนมากกว่า 500,000 คนต้องย้ายออกจากบ้าน[22] วันที่ 30 กรกฎาคม Manuel Bessler หัวหน้าสำนักงานเพื่อการประสานงานด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติ แถลงว่ามี 36 เขตได้รับผลกระทบ และมีประชาชนเดือดร้อน 950,000 คน[26] แม้เพียงหนึ่งวัน ตัวเลขรายงานได้เพิ่มขึ้นเป็นสูงถึงหนึ่งล้านคน[27] และจนถึงกลางเดือนสิงหาคม ทางสำนักงานฯ ได้เพิ่มตัวเลขเป็นเกือบ 20 ล้านคนได้รับผลกระทบ[28]
จนถึงกลางเดือนสิงหาคม ตามข้อมูลของคณะกรรมการอุทกภัยกลางของรัฐ อุทกภัยครั้งนี้ได้ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 1,540 คน ขณะที่อีก 2,088 คนได้รับบาดเจ็บ บ้านเรือนถูกทำลายไป 557,226 หลัง และอีกมากกว่า 6 ล้านคนพลัดถิ่น[21] หนึ่งเดือนให้หลัง ตัวเลขได้เพิ่มขึ้นเป็นเสียชีวิต 1,781 คน ได้รับบาดเจ็บ 2,966 คน และบ้านเรือนมากกว่า 1.89 ล้านหลัง ถูกทำลาย[1]
รัฐมนตรีสารสนเทศรัฐไคเบอร์-ปัคตุนควา Mian Iftikhar Hussain ว่า "โครงสร้างพื้นฐานของรัฐนี้ถูกทำลายลงแล้วจากการก่อการร้าย อะไรก็ตามที่หลงเหลืออยู่ถูกอุทกภัยครั้งนี้ทำลายสิ้น"[29] เขายังเรียกอุทกภัยนี้ว่า "หายนะครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของเรา"[30] ชาวปากีสถานสี่ล้านคนถูกทิ้งให้ขาดแคลนอาหาร[31]
ทางหลวงคอราคอรัม ซึ่งเชื่อมปากีสถานกับจีน ปิดลงหลังสะพานถูกทำลาย[32] อุทกภัยทำลายล้างที่กำลังดำเนินอยู่ในปากีสถานจะมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อประชาชนที่ด้อยโอกาสอยู่แล้ว ตามข้อมูลของคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ นอกเหนือไปจากความเสียหายทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากอุทกภัยแล้ว น้ำที่มากับอุทกภัยได้ทำลายโครงสร้างพื้นฐานสาธารณสุขไปมากในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด ทิ้งให้ผู้อยู่อาศัยเผชิญกับโรคที่มากับน้ำ[33] ในรัฐสินธ์ แม่น้ำสินธุล้นฝั่งใกล้กับเมือง Sukkur เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม และจมหมู่บ้านแห่งหนึ่ง[31] กฎหมายและความสงบเรียบร้อยหมดไป ในรัฐสินธ์เป็นหลัก โจรฉวยโอกาสน้ำท่วมนั้นปล้นสะดมบ้านที่ถูกทิ้งโดยใช้เรือ[34]
ในต้นเดือนสิงหาคม อุทกภัยที่หนักที่สุดได้เลื่อนลงมาทางใต้ตามแม่น้ำสินธุจากพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงทางเหนือไปยังรัฐปัญจาบตะวันตก ที่ซึ่งพื้นที่เกษตรกรรมอย่างน้อย 1.4 ล้านเอเคอร์ถูกทำลาย[31] และมุ่งต่อไปยังรัฐสินธ์ทางใต้[35] พืชผลที่ได้รับผลกระทบมีฝ้าย อ้อย ข้าว ถั่ว ยาสูบและอาหารสัตว์ น้ำที่มากับอุทกภัยและฝนได้ทำลายฝ้าย 700,000 เอเคอร์, ข้าวและอ้อยอย่างละ 200,000 เอเคอร์, ข้าวสาลี 500,000 ตัน และอาหารสัตว์ 300,000 เอเคอร์[36][37] ตามข้อมูลของสมาคมคนปั่นฝ้ายแห่งปากีสถาน (Pakistan Cotton Ginners Association) อุทกภัยครั้งนี้ได้ทำลายฝ้ายไป 2 ล้านมัด ซึ่งทำให้ราคาซื้อขายล่วงหน้าเพิ่มขึ้น[38][39] พลเมือง 170,000 คน (หรือ 70% ของประชากร) ของเมืองประวัติศาสตร์ Thatta ในรัฐสินธ์ หนีน้ำเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม[40]
จนถึงปลายเดือนกันยายน ระดับน้ำโดยทั่วไปเริ่มลดลง แม้ในบางพื้นที่ เช่นรัฐสินธ์ มีรายงานเกิดอุทกภัยรอบใหม่ ประชาชนพลัดถิ่นส่วนใหญ่ยังไม่สามารถกลับบ้านได้[1]
ผลที่ตามมา[แก้]
โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของปากีสถานได้รับผลกระทบรุนแรงจากอุทกภัย ซึ่งได้สร้างความเสียหายแก่สายส่งไฟฟ้าและหม้อแปลงไฟฟ้า สายป้อนและโรงกำเนิดไฟฟ้า 10,000 แห่งในบริเวณที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย น้ำนั้นได้จมโรงกำเนิดไฟฟ้ากว่า 150 แห่งในกิลกิต ความเสียหายดังกล่าวทำให้ขาดแคลนพลังงานไปกว่า 3,000 เมกะวัตต์[41]
หน่วยงานให้ความช่วยเหลือเตือนว่าอาจเกิดโรคระบาด (เช่น กระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบ ท้องร่วงและโรคผิวหนัง) เนื่องจากการขาดแคลนน้ำดื่มสะอาดและการสุขาภิบาลเป็นความเสี่ยงร้ายแรงใหม่ของผู้ประสบอุทกภัย[42][43] วันที่ 14 สิงหาคม มีรายงานผู้ป่วยอหิวาตกโรครายแรกเกิดขึ้นในเมืองมินโกรา ทำให้เกิดความกลัวแก่ผู้ประสบอุทกภัยนับล้านคน ผู้ซึ่งทรมานจากโรคกระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบและท้องร่วงอยู่ก่อนแล้ว[44][45] ปากีสถานยังเผชิญกับการระบาดของมาลาเรีย[46]
กาชาดสากลรายงานว่า สรรพาวุธที่ไม่ระเบิด เช่น ทุ่นระเบิดและกระสุนปืนใหญ่ ถูกพัดพาตามกระแสน้ำโดยอุทกภัยจากพื้นที่ในกัศมีร์และวาซิริสถานเหนือ และกระจัดกระจายกันอยู่ในพื้นที่ลุ่มต่ำ ซึ่งเป็นความเสี่ยงในอนาคตแก่ผู้อยู่อาศัยเมื่อกลับมา[47]
สหประชาชาติประเมินว่าประชาชน 800,000 คนถูกตัดขาดจากโลกภายนอกจากอุทกภัยในปากีสถาน และสามารถเข้าถึงได้ทางอากาศเท่านั้น นอกจากนี้ ยังแถลงว่ามีความต้องการเฮลิคอปเตอร์เพิ่มอีกอย่างน้อย 40 ลำเพื่อลำเลียงความช่วยเหลือช่วยชีวิตแก่ประชาชนที่สิ้นหวังมากขึ้น ประชาชนที่ถูกตัดขาดมากนั้นอยู่ในเขตภูเขาทางตะวันตกเฉียงเหนือ ที่ซึ่งถนนและสะพานถูกพัดพาไปกับกระแสน้ำ[48]
การบรรเทาสาธารณภัย[แก้]
จนถึงปลายเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2553 ปากีสถานได้ร้องขอผู้ให้บริจาคระหว่างประเทศเพื่อช่วยเหลือจากภัยพิบัติดังกล่าว[49] โดยได้รับจัดหาเฮลิคอปเตอร์ยี่สิบเอ็ดลำและเรือ 150 ลำเพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ตามข้อมูลขององค์การจัดการภัยพิบัติแห่งชาติ[50] ขณะนั้น สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำปากีสถานได้จัดเฮลิคอปเตอร์ให้เจ็ดลำ[51] สหประชาชาติเริ่มการบรรเทาสาธารณภัยขององค์การ[26] และขอบริจาคเงิน 460 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อจัดหาความช่วยเหลือทันที รวมทั้งอาหาร ที่พักและน้ำสะอาด วันที่ 14 สิงหาคม เลขาธิการสหประชาชาติ บัน คี มูน เดินทางเยือนปากีสถานเพื่อตรวจตราและอภิปรายการบรรเทาสาธารณภัย[42][43] โฆษกกองทัพปากีสถานว่า ได้มีการจัดวางกำลังพลในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบทั้งหมดและได้ช่วยเหลือประชาชนหลายพันคน[29] นายกรัฐมนตรี ยูซัฟ ราซา กิลลานี เยือนรัฐและสั่งการให้กองทัพเรือปากีสถานช่วยอพยพผู้ประสบอุทกภัย[52] จนถึงต้นเดือนสิงหาคม มีประชาชนได้รับการช่วยเหลือมากกว่า 352,291 คน[53]
ตามข้อมูลของสำนักงานเพื่อการประสานงานด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติ มีเงินสนับสนุนด้านมนุษยธรรมบริจาคเข้ามาในแผนบรรเทาอุทกภัยและฟื้นฟูเบื้องต้นระหว่างสิงหาคม 2553 – กรกฎาคม 2554 ทั้งหมด 1,380 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[54]
อ้างอิง[แก้]
- ↑ 1.0 1.1 1.2 1.3 Singapore Red Cross (15 กันยายน 2010). "Pakistan Floods:The Deluge of Disaster - Facts & Figures as of 15 September 2010". สืบค้นเมื่อ 18 ตุลาคม 2010.
- ↑ Kamal Hyder (1 กันยายน 2010). "As Pakistan drowns, its leaders fight | Al Jazeera Blogs". Blogs.aljazeera.net. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 กรกฎาคม 2011. สืบค้นเมื่อ 5 ธันวาคม 2010.
- ↑ "Millions of Pakistan children at risk of flood diseases". BBC News Online. 16 สิงหาคม 2010. สืบค้นเมื่อ 16 สิงหาคม 2010.
- ↑ Goodwin, Liz. "One-fifth of Pakistan under water as flooding disaster continues". News.yahoo.com. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 20 สิงหาคม 2010. สืบค้นเมื่อ 24 สิงหาคม 2010.
- ↑ Updated at 7:20am on 22 August 2010. "The International Monetary Fund says the floods which have devastated Pakistan will present a massive economic and political challenge to its government and people". Radionz.co.nz. สืบค้นเมื่อ 24 สิงหาคม 2010.
- ↑ "UN chief: Pakistan needs more aid". Al Jazeera. 15 สิงหาคม 2010.
- ↑ MacFarquhar, Neil (18 สิงหาคม 2010). "U.N. Warns of Supply Shortage in Pakistan". New York Times. สืบค้นเมื่อ 18 สิงหาคม 2010.
- ↑ "Floods to hit economic growth: Finance Ministry". Dawn News. 10 สิงหาคม 2010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 สิงหาคม 2010. สืบค้นเมื่อ 10 สิงหาคม 2010.
- ↑ "Preliminary Damage Estimates for Pakistani Flood Events, 2010" (PDF). Ball State University Center for Business and Economic Research. สิงหาคม 2010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 19 กรกฎาคม 2011. สืบค้นเมื่อ 18 สิงหาคม 2010.
- ↑ "Pakistan evacuates thousands in flooded south - Yahoo! News". News.yahoo.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 สิงหาคม 2010. สืบค้นเมื่อ 24 สิงหาคม 2010.
- ↑ "Pakistan battles economic pain of floods". The Jakarta Globe. 19 สิงหาคม 2010. สืบค้นเมื่อ 24 สิงหาคม 2010.
- ↑ "Extreme Weather Causes Massive Flooding in Pakistan, Wildfires in Russia". 3 สิงหาคม 2010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 สิงหาคม 2010. สืบค้นเมื่อ 3 สิงหาคม 2010.
- ↑ "Unusually Intense Monsoon Rains". 3 สิงหาคม 2010. สืบค้นเมื่อ 3 สิงหาคม 2010.
- ↑ "Forecast". 20 สิงหาคม 2010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 สิงหาคม 2010. สืบค้นเมื่อ 20 สิงหาคม 2010.
- ↑ "Monsoon". 20 สิงหาคม 2010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 สิงหาคม 2010. สืบค้นเมื่อ 20 สิงหาคม 2010.
- ↑ "Flood wave". 20 สิงหาคม 2010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 สิงหาคม 2010. สืบค้นเมื่อ 20 สิงหาคม 2010.
- ↑ "Past floods". 20 สิงหาคม 2010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 สิงหาคม 2010. สืบค้นเมื่อ 20 สิงหาคม 2010.
- ↑ "Pakistan's Monsoon 2011 (July & August)". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 พฤศจิกายน 2011. สืบค้นเมื่อ 4 พฤศจิกายน 2011.
- ↑ Michael Marshall (10 สิงหาคม 2010). "Frozen jet stream links Pakistan floods, Russian fires". สืบค้นเมื่อ 11 สิงหาคม 2010.
- ↑ "IRIN Global : Early Warning Environment Natural Disasters | News Item". Irinnews.org. สืบค้นเมื่อ 24 สิงหาคม 2010.
- ↑ 21.0 21.1 Ahmadani A (19 สิงหาคม 2010). "Heavily Funded FFC Fails to Deliver". TheNation. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 กรกฎาคม 2011. สืบค้นเมื่อ 17 ตุลาคม 2010.
- ↑ 22.0 22.1 "Flooding kills hundreds in Pakistan and Afghanistan". BBC. 30 กรกฎาคม 2010. สืบค้นเมื่อ 30 กรกฎาคม 2010.
- ↑ "Wunder Blog : Weather Underground". Wunderground.com. สืบค้นเมื่อ 24 สิงหาคม 2010.
- ↑ "Rainfall Statement July-2010". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 20 สิงหาคม 2010. สืบค้นเมื่อ 4 พฤศจิกายน 2011.
- ↑ "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 สิงหาคม 2010. สืบค้นเมื่อ 4 พฤศจิกายน 2011.
- ↑ 26.0 26.1 "UN starts relief works in flood hit provinces". Dawn. 30 กรกฎาคม 2010. สืบค้นเมื่อ 30 กรกฎาคม 2010.
- ↑ "UN voices Pakistan flood fears as death toll soars". BBC. 31 กรกฎาคม 2010. สืบค้นเมื่อ 31 กรกฎาคม 2010.
- ↑ "UN says Pakistan urgently needs more aid helicopters". BBC News Online. 20 สิงหาคม 2010. สืบค้นเมื่อ 21 สิงหาคม 2010.
- ↑ 29.0 29.1 Witte, Griff; Khan, Haq Nawaz (30 กรกฎาคม 2010). "Government ramps up relief efforts in flooded northwest Pakistan". The Washington Post. สืบค้นเมื่อ 30 กรกฎาคม 2010.
- ↑ Khan, Ismail (30 กรกฎาคม 2010). "400 Killed in Flooding in Pakistan, Officials Say". The New York Times. สืบค้นเมื่อ 30 กรกฎาคม 2010.
- ↑ 31.0 31.1 31.2 Bodeen, Christopher (8 สิงหาคม 2010). "Asia flooding plunges millions into misery". Associated Press. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 กันยายน 2010. สืบค้นเมื่อ 8 สิงหาคม 2010.
- ↑ "Over 800 dead due to flooding: Mian Iftikhar". Dawn. 31 กรกฎาคม 2010. สืบค้นเมื่อ 31 กรกฎาคม 2010.
- ↑ Pakistan: preventive health measures in flood-affected. ICRC News Release. 4 สิงหาคม 2010.
- ↑ "Rescue teams race against Pakistan floods and pirate bandits". The Christian Science Monitor. 11 สิงหาคม 2010. สืบค้นเมื่อ 11 สิงหาคม 2010.
- ↑ Guerin, Orla (7 สิงหาคม 2010). "Pakistan issues flooding 'red alert' for Sindh province". British Broadcasting Corporation. สืบค้นเมื่อ 7 สิงหาคม 2010.
- ↑ "Pakistan floods cause 'huge losses' to crops". BBC. 12 สิงหาคม 2010. สืบค้นเมื่อ 12 สิงหาคม 2010.
- ↑ "Sugar, Wheat, Rice Crops Worth $2.9 Billion Ruined by Pakistan's Floods". Bloomberg. 12 สิงหาคม 2010. สืบค้นเมื่อ 12 สิงหาคม 2010.
- ↑ "Pakistan Floods Destroy 2 Million Bales of Cotton, Group Says". Bloomberg. 12 สิงหาคม 2010. สืบค้นเมื่อ 12 สิงหาคม 2010.
- ↑ "India Cotton Demand to Rise After Pakistan Floods, FCStone Says". Bloomberg. 12 สิงหาคม 2010. สืบค้นเมื่อ 12 สิงหาคม 2010.
- ↑ Mark Tran and agencies (27 สิงหาคม 2010). "Pakistan flood victims flee Thatta after another levee is breached | World news | guardian.co.uk". London: Guardian. สืบค้นเมื่อ 4 กันยายน 2010.
- ↑ Nathanial Gronewold (13 ตุลาคม 2010). "After the Pakistan Deluge, Blackouts Spread". The New York Times. สืบค้นเมื่อ 14 กรกฎาคม 2023.
- ↑ 42.0 42.1 Erskine, Carole (13 สิงหาคม 2010). "Pakistan Flood Victims Face Illness Threat". Sky News. สืบค้นเมื่อ 13 สิงหาคม 2010.
- ↑ 43.0 43.1 "Disease Threatens Pakistan Flood Victims". VOANews. 13 สิงหาคม 2010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 สิงหาคม 2010. สืบค้นเมื่อ 13 สิงหาคม 2010.
- ↑ "Pakistan floods stoke cholera fears". Al-Jazeera. 14 สิงหาคม 2010. สืบค้นเมื่อ 14 สิงหาคม 2010.
- ↑ "Cholera confirmed in Pakistani flood disaster". Associated Press. 14 สิงหาคม 2010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 กันยายน 2010. สืบค้นเมื่อ 14 สิงหาคม 2010.
- ↑ "Pakistan faces malaria outbreak - Asia". Al Jazeera English. 14 ตุลาคม 2010. สืบค้นเมื่อ 5 ธันวาคม 2010.
- ↑ ذیشان ظفر بی بی سی اردو ڈاٹ کام، اسلام آباد. BBC Urdu - پاکستان - سیلاب سے ایک نیا خطرہ. BBC.co.uk. สืบค้นเมื่อ 24 สิงหาคม 2010.
- ↑ "UN says 800,000 cut off by Pakistan floods". News.yahoo.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 สิงหาคม 2010. สืบค้นเมื่อ 24 สิงหาคม 2010.
- ↑ "Pakistan floods 'kill 800' people and affect a million". BBC News. 31 กรกฎาคม 2010. สืบค้นเมื่อ 31 กรกฎาคม 2010.
- ↑ Khan, Riaz; Mughal, Roshan (30 กรกฎาคม 2010). "Floods ravage NW Pakistan, kill 430 people". Associated Press. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 สิงหาคม 2010. สืบค้นเมื่อ 30 กรกฎาคม 2010.
- ↑ Bhatti, Jamil (30 กรกฎาคม 2010). "Emergency declared in Pakistani flood-hit areas". Xinhua News Agency. สืบค้นเมื่อ 30 กรกฎาคม 2010.
- ↑ Rana, Aamir Ilyas (30 กรกฎาคม 2010). "Navy personnel to evacuate flood-hit areas". The Express Tribune. สืบค้นเมื่อ 30 กรกฎาคม 2010.
- ↑ "More rain may mean fresh misery for Pakistan flood victims". CNN. 12 สิงหาคม 2010. สืบค้นเมื่อ 12 สิงหาคม 2010.
- ↑ UNOCHA. "Pakistan Floods Relief and Early Recovery Response Plan (Revised) (August 2010 - July 2011)". สืบค้นเมื่อ 14 กรกฎาคม 2023.