ผู้ใช้:Minos777/โรงเรียน
นี่คือหน้าทดลองเขียนของ Minos777 หน้าทดลองเขียนเป็นหน้าย่อยของหน้าผู้ใช้ ซึ่งผู้ใช้มีไว้ทดลองเขียนหรือไว้พัฒนาหน้าต่าง ๆ แต่นี่ไม่ใช่หน้าบทความสารานุกรม ทดลองเขียนได้ที่นี่ หน้าทดลองเขียนอื่น ๆ: หน้าทดลองเขียนหลัก |
โรงเรียนวัดสุทธิวราราม ถูกสถาปนาขึ้นในปี พ.ศ. 2454 โดยกรมศึกษาธิการได้รับไว้เรียกชื่อว่า โรงเรียนมัธยมพิเศษสุทธิวราราม โดยเปิดทำการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1-6 เป็นโรงเรียนชายล้วน ปัจจุบันเป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่พิเศษและเป็นโรงเรียนที่มีการแข่งขันสูงโรงเรียนหนึ่ง ดำเนินนโยบายแผนปฏิบัติการประจำปีสอดคล้องกับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากรุงเทพมหานคร สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ มีเนื้อที่ 5 ไร่ 2 งาน 80 ตารางวา ดำเนินนโยบายแผนปฏิบัติการประจำปีสอดคล้องกับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากรุงเทพมหานคร มีอาคารเรียนทั้งหมด 6 หลัง ห้องเรียน 72 ห้อง มีครูทั้งหมด 149 คน จำนวนนักเรียนในปีการศึกษา 2554 รวมทั้งสิ้น 3,520 คน
ประวัติ[แก้]
พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เสด็จพระราชดำเนินมาทรงกระทำพิธีเปิด เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2454 และพระราชทานนามว่า โรงเรียนมัธยมพิเศษวัดสุทธิวราราม
การสถาปนาโรงเรียนนั้นเกิดมาจากแนวคิดของบุตรธิดานางอุปการโกษากร หรือ ท่านปั้น ณ สงขลา วัชราภัย มีพระศิริศาสตร์ประสิทธิ์ (สุหร่าย วัชราภัย) บุตรชายคนโตของท่านปั้นเป็นหัวหน้า โดยตกลงกันว่าจะบำเพ็ญกุศลสนองคุณบุพการีในการฌาปนกิจศพท่านปั้นผู้เป็นมารดาซึ่งถึงแก่กรรมด้วยโรคฝีมาตั้งแต่ พ.ศ. 2451 ด้วยการสร้างสิ่งสาธารณประโยชน์ คือ "สถานศึกษา" โรงเรียนวัดสุทธิวราราม ถูกสถาปนาขึ้นบนธรณีสงฆ์ของบริเวณที่เดิมเรียกว่าวัดลาว อันเนื่องมาจาก เดิมวัดลาวนี้เป็นวัดร้าง ท่านผู้หญิงสุทธิ์ภรรยาเจ้าพระยาวิเชียรคีรี (เม่น ณ สงขลา) มารดาของท่านปั้น ได้บูรณะขึ้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงพระราชนามใหม่ว่า "วัดสุทธิวราราม" ตามนามของท่านผู้หญิงสุทธิ์ ซึ่งภายหลังท่านปั้น ได้เป็นผู้อุปถัมภ์วัดสุทธิวราราม โดยท่านได้รับการแต่งตั้งเป็นมรรคนายิกา ดังนั้นเมื่อท่านปั้นได้ถึงแก่กรรมลง บุตร-ธิดาของท่านปั้นจึงได้สร้างโรงเรียนขึ้นบำเพ็ญกุศลแทนคุณมารดาที่วัดสุทธิวรารามแห่งนี้
พระศิริศาสตร์ประสิทธิ์ได้เป็นผู้นำในการปรึกษาเรื่องดังกล่าวกับกรมศึกษาธิการ กระทรวงธรรมการ ซึ่งได้ให้ความร่วมมือในการออกแบบก่อสร้างอาคารตามแบบที่เหมาะสม โรงเรียนดังกล่าวซึ่งกรมศึกษาธิการรับไว้เรียกชื่อว่า "'โรงเรียนมัธยมพิเศษสุทธิวราราม"' เริ่มเปิดทำการสอนในวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2454 เป็นวันแรก มีการประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2454
หลังจากมีพิธีเปิดโรงเรียนมัธยมพิเศษสุทธิวรารามอย่างเป็นทางการในวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2454 และเริ่มทำการเรียนการสอนในวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2454 แล้ว พระยาวิสุทธิสุริยศักดิ์ เสนาบดีกระทรวงธรรมการ ได้ทำหนังสือรายงานเรื่องดังกล่าวไปถวาย พระเจ้าพี่ยาเธอ พระองค์เจ้าประวิตรวัฒโนดม กรมหมื่นปราจิณกิติบดี ราชเลขานุการ ในวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2454 ในจดหมายนั้นมีใจความสำคัญตอนท้ายว่า
โรงเรียนนี้กรมศึกษาธิการได้รับไว้ และเปิดใช้เปนโรงเรียนชั้นมัธยมเรียกว่าโรงเรียนพิเศษสุทธิวราราม รับนักเรียนเข้าเล่าเรียนตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม ร.ศ.130 เป็นต้นไป บรรดาผู้ที่ออกทรัพย์ก่อสร้างโรงเรียนของพระราชทานถวายพระราชกุศล ถ้ามีโอกาสอันควรขอฝ่าพระบาทได้โปรดนำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
- ควรมิควรแล้วแต่จะโปรดเกล้าฯ
- ข้าพระพุทธเจ้า วิสุทธสุริยศักดิ์
เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบความกราบบังคมทูลแล้ว จึงมีพระราชหัตถเลขาตอบกลับมายังราชเลขานุการในวันเดียวกัน พระราชกระแสในพระราชหัตถเลขามีความว่า
อนุโมทนา และมีความมั่นใจอยู่ว่า การที่บุตรของปั้นได้พร้อมใจกันบำเพ็ญกุศลเช่นนี้ คงจะมีผลานิสงษ์ดียิ่งกว่าที่สร้างวัดขึ้นได้สำหรับให้เปนที่อาไศยแอบแฝงแห่งเหล่าอลัชชี ซึ่งเอาผ้ากาสาวพัตร์ปกปิดกายไว้เพื่อให้พ้นความอดเท่านั้น มิได้นำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ทั้งพุทธจักรและอาณาจักรเลย การสร้างโรงเรียนขึ้นให้เป็นที่ศึกษาแห่งคนไทยเช่นนี้ เชื่อว่ามีผลดีทั้งในฝ่ายพุทธจักรและอาณาจักร เพราะฉะนั้นจึ่งควรสรรเสริญและอนุโมทนามาในส่วนกุศล
อนึ่งถ้ามีโอกาสขอให้พระยาวิสุทธช่วยชี้แจงต่อๆไปว่า ถ้าผู้ใดมีน้ำใจศรัทธาและมีความประสงค์ขะทำบุญให้ได้ผลานิสงษ์อันงามจริง ทั้งเปนที่พอพระราชหฤทัยพระเจ้าแผ่นดินด้วยแล้ว ก็ขอให้สร้างโรงเรียนขึ้นเถิด การที่จะสร้างวัดขึ้นใหม่ไม่ต้องด้วยพระราชนิยม ถ้าแม้ว่ามีความประสงค์จะทำการอันใดซึ่งเป็นทางสร้างวัด ขอชักชวนให้ช่วยกันปฏิสังขรณ์วัดที่มีอยู่แล้วให้ดีงามต่อไป ดีกว่าที่สร้างวัดขึ้นใหม่แล้วไม่รักษา ทิ้งให้โทรมเป็นพงรกร้าง ฤๅร้ายกว่านั้นคือกลายเปนที่ซ่องโจรผู้ปล้นพระสาสนาดังมีตัวอย่างอยู่แล้วหลายแห่ง ผู้ที่สร้างวัดไว้ให้เปนซ่องคนขะโมยเพศเช่นนี้ เราเชื่อแน่ว่าไม่ได้รับส่วนกุศลอันใดเลย น่าจะตกนรกเสียอีก ข้อนี้ผู้ที่สร้างวัดจะไม่ใคร่ได้คิดไปให้ตลอด จึงควรอธิบายให้เข้าใจเสียบ้าง
เมื่อพระยาวิสุทธิสุริยศักดิ์ ได้รับพระราชหัตถเลขาตอบกลับมาจากราชเลขานุการและถวายร่างประกาศพระราชนิยมเรื่องบำเพ็ญกุศลในวิธีสร้างโรงเรียน ในวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2454 จากจดหมายราชการกระทรวงธรรมการเลขที่ 283/3530 โดยมีพระราชกระแสของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวตอบกลับมาว่า “ดีแล้ว ออกได้” จึงได้ประสานและนำเรื่องแจ้งความต่อหนังสือราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2454 ตีพิมพ์ลงในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2454 ความตอนหนึ่งว่า
การที่พวกบุตร์ของปั้นมีน้ำใจศรัทธาบำเพญกุศลโดยวิธีสร้างโรงเรียนอันเปนสิ่งต้องการในสมัยนี้ขึ้น ให้เปนที่ศึกษาของประชาชน นับว่าเปนการแผ่ผลให้เปนสาธารณประโยชน์ต่อไปเช่นนี้ ทรงพระราชดำริห์เห็นมั่นในพระราชหฤทัยว่า จะมีผลดีทั้งฝ่ายพระพุทธจักร์แลอาณาจักร์ จะเปนผลานิสงษ์อันงามจริง เปนอันพอพระราชหฤทัย แลต้องด้วยพระราชนิยมยิ่งนัก จึงทรงสรรเสริญแลทรงอนุโมทนาในส่วนกุศลอันนี้ แลทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศพระราชนิยมอันนี้ให้ทราบทั่วกันว่า ถ้าผู้ใดมีจิตรศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธสาสนา ประสงค์จะบำเพญกุศลให้เป็นผลานิสงษ์อันดีจริงแล้ว ก็ควรจะถือเอาการสร้างโรงเรียนว่าเปนการกุศลที่จะพึงกระทำวันหนึ่งได้ ถ้าหากมีความประสงค์ที่จะทำการอันใดซึ่งเปนทางสร้างวัด ก็ควรที่จะช่วยกันปฏิสังขรณ์วัดที่มีอยู่แล้ว ให้ดีงามแลสืบอายุให้มั่นคงถาวรต่อไปดีกว่าที่จะสร้างขึ้นใหม่ แล้วไม่รักษา ปล่อยให้ทรุดโทรมเปนที่น่าสังเวช อันเปนทางที่จะชักพาให้คนมีใจหมิ่นประมาทในพระพุทธสาสนากอบไปด้วยโทษดังกล่าวแล้วนั้น
กระทรวงธรรมการจึงได้รับพระบรมราชโองการเชิญกระแสพระราชดำริห์แลพระราชนิยมนี้ออกประกาศให้มหาชนทราบทั่วกัน ๚
จากหลักฐานที่พบจึงสามารถระบุได้ว่า "โรงเรียนมัธยมพิเศษสุทธิวรารามเป็นโรงเรียนแห่งแรกในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ราษฎรสร้างขึ้นแล้วยกให้กระทรวงธรรมการใช้เป็นโรงเรียน ซึ่งต้องด้วยพระราชนิยมในการสร้างโรงเรียนแทนวัด"
ในปีการศึกษาแรกเมื่อ พ.ศ. 2454 โรงเรียนมัธยมพิเศษสุทธิวราราม มีนักเรียนทั้งสิ้น 86 คน เป็นชาวบ้านในบริเวณนั้น ซึ่งโดยมากเป็นคนไทยและคนไทยเชื้อสายจีน
เมื่อ พ.ศ. 2460 ท่านขุนสุทธิ์ดรุณเวชย์ ครูผู้ปกครองของโรงเรียน ได้ที่ดินซึ่งแต่ก่อนเป็นห้างสี่ตาจากวัดสุทธิวราราม เพื่อสร้างโรงเรียนชั้นประถม จึงรื้อโรงเรียนประถมวัดยานนาวาปลูกสร้างต่อจากโรงเรียนเดิมไปทางตะวันตก เมื่อสร้างเสร็จ กระทรวงธรรมการเห็นควรให้เปิดโรงเรียนสตรีขึ้นอีกแผนก จึงได้เปิดเป็น โรงเรียนสตรีวัดสุทธิวราราม
การเรียนการสอนในสมัยนี้ เปิดทำการทั้งหมด 9 ระดับชั้น รวมทั้งสิ้น 12 ห้อง คือ ชั้นประถมสามัญ 1-3 มัธยมสามัญตอนต้น ม.1-3 และมัธยมสามัญตอนกลาง ม.4-6 ไม่มีมัธยมสามัญตอนปลายคือ ม.7-8 นักเรียนที่ประสงค์จะเรียนต่อต้องไปศึกษาต่อที่อื่น ซึ่งในขณะนั้นเปิดรับสมัครอยู่สองแห่ง คือ โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย และ โรงเรียนเทพศิรินทร์
ต่อมาในปี พ.ศ. 2474 กระทรวงธรรมการได้สร้างโรงเรียนสตรีวัดสุทธิวรารามขึ้นใหม่ที่ตรอกยายกะตา โดยใช้ชื่อใหม่ว่า โรงเรียนสตรีบ้านทวาย ปัจจุบันคือ โรงเรียนสตรีศรีสุริโยทัย และอพยพนักเรียนสตรีไป นอกจากนี้ ในปีการศึกษา 2474 และ 2475 ทางโรงเรียนได้เปิดสอนชั้นมัธยมสามัญตอนปลาย คือ ม.7 และ ม.8 ตามลำดับ
ปลายปีการศึกษา 2484 เกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา โรงเรียนมัธยมวัดสุทธิวรารามก็ถูกกองทัพญี่ปุ่นยึดเป็นค่ายพักอาศัยชั่วคราว โรงเรียนจึงต้องปิดทำการสอน ในปีต่อมา สงครามทวีความรุนแรงขึ้นเป็นลำดับ ระยะนี้ นักเรียนต้องอาศัยศาลาเชื้อ ณ สงขลา (สีเหลือง) ศาลาการเปรียญในวัดสุทธิวรารามเป็นที่เรียนชั่วคราว ต่อมากระทรวงธรรมการจึงได้สร้างเรือนไม้ชั้นเดียวมุงจาก ฝาลำแพน (ปัจจุบันคืออาคารเฉลิมพระเกียรติร. 9) เป็นที่เรียนชั่วคราว
พ.ศ. 2490 กระทรวงศึกษาธิการได้จัดสร้างอาคาร 2 ชั้น คืออาคาร 1 ซึ่งรื้อถอนออกแล้ว ออกแบบโดยหลวงสวัสดิ์สารศาสตรพุทธิ อธิบดีกรมวิสามัญศึกษา (อดีตอาจารย์ใหญ่โรงเรียนวัดสุทธิวราราม) จึงได้เชิญ ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช กระทำพิธีเปิด เมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2491
ต่อมาเมื่อปลายเดือนกันยายน พ.ศ. 2495 ได้รื้อเรือนหลังคามุงจากออก พอถึงเดือนตุลาคมจึงได้มีการสร้างอาคาร 3 ชั้น คืออาคาร 2 ซึ่งปัจจุบันรื้อถอนไปแล้ว กับหอประชุมอีก 1 หลัง ต่อมาในปี พ.ศ. 2496 จึงได้งบประมาณต่อเติมอาคาร 2 และอาคาร 3ซึ่งมี 2 ชั้น และหอประชุมจนเสร็จสมบูรณ์ หลวงสวัสดิ์สารศาสตรพุทธิ อธิบดีกรมวิสามัญศึกษา จึงเชิญ ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายมังกร พรหมโยธี มาเปิดอาคารทั้ง 2 เมื่อวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2498
ในปี พ.ศ. 2498 นี้เองมีการเปลี่ยนชื่อโรงเรียนจาก "โรงเรียนมัธยมพิเศษวัดสุทธิวราราม" เป็น " โรงเรียนวัดสุทธิวราราม" ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้มาถึงปัจจุบัน
จากนั้นในปี พ.ศ. 2499 อาจารย์เปรื่อง สุเสวี ได้ให้กำเนิด "วงดุริยางค์โรงเรียนวัดสุทธิวราราม" ขึ้น และมีโอกาสได้แสดงต่อหน้าพระที่นั่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องใน พิธีเปิดการแข่งขันกรีฑานักเรียนประจำปี พ.ศ. 2507 จนเป็นที่พอพระราชหฤทัยและมีพระดำรัชกับปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ทรงชมเชยว่า "แตรวงวัดสุทธิวรารามดีมาก" ซึ่งนายกอง วิสุทธารมณ์ อธิบดีกรมพลศึกษา ได้มีหนังสือราชการกรมพลศึกษาที่ ศธ.0501/4236 ลงวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2507 แสดงความชื่นชมยินดีในความสำเร็จและขอบคุณมายังอาจารย์ใหญ่
ในปี พ.ศ. 2503 - 2505 ได้ตัดชั้นมัธยมปีที่ 1, 2 และ 3 ออกปีละลำดับชั้น และในปี พ.ศ. 2506 ได้เปลี่ยนชั้นมัธยมปีที่ 4-6 เป็น"ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3" แลเปลี่ยนชั้นเตรียมอุดมศึกษาปีที่ 1-2 เรียกว่า "ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6"(ชั้นมัธยมปลายในปัจจุบัน)
ใน พ.ศ. 2511 ทางกระทรวงศึกษาธิการก็ได้ให้งบประมาณสร้างกำแพงหน้าโรงเรียนใหม่ โดยรื้อของเก่าทิ้งและสร้างหอประชุม ห้องอาหารขึ้นอีกหนึ่งตึก เป็นตึกชั้นเดียวไม่มีฝาผนังอยู่หลังตึก 1
ปลาย พ.ศ. 2512 ทางกระทรวงศึกษาธิการก็ได้ให้งบประมาณสร้างตึกอาคารเรียน 3 ชั้นยาวตามแนวขนานกับถนนเจริญกรุง บริเวณหน้าโรงเรียน ขึ้นอีกตึกหนึ่ง คืออาคารสุทธิ์รังสรรค์(ตึก 4) ในปัจจุบัน และย้ายเสาธงกลางสนามมาตั้งใหม่(หน้าอาคาร 7 ในปัจจุบัน) ส่วนบริเวณเสาธงเดิมได้สร้างสนามบาสเก็ตบอลแทนที่สนามเก่าที่ถูกทำลายลงในสมัยสงครามมหาเอเชียบูรพา
ในสมัยของอาจารย์ พิทยา ไทยวุฒิพงศ์ อาจารย์ใหญ่ลำดับที่ 11 ได้มีการจัดงานเฉลิมฉลองเนื่องในวโรกาศ 60 ปีแห่งการสถาปนาโรงเรียน หรืองาน "พัชรสมโภช" ขึ้น
สืบเนื่องจากผลสำเร็จของงานพัชรโภช ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2514 อาจารย์พิทยา ไทยวุฒิพงศ์ ได้ทำเรื่องของบประมาณจากกระทรวงศึกษาธิการ ในปีงบประมาณ 2515 จำนวน 4 ล้านบาทเศษ สร้างอาคารเรียน 6 ชั้น มีชื่อว่าอาคารปั้นรังสฤษฏ์ มีจำนวน 18 ห้องเรียน ปีงบประมาณ 2519 ได้รับงบประมาณ จำนวน 4 ล้านบาทเศษ สร้างอาคาร 3 ชั้น ปัจจุบันคืออาคารวิจิตรวรศาสตร์ เป็นอาคารอเนกประสงค์ และเนื่องจากสมัยนั้นโรงเรียนประสบปัญหาเรื่องสถานที่เรียนของนักเรียนเป็นอย่างมาก ปีหนึ่งๆมีนักเรียนสมัครเรียนจำนวนมากจนมีห้องเรียนไม่เพียงพอ จึงจำเป็นต้องแบ่งนักเรียนเรียนเป็น 2 ผลัดซึ่งยากแก่การปกครองดูแล ในปีงบประมาณ 2520 ทางโรงเรียนจึงได้รับงบประมาณ จำนวน 6 ล้านบาทเศษ สร้างอาคารเรียน 4 ชั้น เรียกว่าอาคารพัชรนาถบงกช มีจำนวน 18 ห้องเรียน เมื่อปีการศึกษา 2523 เนื่องจากมีสถานที่เรียนเพียงพอ จึงได้มีการเรียนการสอนเป็นผลัดเดียว
ในการสอบของนักเรียนในระดับชั้น ม.ศ.5 มีนักเรียนสอบได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 85 สามปีติดต่อกัน โรงเรียนจึงได้รบพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้รับพระราชทานเงิน 2,000 บาท ใน พ.ศ. 2519 ซึ่งอาจารย์เจิม สืบขจร ผู้บริหารโณงเรียนลำดับถัดมาเป็นผู้ไปรับพระราชทานรางวัล
ในสมัยของอาจารย์เจิม สืบขจร โรงเรียนวัดสุทธิวรารามได้รับแต่งตั้งให้เป็น "โรงเรียนมัธยมชั้นพิเศษ" ซึ่งผู้บริหารจะได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าแต่งตั้งให้เป็น "ผู้อำนายการ" ดังนั้นอาจารย์เจิม สืบขจร จึงเป็นผู้ดำรงตำแหน่งอาจารย์ใหญ่คนสุดท้าย และเป็น ผู้อำนวยการคนแรก ส่วนทางด้านวิชาการของโรงเรียน นักเรียนระดับชั้น ม.6 สมารถสอบคัดเลือกเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยได้เป็นอับดับ 1 ของประเทศถึง 3 ปี ในขณะที่วงดุริยางค์โรงเรียนวัดสุทธิวรารามเป็นวงดุริยางค์โรงเรียนวงแรกของประเทศไทยที่ได้เข้าร่วมการแข่งขันรัดับนานาชติ ซึ่งประสบความสำเร็จได้รับรางวัลชนะเลิศทั้ง 6 ประเภท จากการแข่งขนดุริยางค์อาเซียนครั้งที่ 4 ณ ประเทศอินโดนีเซีย ในปีพ.ศ. 2533 รวมทั้งรางวัลรองชนะเลิศจากการประกวดดนตรีโลก ครั้งที่ 9 ณ ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในปี พ.ศ. 2534
ในปีพ.ศ. 2530 โรงเรียนวัดสุทธิวรารามได้รับคัดเลือกจากกรมสามัญศึกษาให้เป็น "โรงเรียนมัธยมศึกษาดีเด่น ในเขตกรุงเทพมหานคร" ประจำปีการศึกษา 2530 และ ได้รับงบประมาณสร้างโรงฝึกงานแบบมาตรฐาน 306 ล./27 จำนวน 1 หลัง เป็นเงิน 3 ล้านบาทเศษ เป็นอาคาร 4 ชั้น สร้างแทนที่อาคาร 3 หลังเก่า แล้วเสร็จเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2531 คืออาคารพัชรยศบุษกร
ปีการศึกษา 2532 พลเอกประเทียบ เทศวิศาล นายกสมาคมนักเรียนเก่าสุทธิวราราม พร้อมด้วยอดีตผู้อำนวยการโรงเรียน นายสุชาติ สุประกอบ คณะครู-อาจารย์ นักเรียน ผู้ปกครองได้จัดทอดผ้าป่าสร้างอาคารธรรมสถานบริเวณทางเข้าโรงเรียน ประดิษฐานหลวงพ่อสุทธิมงคลชัย พระพุทธรูปประจำโรงเรียนวัดสุทธิวราราม ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 1,600,000 บาทเศษ
ปีงบประมาณ 2533 ได้รับงบประมาณ 3,775,000 บาท สร้างแฟลตนักการภารโรง จำนวน 20 หน่วย 1หลัง ในปีการศึกษา 2534 โรงเรียนได้ต่อเติมห้องเรียนอีก5ห้องบริเวณชั้นล่างอาคารปั้นรังสฤษฏ์ เพื่อรองรับนักเรียนที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และในปีเดียวกัน เป็นปีครบรอบ 80 ปีวันสถาปนาโรงเรียนวัดสุทธิวราราม คณะศิษย์เก่า รุ่น 2500 ได้ร่วมกันจัดสร้างรูปปั้น ท่านปั้น อุปการโกษากร ผู้ให้กำเนิดโรงเรียนวัดสุทธิวราราม เพื่อให้ทุกคนได้สักการบูชา
ต่อมาโรงเรียนวัดสุทธิวราราม ได้นับคัดเลือกให้เป็น "สถานศึกษาที่ได้รับรางวัลพระราชทานระดับมัธยมศึกษาขนาดใหญ่ ประจำปีการศึกษา 2535" พร้อมกันนี้ วงดุริยางค์โรงเรียนวัดสุทธิวรารามก็ได้รับรางวสัลชนะเลิศการประกวดวงโยธวาทิตนักเรียน นิสิต นักศึกษา ชิงถ้วยพระราชทาน ครั้งที่ 10 ประจำปี พ.ศ. 2534 และรางวัลเหรียญทองจากการประกวดดนตรีโลกครั้งที่ 12 ณ ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในปีพ.ศ. 2536
ปีการศึกษา 2535 ได้รับอนุมัติงบประมาณของปี 2536 จำนวน 9,000,000 บาท และปี 2537 ผูกพันงบประมาณอีก 50,400,000บาท จากกรมสามัญศึกษา ก่อสร้างอาคารเรียนแบบพิเศษ 9 ชั้น ณ บริเวณที่ตั้งอาคาร 2 โดย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้มีพระกรุณาธิคุณ เสด็จพระราชดำเนิน มาทรงวางศิลาฤกษ์ เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2536 ได้รับพระบรมราชานุญาติ ให้ใช้ตรากาญจนาภิเษก ประจำอาคารเฉลิมพระเกียรติ ร.9(ตึก 9) เริ่มใช้เมื่อปีการศึกษา 2537
ในปีพ.ศ. 2541 โรงเรียนวัดสุทธิวราราม ได้รับเกียรติให้ร่วมแสดงในพืธีเปิดกีฬาเอเชี่ยนเกมครั้งที่ 13 ในการแสดงชุด สหพันธไมตรี (United Asia) และให้วงดุริยางค์ของโรงเรียนเป็นวงนำขบวนนักกีฬาอีกด้วย นอกจากนี้วงดุริยางค์โรงเรียนวัดสุทธิวรารามก็ได้รับรางวัลชนะเลิศคะแนนสูงสุดประเภท Brass & Percussion Band จากการแข่งขัน "1999 World Championship for Marching Show Bands" ณ นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2542
ในปีพ.ศ. 2544 โรงเรียนวัดสุทธิวรารามได้รับเชิญจากกระทรวงต่างประเทศให้นำนักเรียนระดบัมัธยมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 152 คน ร่วมเชิญธงในพิธีเปิดการประชุมแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา หรือ UNCTAD ครั้งที่ 10 ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ และในปีเดียวกันนั้นเอง นักเรียนโรงเรียนวัดสุทธิวราม ก็สามารถคว้าเหรียญทองเคมีโอลิมปิก เหรียญแรกของประเทศไทย
ปีการศึกษา 2554 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้มีพระมหากรุณาธิคุณ เสด็จพระราชดำเนิน มาทรงเปิดนิศรรศการ "ศตวัชรบงกช 100 ปี วัดสุทธิวราราม" เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2554 ทั้งนี้เพื่อหารายได้ก่อสร้างเพิ่มเติมหอประชุมชั้น 10 ณอาคารเฉลิมพระเกียรติ ร.9(ตึก 9)
หน่วยงานภายในและภายนอกที่เกี่ยวข้อง[แก้]
- สมาคมนักเรียนเก่าสุทธิวราราม (ส.สธ) มีวัตถุประสงค์ส่งเสริมความสัมพันธ์ และสามัคคีระหว่างสมาชิก ครอบครัวของสมาชิกและนักเรียนโรงเรียนวัดสุทธิวราราม ส่งเสริมการศึกษา การกีฬา การดนตรี และกิจกรรมต่าง ๆ ของ นักเรียนโรงเรียนวัดสุทธิวราราม ส่งเสริมเผยแพร่เกียรติคุณ และความเจริญของโรงเรียนวัดสุทธิวราราม
- สมาคมผู้ปกครองและครู โรงเรียนวัดสุทธิวราราม (ส.ป.ส.ธ.)
- มูลนิธิรุจิรวงศ์ ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี
- ชมรมครูเก่าสุทธิวราราม
- คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน โรงเรียนวัดสุทธิวราราม จัดตั้งขึ้น ตามความในมาตรา 40 แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 เพื่อทำหน้าที่กำกับและส่งเสริม สนับสนุนกิจการของสถานศึกษา ประกอบด้วย ผู้แทนผู้ปกครอง ผู้แทนครู ผู้แทนองค์กรชุมชน ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้แทนศิษย์เก่าของสถานศึกษา ผู้แทนพระภิกษุสงฆ์หรือผู้แทนองค์กรศาสนาอื่นในพื้นที่ และผู้ทรงคุณวุฒิ โดยมีรายนามประธานกรรมการสถานศึกษา ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันดังต่อไปนี้
- คณะกรรมการเครือข่ายผู้ปกครอง โรงเรียนวัดสุทธิวราราม
- คณะกรรมการนักเรียน โรงเรียนวัดสุทธิวราราม (ก.น.) ทำหน้าที่จัดและปฏิบัติกิจกรรมของโรงเรียนร่วมกับฝ่ายต่างๆ
- ศูนย์บริการการศึกษาของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
อาคารเรียน[แก้]
ปัจจุบันโรงเรียนวัดสุทธิวราราม มีอาคารเรียนจำนวน 7 อาคาร ชื่อของอาคาร 6 หลังถูกตั้งชื่อให้ คล้องกัน ดังนี้ "สุทธิ์รังสรรค์ ปั้นรังสฤษดิ์ วิจิตรวรศาสน์ พัชรนาถบงกช พัชรยศบุษกร ขจรเกียรติวชิโรบล"
- อาคาร 4 สุทธิ์รังสรรค์
- อาคาร 5 ปั้นรังสฤษดิ์
- อาคาร 6 วิจิตรวรศาสน์
- อาคาร 7 พัชรนาถบงกช
- อาคาร 3 พัชรยศบุษกร เป็นอาคาร 4 ชั้น สร้างแทนที่อาคาร 3 หลังเก่า แล้วเสร็จเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2531 ภายในประกอบด้วย
- ห้องพักครูงานช่างอุตสาหกรรม
- ห้องพักครูงานคหกรรม
- ห้องพักครูดนตรี
- ห้องเรียนเขียนแบบ
- ห้องเรียนงานช่างไฟฟ้า
- ห้องเรียนงานช่างไม้
- ห้องเรียนงานช่างฝีมือ
- ห้องเรียนคหกรรม
- ห้องเรียนดนตรีไทย
- อาคาร 9 เฉลิมพระเกียรติ ร.๙
- อาคารทางเชื่อม ขจรเกียรติวชิโรบล
- ห้องเรียนภาษาจีน
- ห้องชุมนุมมายากล
- ห้องพักนักเรียนโครงการแลกเปลี่ยน
- ห้องโครงการแผนการเรียนศิลป์-ดนตรี
- สมาคมนักเรียนเก่าสุทธิวราราม
- มูลนิธิรุจิรวงศ์ ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี
ราชกิจจา เล่มที่ 28 หน้า 896[แก้]
พแนกกรมธรรมการ
ประกาศพระราชนิยมเรื่องบำเพญกุศลในวิธีสร้างโรงเรียนด้วยพระศิริศาสตร์ประสิทธิ์ มรรคนายกวัดสุทธิวราราม ตำบลบ้านทวาย แขวงกรุงเทพฯ ยื่นรายงานการก่อสร้างโรงเรียนขึ้นที่วัดสุทธิวรารามหลังหนึ่ง มีใจความว่า ปั้น มารดาพระศิริศาสตร์ประสิทธิ์ ได้ถึงแก่กรรมมาตั้งแต่ศก ๑๒๗ บรรดาบุตร์ของปั้น คือ สมบุญ ภรรยาพระวิเชียรคีรี (ชม) ๑ เชื้อภรรยาพระอนันต์สมบัติ (เอม) ๑ พระศิริศาสตร์ประสิทธิ์ ๑ เป้าภรรยาพระเพ็ชร์กำแหงสงคราม ๑ หลวงการุญนรากร ๑ ตาบภรรยาพระศรีสังข์กร ๑ ได้ปรารถถึงการที่จะบำเพญกุศลในการฌาปนกิจสนองคุณแห่ง ปั้น มารดาให้เปนสาธารณะประโยชน์ที่มั่นคงจึงได้ตกลงกันเห็นว่า สถานที่ศึกษาเปนสิ่งสำคัญอันเปนประโยชน์ให้กุลบุตร์ได้อาศรัยเล่าเรียน ซึ่งเป็นเวลาต้องการของบ้านเมืองด้วย แลเมื่อปั้นยังมีชีวิตอยู่ได้เปนมรรคนายิกา วัดสุทธิวราราม ตลอดมาจนถึงแก่กรรม จึ่งคิดสร้างโรงเรียนขึ้นที่วัดนี้ เพื่อให้เปนเกียรติคุณแห่งปั้นมารดานั้น พระศิริศาสตร์ประสิทธิ์ผู้เปนหัวน่า ได้หารือต่อกรมศึกษาธิการ ๆ เห็นเปนการสมควร จึ่งได้ออกแบบตัวอย่างที่จะก่อสร้างให้เหมาะแก่ที่จะใช้เปนโรงเรียน พระศิริศาสตร์ประสิทธิ์ได้จัดการก่อสร้างตามที่กรมศึกษาธิการได้ให้แบบตัวอย่างนั้น เปนตึก ๒ ชั้น กว้าง ๕ วา ๓ ศอก ๑ คืบ ๒ นิ้ว ยาว ๑๓ วา ๓ ศอก ๑ คืบ ๒ นิ้ว สูงแต่พื้นชั้นล่างถึงเพดาน ๔ วา ๒ ศอก ๑ คืบ ตัวไม้ใช้ไม้สักทั้งหมด หลังคามุงกระเบื้องสิเมนต์ สิ้นเงิน ๒๑,๐๐๐ บาท กับทำโรงอาหารอีกหลังหนึ่ง กว้าง ๕ วา ๓ ศอก ยาว ๙ วา เสาใช้ไม้เต็งรัง เครื่องบนไม้สัก พื้นแลฝาใช้ไม้สิงคโปร์ หลังคามุงสังกะสี สิ้นงาน ๙๐๐ บาท แลเครื่องใช้สำหรับโรงเรียนก็ได้ทำแลซื้อให้บางอย่าง คือ ตู้ห้องสมุด ๑ ตู้ ตู้เก็บของ ๖ ตู้ โต๊ะสำหรับเขียนหนังสือ ๗ โต๊ะ กระดานดำ ๔ แผ่น ป้ายชื่อโรงเรียนหนึ่งแผ่น ถึงน้ำ ๑ ถัง รวมเงิน ๖๔๐ บาท รวมทั้งสิ้นเปนเงิน ๒๒,๕๐๔ บาท เมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จ ได้ใช้สถานที่นี้กระทำการฌาปนกิจศพปั้นแต่เมื่อเดือนพฤษภาคมศกนี้แล้ว แลได้มอบตึกหลังนี้ให้แก่กรมศึกษาธิการใช้ที่สถานที่ศึกษาตามที่เจตนาไว้ กรมศึกษาธิการได้รับแลเปิดใช้เปนโรงเรียนมัธยม เรียกว่า โรงเรียนมัธยมพิเศษสุทธิวราราม รับนักเรียนเข้าเล่าเรียนตั้งแต่วันที่ ๓ กรกฎาคม รัตนโกสินทรศก ๑๓๐ เปนต้นไป บรรดาผู้ที่ออกทรัพย์ก่อสร้างโรงเรียน ขอพระราชทานถวานพระราชกุศล
กระทรวงธรรมการได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณา ทราบฝ่าลอองธุลีพระบาทแล้ว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทาน พระราชกระแสมาว่า แต่ก่อนมาผู้ใดมีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธสาสนาก็มักจะสร้างวัดขึ้น การสร้างวัดขึ้นใหม่เช่นนั้น โดยมากก็คงอยู่ได้ชั่วคราว คือ ชั่วอายุแลกำลังของบุคคลที่จะปกครองรักษา ถ้าขาดความทนุบำรุงเมื่อใดวัดที่สร้างขึ้นไว้ก็รกร้างว่างเปล่าเปนป่าพง อันเปนที่พึงสลดใจแห่งพุทธสาสนิกชน ใช้แต่เท่านั้น แม้วัดซึ่งยังเปนที่อาศรัยได้อยู่บ้าง แต่ขาดความปกครองอันดี ปล่อยให้ทรุดโทรมรถเรื้อเลวทราม ก็กลับจะเป็นซ่องที่อาศรัยแอบแฝงของผู้ประพฤติชั่ว สถานที่ซึ่งตกอยู่ในลักษณะเช่นนี้กลับเปนทางชั่วร้าย มิได้นำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ทั้งพุทธจักร์แลอาณาจักร์เลย
การที่พวกบุตร์ของปั้นมีน้ำใจศรัทธาบำเพญกุศลโดยวิธีสร้างโรงเรียนอันเปนสิ่งต้องการในสมัยนี้ขึ้น ให้เปนที่ศึกษาของประชาชน นับว่าเปนการแผ่ผลให้เปนสาธารณประโยชน์ต่อไปเช่นนี้ ทรงพระราชดำริห์เห็นมั่นในพระราชหฤทัยว่า จะมีผลดีทั้งฝ่ายพระพุทธจักร์แลอาณาจักร์ จะเปนผลานิสงษ์อันงามจริง เปนอันพอพระราชหฤทัย แลต้องด้วยพระราชนิยมยิ่งนัก จึงทรงสรรเสริญแลทรงอนุโมทนาในส่วนกุศลอันนี้ แลทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศพระราชนิยมอันนี้ให้ทราบทั่วกันว่า ถ้าผู้ใดมีจิตรศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธสาสนา ประสงค์จะบำเพญกุศลให้เป็นผลานิสงษ์อันดีจริงแล้ว ก็ควรจะถือเอาการสร้างโรงเรียนว่าเปนการกุศลที่จะพึงกระทำวันหนึ่งได้ ถ้าหากมีความประสงค์ที่จะทำการอันใดซึ่งเปนทางสร้างวัด ก็ควรที่จะช่วยกันปฏิสังขรณ์วัดที่มีอยู่แล้ว ให้ดีงามแลสืบอายุให้มั่นคงถาวรต่อไปดีกว่าที่จะสร้างขึ้นใหม่ แล้วไม่รักษา ปล่อยให้ทรุดโทรมเปนที่น่าสังเวช อันเปนทางที่จะชักพาให้คนมีใจหมิ่นประมาทในพระพุทธสาสนากอบไปด้วยโทษดังกล่าวแล้วนั้น
กระทรวงธรรมการจึงได้รับพระบรมราชโองการเชิญกระแสพระราชดำริห์แลพระราชนิยมนี้ออกประกาศให้มหาชนทราบทั่วกัน ๚
แจ้งความมา ณ วันที่ ๒๘ กรกฎาคม รัตนโกสินทร์ ศก ๑๓๐
ราชกิจจานุเบกษา วันที่ ๖ สิงหาคม ๑๓๐ เล่ม ๒๘ หน้า ๘๙๖-๘๙๙
ราชกิจจา เล่มที่ 28 หน้า 737[แก้]
ด้วยตึกที่สร้างขึ้นที่วัดสุทธิวราราม ตำบลบ้านทวาย ถนนเจริญกรุง สำหรับบำเพญกุศลในการศพท่านปั้น มรรคนายิกาวัดสุทธิวรารามนั้น เมื่อเสร็จการฌาปนกิจแล้ว ผู้ออกทุนทรัพย์ก่อสร้างตึกหลังนี้ขอมอบให้กรมศึกษาธิการจัดเปนสถานศึกษาต่อไป กรมศึกษาธิการได้รับไว้แลจะเปิดใช้เปนโรงเรียนชั้นมัธยมพิเศษ ตั้งแต่วันที่ ๓ กรกฎาคม ร.ศ.๑๓๐ ชื่อว่า "โรงเรียนมัธยมพิเศษสุทธิวราราม" จัดการสอนตั้งแต่ชั้นมูลประถมพิเศษตลอดจนมัธยมพิเศษ กระทรวงธรรมการได้ให้หลวงวิจิตร์วรสาสน์ อาจารย์โรงเรียนราชบุณะเปนอาจารย์ใหญ่แลโรงเรียนนี้นับเข้าในประเภทโรงเรียนชั้นสูง ซึ่งกำหนดเวลาสอนในปีหนึ่งเปน ๓ เทอม คือ
เทอมต้นเปิดสอนตั้งแต่วันที่ ๑๖ พฤษภาคม ถึงวันที่ ๑๕ กันยายน รวมเวลาเรียน ๔ เดือน แล้วหยุด ๓ วิก เงินค่าเล่าเรียนสำหรับเทอมนี้ พแนกมูลเก็บ ๔ บาท พแนกประถมเก็บ ๘ บาท พแนกมัธยมเก็บ ๒๕ บาท
เทอมกลางเปิดสอนตั้งแต่วันที่ ๗ ตุลาคม ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม รวมเวลาเรียน ๒ เดือนกับ ๒๕ วัน แล้วหยุดวิก ๑ เงินค่าเล่าเรียนสำหรับเทอมนี้ พแนกมูลเก็บ ๓ บาท พแนกประถมเก็บ ๖ บาท พแนกมัธยมเก็บ ๑๘ บาท
เทอมกลางเปิดสอนตั้งแต่วันที่ ๗ มกราคม ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม รวมเวลาเรียน ๒ เดือนกับ ๒๔ วัน แล้วหยุด ๖ วิก เงินค่าเล่าเรียนสำหรับเทอมนี้ พแนกมูลเก็บ ๓ บาท พแนกประถมเก็บ ๖ บาท พแนกมัธยมเก็บ ๑๘ บาท
ผู้ใดจะส่งบุตร์หลานเข้าเรียนโรงเรียนนี้ ขอให้ไปตกลงกับหลวงวิจิตร์วรสาสน์ อาจารย์ใหญ่
แจ้งความมา ณ วันที่ ๑ กรกฎาคม รัตนโกสินทร์ ศก ๑๓๐
ราชกิจจานุเบกษา วันที่ ๙ กรกฎาคม ๑๓๐ เล่ม ๒๘ หน้า ๗๓๗-๗๓๘
ผู้อุปการะโรงเรียนวัดสุทธิวราราม[แก้]
- พระยาพิจารณาปฤชามาตย์ มานวธรรมศาสตร์สุปฤชา (สุหร่าย วัชราภัย)
- คุณหญิงพิจารณาปฤชามาตย์ (จำเริญ ภัทรนาวิก วัชราภัย)
- พระยามานวราชเสวี (ปลอด วิเชียร ณ สงขลา)
- เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ (จิตร ณ สงขลา)
รายนามผู้บริหารโรงเรียน[แก้]
ประวัติแก้[แก้]
ประวัติ[แก้]
โรงเรียนวัดสุทธิวราราม ถูกสถาปนาขึ้นบนธรณีสงฆ์ของบริเวณที่เดิมเรียกว่าวัดลาว เนื่องจาก เดิมวัดลาวนี้เป็นวัดร้าง ในพ.ศ. 2424 ท่านผู้หญิงสุทธิ์ มารดาของท่านปั้น ภรรยาเจ้าพระยาวิเชียรคีรี (เม่น ณ สงขลา) ผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลา ลำดับที่ 6 ได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 สร้างวัดลาวขึ้นใหม่และหลังจากได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตแล้ว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามวัดนี้ว่า “วัดสุทธิวราราม” ตามนามของท่านผู้หญิงสุทธิ์
ภายหลังวัดนี้ทรุดโทรมลง ท่านปั้นมีกตัญญูระลึกถึงคุณบิดา มารดา และเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาได้ปฏิสังขรณ์ก่อสร้างขึ้นบริบูรณ์ในพ.ศ. 2442 และได้เป็นผู้อุปถัมภ์วัดสุทธิวราราม โดยท่านได้รับการแต่งตั้งพระราชทานสัญญาบัตรมรรคนายกเป็นมรรคนายิกาวัดสุทธิวราราม ต่อมาเมื่อท่านปั้น อุปการโกษากร ถึงแก่กรรมในปี พ.ศ. 2451 ด้วยโรคฝีที่ข้อศอกข้างซ้าย[1] พระศิริศาสตร์ประสิทธิ์ (สุหร่าย วัชราภัย) บุตรชายดำรงตำแหน่งมรรคนายกวัดสุทธิวรารามต่อจากมารดา เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2451[2] บรรดาบุตรธิดาของท่านปั้น ได้แก่[3]
- คุณหญิงวิเชียรคีรี (สมบุญ วัชราภัย ณ สงขลา) ภริยาพระยาวิเชียรคีรี (ชม ณ สงขลา) ผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลา ลำดับที่ 8
- คุณหญิงสุรบดินทร์สุรินทรฦๅชัย (บุญรอด วัชราภัย จารุจินดา) ภริยา เจ้าพระยาสุรบดินทร์สุรินทรฦๅชัย (พร จารุจินดา) สมุหพระนครบาล อุปราชมณฑลพายัพ และองคมนตรี
- นางอนันตสมบัติ (เชื้อ วัชราภัย ณ สงขลา) ภริยาพระอนันตสมบัติ (เอม ณ สงขลา) ผู้ช่วยราชการเมืองสงขลา มารดาเจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ (จิตร ณ สงขลา) ประธานองคมนตรี และพระยามานวราชเสวี (ปลอด วิเชียร ณ สงขลา) องคมนตรี
- พระศิริศาสตร์ประสิทธิ์ (สุหร่าย วัชราภัย) ต่อมาเป็น ต่อมาเป็น พระยาพิจารณาปฤชามาตย์มานวธรรมศาสตร์สุปฤชา (สุหร่าย วัชราภัย) องคมนตรี
- คุณหญิงเพชรกำแหงสงคราม (เป้า วัชราภัย ยุกตะนันท์) ภริยาพระยาเพชรกำแหงสงคราม (มะลิ ยุกตะนันท์) ผู้สำเร็จราชการเมืองชุมพร ลำดับที่ 12
- หลวงการุญนรากร (แดง วัชราภัย) ต่อมาเป็น พระกรณีศรีสำรวจ (แดง วัชราภัย)
- คุณหญิงศรีสังกร (ตาบ วัชราภัย จารุรัตน์) ภริยาพระศรีสังกร (ตาด จารุรัตน์) ต่อมาเป็น พระยาศรีสังกร (ตาด จารุรัตน์) ประธานศาลฎีกา
มีประสงค์จะสร้างอนุสรณ์สถานเพื่ออุทิศเป็นทักษิณานุปทานแด่มารดา โดยมีพระศิริศาสตร์ประสิทธิ์เป็นหัวหน้า ตกลงกันว่าจะบำเพ็ญกุศลสนองคุณบุพการีในการฌาปนกิจศพท่านปั้นผู้เป็นมารดาซึ่ง ด้วยการสร้างสิ่งสาธารณประโยชน์ คือ "สถานศึกษา" จึงได้รวบรวมทุนทรัพย์จัดสร้างโรงเรียนขึ้นในบริเวณที่ธรณีสงฆ์วัดสุทธิวราราม
พระศิริศาสตร์ประสิทธิ์ ได้เป็นผู้นำในการปรึกษาเรื่องดังกล่าวกับกรมศึกษาธิการ กระทรวงธรรมการ ซึ่งได้ให้ความร่วมมือในการออกแบบก่อสร้างอาคารตามแบบที่เหมาะสม และได้เป็นผู้อุปการะโรงเรียนต่อมาอีกด้วย[4] โรงเรียนดังกล่าวซึ่งกรมศึกษาธิการรับไว้เรียกชื่อว่า "'โรงเรียนมัธยมพิเศษสุทธิวราราม"' เริ่มเปิดทำการสอนในวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2454 เป็นวันแรก และมีการประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2454[5] ดังนี้
ด้วยตึกที่สร้างขึ้นที่วัดสุทธิวราราม ตำบลบ้านทวาย ถนนเจริญกรุง สำหรับบำเพญกุศลในการศพท่านปั้น มรรคนายิกาวัดสุทธิวรารามนั้น เมื่อเสร็จการฌาปนกิจแล้ว ผู้ออกทุนทรัพย์ก่อสร้างตึกหลังนี้ขอมอบให้กรมศึกษาธิการจัดเปนสถานศึกษาต่อไป กรมศึกษาธิการได้รับไว้แลจะเปิดใช้เปนโรงเรียนชั้นมัธยมพิเศษ ตั้งแต่วันที่ ๓ กรกฎาคม ร.ศ.๑๓๐ ชื่อว่า "โรงเรียนมัธยมพิเศษสุทธิวราราม" จัดการสอนตั้งแต่ชั้นมูลประถมพิเศษตลอดจนมัธยมพิเศษ กระทรวงธรรมการได้ให้หลวงวิจิตร์วรสาสน์ อาจารย์โรงเรียนราชบุณะเปนอาจารย์ใหญ่แลโรงเรียนนี้นับเข้าในประเภทโรงเรียนชั้นสูง ซึ่งกำหนดเวลาสอนในปีหนึ่งเปน ๓ เทอม คือ
เทอมต้นเปิดสอนตั้งแต่วันที่ ๑๖ พฤษภาคม ถึงวันที่ ๑๕ กันยายน รวมเวลาเรียน ๔ เดือน แล้วหยุด ๓ วิก เงินค่าเล่าเรียนสำหรับเทอมนี้ พแนกมูลเก็บ ๔ บาท พแนกประถมเก็บ ๘ บาท พแนกมัธยมเก็บ ๒๕ บาท
เทอมกลางเปิดสอนตั้งแต่วันที่ ๗ ตุลาคม ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม รวมเวลาเรียน ๒ เดือนกับ ๒๕ วัน แล้วหยุดวิก ๑ เงินค่าเล่าเรียนสำหรับเทอมนี้ พแนกมูลเก็บ ๓ บาท พแนกประถมเก็บ ๖ บาท พแนกมัธยมเก็บ ๑๘ บาท
เทอมกลางเปิดสอนตั้งแต่วันที่ ๗ มกราคม ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม รวมเวลาเรียน ๒ เดือนกับ ๒๔ วัน แล้วหยุด ๖ วิก เงินค่าเล่าเรียนสำหรับเทอมนี้ พแนกมูลเก็บ ๓ บาท พแนกประถมเก็บ ๖ บาท พแนกมัธยมเก็บ ๑๘ บาท
ผู้ใดจะส่งบุตร์หลานเข้าเรียนโรงเรียนนี้ ขอให้ไปตกลงกับหลวงวิจิตร์วรสาสน์ อาจารย์ใหญ่
แจ้งความมา ณ วันที่ ๑ กรกฎาคม รัตนโกสินทร์ ศก ๑๓๐
พิธีเปิดโรงเรียนมัธยมพิเศษสุทธิวรารามอย่างเป็นทางการจัดขึ้นในวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2454 โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินมาทรงกระทำพิธีเปิด หลวงวิจิตรวรสาสน์ อาจารย์ใหญ่ ถวายรายงาน เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) ชักเชือกเปิดผ้าคลุมป้ายนามโรงเรียน[6] เริ่มทำการเรียนการสอนในวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2454 จากนั้นพระยาวิสุทธิสุริยศักดิ์ เสนาบดีกระทรวงธรรมการ ได้ทำหนังสือรายงานเรื่องดังกล่าวไปถวาย พระเจ้าพี่ยาเธอ พระองค์เจ้าประวิตรวัฒโนดม กรมหมื่นปราจิณกิติบดี ราชเลขานุการ ในวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2454[7] ในจดหมายนั้นมีใจความสำคัญตอนท้ายว่า
โรงเรียนนี้กรมศึกษาธิการได้รับไว้ และเปิดใช้เปนโรงเรียนชั้นมัธยมเรียกว่าโรงเรียนพิเศษสุทธิวราราม รับนักเรียนเข้าเล่าเรียนตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม ร.ศ.130 เป็นต้นไป บรรดาผู้ที่ออกทรัพย์ก่อสร้างโรงเรียนของพระราชทานถวายพระราชกุศล ถ้ามีโอกาสอันควรขอฝ่าพระบาทได้โปรดนำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
- ควรมิควรแล้วแต่จะโปรดเกล้าฯ
- ข้าพระพุทธเจ้า วิสุทธสุริยศักดิ์
เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบความกราบบังคมทูลแล้ว จึงมีพระราชหัตถเลขาตอบกลับมายังราชเลขานุการในวันเดียวกัน พระราชกระแสในพระราชหัตถเลขา[8]มีความว่า
อนุโมทนา และมีความมั่นใจอยู่ว่า การที่บุตรของปั้นได้พร้อมใจกันบำเพ็ญกุศลเช่นนี้ คงจะมีผลานิสงษ์ดียิ่งกว่าที่สร้างวัดขึ้นได้สำหรับให้เปนที่อาไศยแอบแฝงแห่งเหล่าอลัชชี ซึ่งเอาผ้ากาสาวพัตร์ปกปิดกายไว้เพื่อให้พ้นความอดเท่านั้น มิได้นำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ทั้งพุทธจักรและอาณาจักรเลย การสร้างโรงเรียนขึ้นให้เป็นที่ศึกษาแห่งคนไทยเช่นนี้ เชื่อว่ามีผลดีทั้งในฝ่ายพุทธจักรและอาณาจักร เพราะฉะนั้นจึ่งควรสรรเสริญและอนุโมทนามาในส่วนกุศล
อนึ่งถ้ามีโอกาสขอให้พระยาวิสุทธช่วยชี้แจงต่อๆไปว่า ถ้าผู้ใดมีน้ำใจศรัทธาและมีความประสงค์ขะทำบุญให้ได้ผลานิสงษ์อันงามจริง ทั้งเปนที่พอพระราชหฤทัยพระเจ้าแผ่นดินด้วยแล้ว ก็ขอให้สร้างโรงเรียนขึ้นเถิด การที่จะสร้างวัดขึ้นใหม่ไม่ต้องด้วยพระราชนิยม ถ้าแม้ว่ามีความประสงค์จะทำการอันใดซึ่งเป็นทางสร้างวัด ขอชักชวนให้ช่วยกันปฏิสังขรณ์วัดที่มีอยู่แล้วให้ดีงามต่อไป ดีกว่าที่สร้างวัดขึ้นใหม่แล้วไม่รักษา ทิ้งให้โทรมเป็นพงรกร้าง ฤๅร้ายกว่านั้นคือกลายเปนที่ซ่องโจรผู้ปล้นพระสาสนาดังมีตัวอย่างอยู่แล้วหลายแห่ง ผู้ที่สร้างวัดไว้ให้เปนซ่องคนขะโมยเพศเช่นนี้ เราเชื่อแน่ว่าไม่ได้รับส่วนกุศลอันใดเลย น่าจะตกนรกเสียอีก ข้อนี้ผู้ที่สร้างวัดจะไม่ใคร่ได้คิดไปให้ตลอด จึงควรอธิบายให้เข้าใจเสียบ้าง
เมื่อพระยาวิสุทธิสุริยศักดิ์ ได้รับพระราชหัตถเลขาตอบกลับมาจากราชเลขานุการและถวายร่างประกาศพระราชนิยมเรื่องบำเพ็ญกุศลในวิธีสร้างโรงเรียน ในวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2454 จากจดหมายราชการกระทรวงธรรมการเลขที่ 283/3530 โดยมีพระราชกระแสของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวตอบกลับมาว่า “ดีแล้ว ออกได้” จึงได้ประสานและนำเรื่องแจ้งความต่อหนังสือราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2454 ตีพิมพ์ลงในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2454[9] มีความดังนี้
แจ้งความกระทรวงธรรมการ พแนกกรมธรรมการ
ประกาศพระราชนิยมเรื่องบำเพญกุศลในวิธีสร้างโรงเรียนด้วยพระศิริศาสตร์ประสิทธิ์ มรรคนายกวัดสุทธิวราราม ตำบลบ้านทวาย แขวงกรุงเทพฯ ยื่นรายงานการก่อสร้างโรงเรียนขึ้นที่วัดสุทธิวรารามหลังหนึ่ง มีใจความว่า ปั้น มารดาพระศิริศาสตร์ประสิทธิ์ ได้ถึงแก่กรรมมาตั้งแต่ศก ๑๒๗ บรรดาบุตร์ของปั้น คือ สมบุญ ภรรยาพระวิเชียรคีรี (ชม) ๑ เชื้อภรรยาพระอนันต์สมบัติ (เอม) ๑ พระศิริศาสตร์ประสิทธิ์ ๑ เป้าภรรยาพระเพ็ชร์กำแหงสงคราม ๑ หลวงการุญนรากร ๑ ตาบภรรยาพระศรีสังข์กร ๑ ได้ปรารถถึงการที่จะบำเพญกุศลในการฌาปนกิจสนองคุณแห่ง ปั้น มารดาให้เปนสาธารณะประโยชน์ที่มั่นคงจึงได้ตกลงกันเห็นว่า สถานที่ศึกษาเปนสิ่งสำคัญอันเปนประโยชน์ให้กุลบุตร์ได้อาศรัยเล่าเรียน ซึ่งเป็นเวลาต้องการของบ้านเมืองด้วย แลเมื่อปั้นยังมีชีวิตอยู่ได้เปนมรรคนายิกา วัดสุทธิวราราม ตลอดมาจนถึงแก่กรรม จึ่งคิดสร้างโรงเรียนขึ้นที่วัดนี้ เพื่อให้เปนเกียรติคุณแห่งปั้นมารดานั้น พระศิริศาสตร์ประสิทธิ์ผู้เปนหัวน่า ได้หารือต่อกรมศึกษาธิการ ๆ เห็นเปนการสมควร จึ่งได้ออกแบบตัวอย่างที่จะก่อสร้างให้เหมาะแก่ที่จะใช้เปนโรงเรียน พระศิริศาสตร์ประสิทธิ์ได้จัดการก่อสร้างตามที่กรมศึกษาธิการได้ให้แบบตัวอย่างนั้น เปนตึก ๒ ชั้น กว้าง ๕ วา ๓ ศอก ๑ คืบ ๒ นิ้ว ยาว ๑๓ วา ๓ ศอก ๑ คืบ ๒ นิ้ว สูงแต่พื้นชั้นล่างถึงเพดาน ๔ วา ๒ ศอก ๑ คืบ ตัวไม้ใช้ไม้สักทั้งหมด หลังคามุงกระเบื้องสิเมนต์ สิ้นเงิน ๒๑,๐๐๐ บาท กับทำโรงอาหารอีกหลังหนึ่ง กว้าง ๕ วา ๓ ศอก ยาว ๙ วา เสาใช้ไม้เต็งรัง เครื่องบนไม้สัก พื้นแลฝาใช้ไม้สิงคโปร์ หลังคามุงสังกะสี สิ้นงาน ๙๐๐ บาท แลเครื่องใช้สำหรับโรงเรียนก็ได้ทำแลซื้อให้บางอย่าง คือ ตู้ห้องสมุด ๑ ตู้ ตู้เก็บของ ๖ ตู้ โต๊ะสำหรับเขียนหนังสือ ๗ โต๊ะ กระดานดำ ๔ แผ่น ป้ายชื่อโรงเรียนหนึ่งแผ่น ถึงน้ำ ๑ ถัง รวมเงิน ๖๔๐ บาท รวมทั้งสิ้นเปนเงิน ๒๒,๕๐๔ บาท เมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จ ได้ใช้สถานที่นี้กระทำการฌาปนกิจศพปั้นแต่เมื่อเดือนพฤษภาคมศกนี้แล้ว แลได้มอบตึกหลังนี้ให้แก่กรมศึกษาธิการใช้ที่สถานที่ศึกษาตามที่เจตนาไว้ กรมศึกษาธิการได้รับแลเปิดใช้เปนโรงเรียนมัธยม เรียกว่า โรงเรียนมัธยมพิเศษสุทธิวราราม รับนักเรียนเข้าเล่าเรียนตั้งแต่วันที่ ๓ กรกฎาคม รัตนโกสินทรศก ๑๓๐ เปนต้นไป บรรดาผู้ที่ออกทรัพย์ก่อสร้างโรงเรียน ขอพระราชทานถวานพระราชกุศล
กระทรวงธรรมการได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณา ทราบฝ่าลอองธุลีพระบาทแล้ว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทาน พระราชกระแสมาว่า แต่ก่อนมาผู้ใดมีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธสาสนาก็มักจะสร้างวัดขึ้น การสร้างวัดขึ้นใหม่เช่นนั้น โดยมากก็คงอยู่ได้ชั่วคราว คือ ชั่วอายุแลกำลังของบุคคลที่จะปกครองรักษา ถ้าขาดความทนุบำรุงเมื่อใดวัดที่สร้างขึ้นไว้ก็รกร้างว่างเปล่าเปนป่าพง อันเปนที่พึงสลดใจแห่งพุทธสาสนิกชน ใช้แต่เท่านั้น แม้วัดซึ่งยังเปนที่อาศรัยได้อยู่บ้าง แต่ขาดความปกครองอันดี ปล่อยให้ทรุดโทรมรถเรื้อเลวทราม ก็กลับจะเป็นซ่องที่อาศรัยแอบแฝงของผู้ประพฤติชั่ว สถานที่ซึ่งตกอยู่ในลักษณะเช่นนี้กลับเปนทางชั่วร้าย มิได้นำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ทั้งพุทธจักร์แลอาณาจักร์เลย
การที่พวกบุตร์ของปั้นมีน้ำใจศรัทธาบำเพญกุศลโดยวิธีสร้างโรงเรียนอันเปนสิ่งต้องการในสมัยนี้ขึ้น ให้เปนที่ศึกษาของประชาชน นับว่าเปนการแผ่ผลให้เปนสาธารณประโยชน์ต่อไปเช่นนี้ ทรงพระราชดำริห์เห็นมั่นในพระราชหฤทัยว่า จะมีผลดีทั้งฝ่ายพระพุทธจักร์แลอาณาจักร์ จะเปนผลานิสงษ์อันงามจริง เปนอันพอพระราชหฤทัย แลต้องด้วยพระราชนิยมยิ่งนัก จึงทรงสรรเสริญแลทรงอนุโมทนาในส่วนกุศลอันนี้ แลทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศพระราชนิยมอันนี้ให้ทราบทั่วกันว่า ถ้าผู้ใดมีจิตรศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธสาสนา ประสงค์จะบำเพญกุศลให้เป็นผลานิสงษ์อันดีจริงแล้ว ก็ควรจะถือเอาการสร้างโรงเรียนว่าเปนการกุศลที่จะพึงกระทำวันหนึ่งได้ ถ้าหากมีความประสงค์ที่จะทำการอันใดซึ่งเปนทางสร้างวัด ก็ควรที่จะช่วยกันปฏิสังขรณ์วัดที่มีอยู่แล้ว ให้ดีงามแลสืบอายุให้มั่นคงถาวรต่อไปดีกว่าที่จะสร้างขึ้นใหม่ แล้วไม่รักษา ปล่อยให้ทรุดโทรมเปนที่น่าสังเวช อันเปนทางที่จะชักพาให้คนมีใจหมิ่นประมาทในพระพุทธสาสนากอบไปด้วยโทษดังกล่าวแล้วนั้น
กระทรวงธรรมการจึงได้รับพระบรมราชโองการเชิญกระแสพระราชดำริห์แลพระราชนิยมนี้ออกประกาศให้มหาชนทราบทั่วกัน ๚
แจ้งความมา ณ วันที่ ๒๘ กรกฎาคม รัตนโกสินทร์ ศก ๑๓๐
จากหลักฐานที่พบจึงสามารถระบุได้ว่า "โรงเรียนมัธยมพิเศษสุทธิวรารามเป็นโรงเรียนแห่งแรกในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ราษฎรสร้างขึ้นแล้วยกให้กระทรวงธรรมการใช้เป็นโรงเรียน ซึ่งต้องด้วยพระราชนิยมในการสร้างโรงเรียนแทนวัด"
การแต่งของของนักเรียนในสมัยแรกนั้น คือ สวมเสื้อนอกราชปะแตนชั้นนอกขาวคอปิด ติดกระดุมทองเหลือง 5 เม็ด รองเท้าสีดำถุงเท้ายาวสีขาว สวมหมวกฟางกลมแบนนสีขาวมีปีกและผ้าพันหมวกสีน้ำเงินอ่อน มีแถบสีเหลือง ด้านหน้าของหมวกมีตัวอักษรย่อ ส.ท. ทำด้วยทองเหลือง
ในปีวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2456 พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ เสด็จมาตรวจโรงเรียน มีหลวงอนุพันธ์ฯ เจ้าพนักงานจัดการแขวงตะวันออกใต้เป็นผู้นำเสด็จ
เมื่อ พ.ศ. 2460 พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประกาศสงครามกับฝ่ายเยอรมนี ทางรัฐบาลจึงส่งทหารเข้ายึดพื้นที่ที่ดินของบริษัทวินด์เซอร์โรซซึ่งชาวเยอรมันเช่าที่วัดสุทธิวรารามอยู่ โรงเรียนมัธยมพิเศษสุทธิวรารามจึงได้ขยายพื้นที่โรงเรียนออกไป โดย ขุนสิทธิ์ดรุณเวชย์ ครูฝ่ายปกครอง ได้ขอที่ดินดังกล่าวจากเจ้าอาวาสวัดสุทธิวราราม เพื่อสร้างโรงเรียนชั้นประถม จึงรื้อโรงเรียนประถมวัดยานนาวาปลูกสร้างต่อจากโรงเรียนเดิมไปทางตะวันตก เป็นแผนกประถมของโรงเรียนมัธยมพิเศษสุทธิวราราม เมื่อแล้วเสร็จ กระทรวงธรรมการเห็นควรให้เปิดโรงเรียนสตรีขึ้นอีกแผนก จึงได้เปิดเป็น โรงเรียนสตรีวัดสุทธิวราราม อยู่บริเวณเดียวกับโรงเรียนมัธยมพิเศษสุทธิวราราม มีรั้วกั้นอาณาเขตแต่มีประตูเดิมเชื่อมถึงกันได้ โดยนักเรียนโรงเรียนสตรีวัดสุทธิวรารามเดินเข้าออกโรงเรียนทางถนนเข้าสะพานปลา
ในสมัยที่ขุนชำนิขบวนสาสน์เป็นผู้บริหารโรงเรียน จัดการเปิดการเรียนการสอนทั้งหมด 9 ชั้น รวมทั้งสิ้น 12 ห้อง คือ ชั้นประถมสามัญ 1-3 มัธยมสามัญตอนต้น ม.1-3 และมัธยมสามัญตอนกลาง ม.4-6 ไม่มีมัธยมสามัญตอนปลายคือ ม.7-8 นักเรียนที่ประสงค์จะเรียนต่อในระดับชั้นดังกล่าว จะต้องไปศึกษาที่อื่น ซึ่งในขณะนั้นเปิดรับสมัครอยู่ 2 แห่ง คือ โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย และโรงเรียนเทพศิรินทร์
ต่อมาเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2470 เวลา 04.00 น. เกิดเพลิงไหม้ขึ้นที่ตลาดบ้านทวาย[10] แล้วลุกลามมาถึงโรงเรียนชั้นประถมและบริเวณห้องสมุด กระทรวงธรรมการจีงได้สร้างตึกหลังใหม่ให้ต่อต่อกับตึกหลังเดิม โดยยื่นไปทางทิศใต้เป็นรูปตัวแอล ไม่ปรากฏว่าชั้นประถมมีการเปิดดการเรียนการสอนต่อหรือไม่
ต่อมาในวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2474 สมัยที่ขุนชำนิขบวนสาสน์ดังรงตำแหน่งรักษาการอาจารย์ใหญ่เป็นครั้งที่ 2 กระทรวงธรรมการได้สร้างโรงเรียนสตรีวัดสุทธิวรารามขึ้นใหม่ที่ตรอกยายกะตา โดยใช้ชื่อใหม่ว่า โรงเรียนสตรีบ้านทวาย และอพยพนักเรียนสตรีไป (ซึ่งต่อมาในปี พ.ศ. 2482 กระทรวงธรรมการให้แยกโรงเรียนสตรีบ้านทวายออกเป็น 2 โรงเรียน คือ โรงเรียนสตรีบ้ายทวาย สังกัดกรมสามัญศึกษา ปัจจุบันคือ โรงเรียนสตรีศรีสุริโยทัย และโรงเรียนการช่างสตรีพระนครใต้ สังกัดกรมอาชีวศึกษา ปัจจุบันคือ คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ
และในปีการศึกษา 2474 และ 2475 นี้ โรงเรียนวัดสุทธิวราราม ได้เปิดทำการสอนชั้นมัธยมปีที่ 7 และ 8 ตามลำดับ ทำให้การเรียนการสอนในระดับมัธยมสามัญครอบคลุมทั้งตอนต้น ตอนกลาง และตอนปลาย ครบ 8 ชั้น
ใน พ.ศ. 2475 มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็น ระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ ส่งผลกระทบตอ่การดำเนินงานของโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่ โดยในระยะแรกที่หลวงทรงวิทยาศาสตร์ (ทรง ประนิช) เข้ามาเป็นผู้บริหารลำดับที่ 4 ของโรงเรียน ระหว่างพ.ศ. 2475 ถึง พ.ศ. 2476 ยังไม่เกิดความเปลี่ยนแปลงมากนัก แต่ต่อมาในสมัย หลวงสวัสดิสารศาสตรพุทธิ (สวัสดิ์ สุมิตร) เข้ามาเป็นผู้บริหารลำดับที่ 5 ระหว่าง พ.ศ. 2475 ถึง พ.ศ. 2480 โรงเรียนมัธยมพิเศษสุทธิวราราม จึงได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับสถาบันทางการเมือง ในปี พ.ศ. 2479 โรงเรียนได้ถูกใช้เป็นศูนย์สาธิตอาวุธชนิดใหม่ให้นักเรียนและประชาชนได้ชม มีการจัดแสดงรถถัง ปตอ. แบบ 76 ติดตั้งบนรถสายพานปืนใหญ่ ขนาด 75 ม.ม. และรถเกราะขนาดจิ๋วซึ่งติดตั้งปืนกลหนักในบริเวณสนามฟุตบอลของโรงเรียน มีการสาธิตการยิงปืนใหญ่ด้วยกระสุนซอมรบ โดยมีความมุ่งหมายให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นในกองทัพและปลุกใจความรักชาติ และในสมัยนั้น มีการจัดตั้งกรมยุวชนทหาร มี พันเอก ประยูร ภมรมนตรี เป็นเจ้ากรม โดยรัฐบาลกำหนดให้เยาวชนที่มีอายุเข้าเกณฑ์สมัครเป็นยุวชนทหาร นักเรียนระดับอาชีวศึกษาและนักเรียนเตรียมฯ เป็นยุวชนนายสิบ และนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเป็นยุวชนนายทหาร ซึ่งโรงเรียนมัธยมพิเศษสุทธิวรารามถูกกำหนดให้เป็นศูนย์ฝึกยุวชนทหารของกองทัพบก โดยส่งครูมาฝึกให้กับนักเรียนชั้น ม.4 ในเวลาหลังเลิกเรียน ทั้งฝึกในสนามและสอนในห้องเรียน การแต่งการของนักเรียนระดับชั้นมัธยมปลายจึงเปลี่ยนแปลงไป คือ นุ่งกางเกงขาสั้น กับเสื้อเชิ๊ตแขนสั้นหรือยาวสีกากีแกมเขียว พร้อมด้วยผ้าพันหมวกสีแดง ตามแบบของนักเรียนที่เป็นยุวชนทหาร
เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2480 ได้เกิดพายุใหญ่พัดต้นก้ามปูล้มทับเรือนไม้สีเทา พังจนใช้การไม่ได้ ต่อมากระทรวงธรรมการจึงได้สร้างต่อเติมอาคารบริเวณเรือนไม้ สีเทา แต่เดิมต่อจากอาคารรูปตัวแอลที่ได้สร้างไว้เมื่อปี พ.ศ. 2470
ปลายปีการศึกษา 2484 เกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา โรงเรียนมัธยมวัดสุทธิวรารามก็ถูกกองทัพญี่ปุ่นยึดเป็นค่ายพักอาศัยชั่วคราว โรงเรียนจึงต้องปิดทำการสอน ไม่มีการจัดสอบไล่ กระทรวงธรรมการจึงใช้ผลการเรียนและเวลาเข้าเรียนเป็นการตัดสินสอบได้-ตก
ในปีต่อมา สงครามทวีความรุนแรงขึ้นเป็นลำดับ เครื่องบินฝ่ายสัมพันธมิตรทิ้งระเบิดทำลายบริษัทบอร์เนียว ทำให้อาคารโรงเรียนด้านตะวันตก ส่วนที่เป็นห้องเก็บเครื่องมือวิทยาศาสตร์ถูกทำลายไปด้วย รัศมีการทำลายของระเบิดกินเนื้อที่ไปถึงอู่กรุงเทพ เมื่อโรงเรียนไหม้หมดแล้ว หินอ่อนแผ่นสูงจารึกพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวและบันทึกการเสด็จพระราชดำเนินมาทรงกระทำพิธีเปิดโรงเรียนก็ได้อันตรธานหายไปในครั้งนั้น[11][12]
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง ภัยสงครามได้ทำให้โรงเรียนอยู่ในสภาพย่อยยับ ยากต่อการบูรณะซ่อมแซม ทางราชการมีนโยบายว่าจะยุบเลิกโรงเรียนมัธยมพิเศษสุทธิวราราม คณะครูอาจารย์และราษฎรจึงต้องร่วมกันทำหนังสือร้องเรียนไปยังกระทรวงศึกษาธิการ จนทางการอนุมัติงบประมาณก่อสร้างอาคารเรียนใหม่ นอกจากนี้ทางโรงเรียนยังทำหนังสือขอขยายบริเวณพื้นที่โรงเรียนออกไปถึงเขตอู่กรุงเทพและจรดแม่น้ำเจ้าพระยาแต่ไม่สำเร็จ เนื่องจากขาดงบประมาณ
ในระยะแรกนักเรียนต้องอาศัยศาลาเชื้อ ณ สงขลา ศาลาการเปรียญในวัดสุทธิวรารามเป็นที่เรียนชั่วคราว จนต่อมากระทรวงธรรมการจึงได้สร้างเรือนไม้ 2 ชั้น หลังคามุงจาก ฝาลำแพน (ปัจจุบันคือที่ตั้งอาคารเฉลิมพระเกียรติร. 9) เป็นที่เรียนชั่วคราว
ในสมัยนั้น ด้านความสัมพันธ์กับโรงเรียนอื่นๆ โรงเรียนมัธยมพิเศษสุทธิวรารามมีการแข่งขันกีฬาฟุตบอลกับโรงเรียนอื่นๆ โดยโรงเรียนที่เป็นคู่แข่งทางการกีฬาฟุตบอลกับโรงเรียนคือโรงเรียนเซนต์คาเบรียล ซึ่งผลัดกับชิงตำแหน่งชนะเลิศของบอลรุ่นเล็ก จนถึงกับมีบทเพลงลำตัดสำหรับกองเชียร์ได้ร้องเวลาเชียร์ฟุตบอล
พ.ศ. 2490 กระทรวงศึกษาธิการได้จัดสร้างอาคาร 2 ชั้น คืออาคาร 1 ซึ่งรื้อถอนออกแล้ว ออกแบบโดยหลวงสวัสดิ์สารศาสตรพุทธิ อธิบดีกรมวิสามัญศึกษา (อดีตอาจารย์ใหญ่โรงเรียนวัดสุทธิวราราม) จึงได้เชิญ ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช กระทำพิธีเปิด เมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2491
ต่อมาเมื่อปลายเดือนกันยายน พ.ศ. 2495 ได้รื้อเรือนหลังคามุงจากออก พอถึงเดือนตุลาคมจึงได้มีการสร้างอาคาร 3 ชั้น คืออาคาร 2 ซึ่งปัจจุบันรื้อถอนไปแล้ว กับหอประชุมอีก 1 หลัง ต่อมาในปี พ.ศ. 2496 จึงได้งบประมาณต่อเติมอาคาร 2 และอาคาร 3 ซึ่งมี 2 ชั้น และหอประชุมจนเสร็จสมบูรณ์ หลวงสวัสดิ์สารศาสตรพุทธิ อธิบดีกรมวิสามัญศึกษา จึงเชิญ ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายมังกร พรหมโยธี มาเปิดอาคารทั้ง 2 เมื่อวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2498
ในปี พ.ศ. 2498 มีการเปลี่ยนชื่อโรงเรียนจาก "โรงเรียนมัธยมพิเศษสุทธิวราราม" เป็น "โรงเรียนวัดสุทธิวราราม"
ในปี พ.ศ. 2503 - 2505 ได้ตัดชั้นมัธยมปีที่ 1, 2 และ 3 ออกปีละลำดับชั้น และในปี พ.ศ. 2506 ได้เปลี่ยนชั้นมัธยมปีที่ 4-6 เป็น"ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3" แลเปลี่ยนชั้นเตรียมอุดมศึกษาปีที่ 1-2 เรียกว่า "ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6"(ชั้นมัธยมปลายในปัจจุบัน)
ใน วันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2511 คณะครูนักเรียนโรงเรียนวัดสุทธิวรารามได้มีโอกาสเฝ้าฯ รับเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการเสด็จพระราชดำเนินมาถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดสุทธิวราราม ซึ่งเป็นการถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดซึ่งไม่ใช่พระอารามหลวงครั้งแรก ในปีเดียวกันนี้ ทางกระทรวงศึกษาธิการก็ได้ให้งบประมาณสร้างกำแพงหน้าโรงเรียนใหม่ พร้อมด้วยอาคารหอประชุม เป็นตึกชั้นเดียวไม่มีฝาผนัง ตั้งอยู่หลังอาคาร 1
ปลาย พ.ศ. 2512 ทางกระทรวงศึกษาธิการก็ได้ให้งบประมาณสร้างตึกอาคารเรียน 3 ชั้นยาวตามแนวขนานกับถนนเจริญกรุง บริเวณหน้าโรงเรียน ขึ้นอีกตึกหนึ่ง คืออาคารสุทธิ์รังสรรค์(ตึก 4) ในปัจจุบัน และย้ายเสาธงกลางสนามมาตั้งใหม่(หน้าอาคาร 7 ในปัจจุบัน) ส่วนบริเวณเสาธงเดิมได้สร้างสนามบาสเก็ตบอลแทนที่สนามเก่าที่ถูกทำลายลงในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
ในสมัยนี้ โรงเรียนวัดสุทธิวรารามเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่อันดับที่ 3 ของประเทศ และมีการจัดงานเฉลิมฉลองครบรอบ 60 ปีแห่งการสถาปนาโรงเรียน หรืองาน "พัชรสมโภช" ในวันที่ 3-5 กรกฎาคม พ.ศ. 2514 มีการจัดนิทรรศการวิชาการ 3 วัน เปิดให้เข้าชมงานตั้งแต่ 09.00 - 1.00 โดยในวันแรกมีการทำบุญเลี้ยงพระตอนเช้า และจัดฟลอร์ลีลาศในตอนกลางคืน วันที่สองมีการแสดงวงโยธาธิตออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 มีนายแสวง บุตรน้ำเพ็ชร เป็นผู้ควบคุมวง
สืบเนื่องจากความสำเร็จของงานพัชรสมโภช ในปีงบประมาณ 2515 ทางโรงเรียนได้รับงบประมาณ จำนวน 4 ล้านบาทเศษ สร้างอาคารเรียน 6 ชั้น ภายหลังตั้งชื่อว่า อาคารปั้นรังสฤษฏ์ มีจำนวน 18 ห้องเรียน
ในการสอบของนักเรียนระดับชั้น ม.ศ.5 มีนักเรียนสอบได้ไม่ต่ำกว่า ร้อยละ 85 สามปีติดต่อกัน โรงเรียนจึงได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานเงินรางวัล มีนายเจิม สืบขจร ผู้อำนวยการโรงเรียน เป็นผู้ไปรับพระราชทานรางวัล เมื่อ พ.ศ. 2519
ปีงบประมาณ 2519 ได้รับงบประมาณ จำนวน 4 ล้านบาทเศษ สร้างอาคาร 3 ชั้น ปัจจุบันคืออาคารวิจิตรวรศาสตร์ เป็นอาคารอเนกประสงค์ และเนื่องจากสมัยนั้นโรงเรียนประสบปัญหาเรื่องสถานที่เรียนของนักเรียนเป็นอย่างมาก ปีหนึ่งๆมีนักเรียนสมัครเรียนจำนวนมากจนมีห้องเรียนไม่เพียงพอ จึงจำเป็นต้องแบ่งนักเรียนเรียนเป็น 2 ผลัดซึ่งยากแก่การปกครองดูแล ในปีงบประมาณ 2520 ทางโรงเรียนจึงได้รับงบประมาณ จำนวน 6 ล้านบาทเศษ สร้างอาคารเรียน 4 ชั้น เรียกว่าอาคารพัชรนาถบงกช มีจำนวน 18 ห้องเรียน เมื่อปีการศึกษา 2523 เนื่องจากมีสถานที่เรียนเพียงพอ จึงได้มีการเรียนการสอนเป็นผลัดเดียว
ด้านวิชาการและกิจกรรม นักเรียนชั้น ม.6 ของโรงเรียนวัดสุทธิวรารามสามารถสอบคัดเลือกเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยได้เป็นอันดับที่ 1 ของประเทศถึง 3 ปีซ้อน วงดุริยางค์โรงเรียนวัดสุทธิวรารามก็ได้เข้าร่วมการแข่งขันในระดับนานาชาติเป็นโรงเรียนแรกของประเทศ และได้รับรางวัลชนะเลิศทั้ง 6 ประเภทจากการแข่งขันดุริยางค์อาเซียนครั้งที่ 4 ณ ประเทศอินโดนีเซีย ใน พ.ศ. 2523 และได้รับรางวัลรองชนะเลิศจากการประกวดดนตรีโลก ครั้งที่ 9 ณ ประเทศเนเธอรืแลนด์ ในพ.ศ. 2554 ในส่วนของกิจการลูกเสือ ผู้อำนวยการเจิม สืบขจรได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานคณะกรรมการฝ่ายฝึกอบรมผู้บังคับบัญชาลูกเสือของกรมสามัญศึกษา และโรงเรียนวัดสุทธิวรารามได้ถูกใช้เป็นค่ายลูกเสือชั่วคราวในการฝึกอบรมผู้บังคับบัญชาลูกเสือทั่วประเทศตั้งแต่ พ.ศ. 2520 - พ.ศ. 2526
ในปี พ.ศ. 2526 มีการจัดตั้งวงดนตรีไทยของโรงเรียนอย่างเป็นทางการ และมีการปรับเปลี่ยนการแสดงของวงดุริยางค์จากการสวนสนามเป็นคอนเสิร์ตเครื่องลม และในปี พ.ศ. 2529 มีการจัดตั้งสมาคมผู้ปกครองและครูโรงเรียนวัดสุทธิวราราม พ.ศ. 2530 โรงเรียนวัดสุทธิวราราม ได้รับเลือกจากกรมสามัญศึกษาให้เป็น "โรงเรียนมัธยมศึกาดีเด่น ในเขตกรุงเทพมหานคร" ประจำปีการศึกษา 2530 และโรงเรียนได้รับงบประมาณสร้างโรงฝึกงานแบบมาตรฐาน 306 ล./27 จำนวน 1 หลัง เป็นเงิน 3 ล้านบาทเศษ เป็นอาคาร 4 ชั้น สร้างแทนที่อาคาร 3 หลังเก่า แล้วเสร็จเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2531 คืออาคารพัชรยศบุษกร ในปีเดียวกันนี้ เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาธินัดดามาตุ ได้เสด็จทอดพระเนตร "คอนเสิร์ตเครื่องลมเฉลิมพระเกียรติ" ครั้งที่ 5 ที่วงดุริยางค์โรงเรียนวัดสุทธิวรารามจัดขึ้น ณ หอประชุมใหญ่ ชั้น 30 ธนาคารกรุงเทพ สำนักงานใหญ่ สีลม
ปีการศึกษา 2532 พลเอกประเทียบ เทศวิศาล นายกสมาคมนักเรียนเก่าสุทธิวราราม พร้อมด้วยอดีตผู้อำนวยการโรงเรียน นายสุชาติ สุประกอบ คณะครู-อาจารย์ นักเรียน ผู้ปกครองได้จัดทอดผ้าป่าสร้างอาคารธรรมสถานบริเวณทางเข้าโรงเรียน ประดิษฐานหลวงพ่อสุทธิมงคลชัย พระพุทธรูปประจำโรงเรียนวัดสุทธิวราราม โดย พลเอกเทียนชัย สิริสัมพันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในพิธีเปิดธรรมสถาน
ปีงบประมาณ 2533 ได้รับงบประมาณ 3,775,000 บาท สร้างแฟลตนักการภารโรง จำนวน 20 หน่วย 1หลัง ในปีการศึกษา 2534 โรงเรียนได้ต่อเติมห้องเรียนอีก5ห้องบริเวณชั้นล่างอาคารปั้นรังสฤษฏ์ เพื่อรองรับนักเรียนที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และในปีเดียวกัน เป็นปีครบรอบ 80 ปีวันสถาปนาโรงเรียนวัดสุทธิวราราม คณะศิษย์เก่า รุ่น 2500 ได้ร่วมกันจัดสร้างรูปปั้น ท่านปั้น อุปการโกษากร ผู้ให้กำเนิดโรงเรียนวัดสุทธิวราราม เพื่อให้ทุกคนได้สักการบูชา
ในปีการศึกษา 2535 โรงเรียนวัดสุทธิวรารามได้รับคัดเลือกให้เป็น "สถานศึกษาที่ได้รับรางวัลพระราชทานระดับมัธยมศึกษาขนาดใหญ่ประจำปีการศึกษา 2535" และเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2535 โรงเรียนวัดสุทธิวรารามได้จัดงาน "เดิน-วิ่งการกุศลเฉลิมพระเกียรติ" โดยมี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาธินัดดามาตุ เสด็จเป็นองค์ประธาน ณ สวนลุมพินี กรุงเทพฯ
วงดุริยางค์โรงเรียนวัดสุทธิวรารามได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดวงโยธาวาธิตนักเรียน นิสิต นักศึกษา ชิงถ้วายพระราชทาน ครั้งที่ 10 ประจำปี พ.ศ. 2534 และรางวัลเหรียญทองจาการประกวดดนตรีโลกครั้งที่ 12 ณ ประเทศ เนเธอร์แลนด์ ในปี พ.ศ. 2536
โรงเรียนวัดสุทธิวรารามได้รับอนุมติงบประมาณก่อสร้างอาคารเรียนแบบพิเศษ 9 ชั้น ณ บริเวณที่ตั้งอาคาร 2 โดย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้มีพระกรุณาธิคุณ เสด็จพระราชดำเนิน มาทรงวางศิลาฤกษ์ เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2536 ในการนี้ได้ทรงเยื่ยมชมพิพิธภัณฑ์โรงเรียน ทรงพระสุหร่ายคฑาครุฑ และทอดพระเนตรนิทรรศการวิชาการพร้อมทั้งพระราชทานเข็มพระนามาภิไทยย่อ ส.ธ. ให้กับโรงเรียน และในปีพ.ศ. 2537 อาคารเรียนดังกล่าวสร้างแล้วเสร็จ เปิดใช้งานในต้นปีการศึกษา 2537
ในปี พ.ศ. 2539 มีการตั้งชื่ออาคารเรียนนี้อย่างเป็นทางการว่า อาคารเฉลิมพระเกียรติ ร.9 (ตึก 9) ได้รับพระบรมราชานุญาติ ให้ใช้ตรากาญจนาภิเษกประดับอาคาร เพื่อเฉลิมฉลองในวโรกาสพระราชพิธีกาญจนาภิเษก
ใน พ.ศ. 2541 โรงเรียนวัดสุทธิวราราม ได้เข้าร่วมกิจกรรมวันครูประจำปี พ.ศ. 2541 ของกรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ รับผิดชอบการแปรอักษรบนอัฒจันทร์ ณ สนามศุกภชลาศัย และในปลายปี โรงเรียนได้รับเกียรติจากคณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ครั้งที่ 13 ซึ่งประเทศไทยเป็นเข้าภาพ ให้จัดส่งนักเรียนจำนวน 1,600 คน ไปแสดงชุดสหพันธไมตรี (United Asia) ในพิธีเปิดการแข่งขัน และวงโยธวาทิตโรงเรียนวัดสุทธิวรารามก็ได้รับรางวัลคะแนนสูงสุดประเภท Brass & Percussion Band จากการแข่งขัน "1999 World Championship for Marching Show Bands" ณ นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย เมื่อวันที่ 31 กรกฏาคม พ.ศ. 2542 ใน วันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2551 พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาธินัดดามาตุ เสด็จมาทรงเปิด "ห้องสมุดเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550" ณ โรงเรียนวัดสุทธิวราราม ในการนี้ทรงทอดพระเนตรการแสดงผลงานวิชาการของโรงเรียนและการสาธิตการสืบค้นข้อมูลจากห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์
ปีการศึกษา 2554 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้มีพระมหากรุณาธิคุณ เสด็จพระราชดำเนิน มาทรงเปิดนิศรรศการ "ศตวัชรบงกช 100 ปี วัดสุทธิวราราม" เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2554 ทั้งนี้เพื่อหารายได้ก่อสร้างเพิ่มเติมหอประชุมชั้น 10 ณอาคารเฉลิมพระเกียรติ ร.9(ตึก 9)
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 25, แจ้งความกระทรวงธรรมการ [เรื่อง ปั้นมรรคนายิกาวัดสุทธิวรารามป่วยถึงแก่กรรม] หน้า 116
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 25, พระราชทานสัญญาบัตรมรรคนายก [พระศิริศาสตร์ประสิทธิ์เป็นมรรคนายกวัดสุทธิวราราม] หน้า 585
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 28, แจ้งความกระทรวงธรรมการ [ประกาศพระราชนิยมเรื่องบำเพ็ญกุศลในวิธีสร้างโรงเรียน] หน้า 896
- ↑ ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 49 เรื่องจดหมายเหตุของมองซิเออร์เซเบเรต์ ราชทูตฝรั่งเศสซึ่งเข้ามาเจริญทางพระราชไมตรีในกรุงสยาม ครั้งแผ่นดิน สมเด็จพระนารายณ์ มหาราช (ตอนที่ 3ต่อจากประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 48) พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ มหาอำมาตย์โท พระยาพิจารณาปฤชามาตย์ (สุหร่าย วัชราภัย) เมื่อปีมะโรง พ.ศ. 2471 วิกิซอร์ซ มีงานต้นฉบับเกี่ยวกับ:
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา วันที่ 9 กรกฎาคม 130 เล่ม 28 หน้า 737-738
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ100ปี
- ↑ สำนักจดหมายเหตุแห่งชาติ มร. 6ศ/5, ทูลเกล้าถวายร่างประกาศพระราชนิยมเรื่องบำเพ็ญกุศลในวิธีสร้างโรงเรียน
- ↑ สำนักจดหมายเหตุแห่งชาติ มร. 6ศ/5, เรื่องโรงเรียนวัดสุทธิวรารามแลประกาศพระราชนิยมในการสร้างโรงเรียน, หน้า 10-11
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา วันที่ 6 สิงหาคม 130 เล่ม 28 หน้า 896-899
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา วันที่ 1 มกราคม 2470 เล่ม 44 หน้า 3190]
- ↑ ประวัติโรงเรียนวัดสุทธิวราราม
- ↑ ประวัติโรงเรียน - วัชรสมโภช 80 ปี โรงเรียนวัดสุทธิวราม