ผู้ใช้:Kallayarat/กระบะทราย
pws.npru.ac.th/chanokchone/data/files/การคลังท้องถิ่น.pdf[1][2]การคลังท้องถิ่น (Local Finance)
ความหมายของการคลังท้องถิ่น[แก้]
[3] การคลังท้องถิ่นได้มีการให้ความหมายของคำนี้โดยอาจารย์หลายท่าน ในที่นี้จะขอกล่าวในบางส่วน เอนก เธียรถาวร (2535)ได้ให้ความหมายไว้ว่าการคลังท้องถิ่นจะประกอบไปด้วยรายได้ขรายจ่าย วิธีการงบประมาณและการควบคุมงบประมาณ-รายจ่าย วิธีการงบประมาณและการคบคุมงบประมาI ประทาน คงฤทธิ์ศึกษากร (2525) ได้ให้ความหมายการคลังท้องถิ่นว่า การบริหารงานคลังขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จึงเป็นการพิจารณาถึงการจัดหารายได้ การกำหนดรายจ่าย การจัดทำงบประมาณ การจัดซื้อวัสดุ การว่าจ้างการบัญชี และการสำรวจบัญชีขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นอกจากนี้ยังมีอาจารย์ท่านอื่นอีกที่ได้ให้ความหมายไว้ ซึ่งพอสรุปความหมายของการคลังท้องถิ่น ได้ดังนี้ การคลังท้องถิ่น คือ การดำเนินงานทางการคลังของรัฐบาลท้องถิ่น รวมถึงการจัดทำงบประมาณ การแสวงหารายได้ การบริหารรายได้-รายจ่าย การก่อหนี้และการบริหารหนี้ อันเกิดจากกิจกรรมของรัฐบาลท้องถิ่น ตลอดจนการดำเนินงานคลังต่างๆ ซึ่งมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมในท้องถิ่นและประเทศ
ความสำคัญของบริหารเงินคลังขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น[แก้]
การที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความสำคัญต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ท้องถิ่นเพราะเป็นองค์กรที่มีบทบาทหน้าที่ในการให้บริการสาธารณะที่เกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิตและคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน เหตุผลหลักที่ทำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นหน่วยงานหลักที่ควรได้รับการเอาใจใส่ในการพัฒนาประสิทธิภาพการทำหน้าที่และความพร้อม ความเข้มแข็งของการทำหน้าที่ให้บริการสาธารณะคือการที่องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นมีความได้เปรียบจากความใกล้ชิดและรับรู้ปัญหาของประชาชนได้ดี ความเข้มแข็งในการจัดการทางการเงินการคลังขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างสมรรถภาพการเงินการคลังทางการเงินการคลังในระยะยาว ที่มุ่งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถทำหน้าที่ให้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดความคุ้มค่าแก่ประชาชน ไม่มีการรั่วไหลของทรัพยากรและงบประมาณ รวมทั้งการป้องกันการประพฤติมิชอบในการจัดการ หากการทำหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทำให้เกิดการรั่วไหลของทรัพยากรของท้องถิ่นไปกับการจัดการที่สิ้นเปลืองงบประมาณโดยไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ประชาชนหรือทำให้นักการเมืองท้องถิ่นหรือเจ้าหน้าที่ได้รับผลประโยชน์จากการทำหน้าที่ขององค์กร ดังนั้น ความจำเป็นที่ต้องมีการบริหารจัดการการเงินการคลังที่ดีขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อเป็นกรอบในการทำหน้าที่และกำกับทิศทางการใช้จ่ายหรือหารายได้ของตนเองและเนื่องจากความได้เปรียบของการจัดการการเงินการคลังขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีเหนือกว่าการจัดการของหน่วยงานรัฐบาลอื่นๆ ที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความใกล้ชิดและสามารถรับรู้ความต้องการ ( Preferences ) ของประชาชนในพื้นที่ต่างๆ ทำให้การตัดสินใจการให้บริการสาธารณะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจึงจำเป็นต้องนำเสนอความต้องการของประชาชนในพื้นที่มาเป็นส่วนหนึ่งของการตัดสินใจให้บริการสาธารณะของตนเองอยู่เสมอเป็นเครื่องมือช่วยในการตัดสินให้บริการสาธารณะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีประสิทธิภาพมากขึ้นและเพิ่มความรับผิดชอบต่อประชาชนของตนเองยิ่งขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน
แนวคิดเกี่ยวกับการปกครองท้องถิ่น[แก้]
การปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นการปกครองที่เกิดจากการกระจายอำนาจการปกครองจากส่วนกลางไปยังการปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้ประชนในท้องถิ่นได้มีโอกาสเรียนรู้และดำเนินกิจการต่างๆ ในการปกครองท้องถิ่นด้วยตัวเอง เพื่อที่จะตอบสนองการการไขปัญหาของประชาชนได้อย่างตรงจุด Willam A. Robson ให้ความหมายการปกครองส่วนท้องถิ่น ว่า เป็นการปกครองประเทศส่วนหนึ่งซึ่งได้รับอำนาจอย่างอิสระในการปฎิบัติตามสมควร ซึ่งจะต้องไม่มากจนมีผลกระทบต่ออำนาจอธิปไตยของรัฐ เพราะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ไม่ได้มีอำนาจอธิปไตยเป็นของตัวเอง การปกครองครองท้องถิ่นมีสิธิตามกฎหมาย มีองค์กรที่จำเป็นปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของการปกครองท้องถิ่น การปกครองส่วนท้องถิ่นมีลักษณะสำคัญ 4 ประการ ได้แก่
- องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีฐานะเป็นนิติบุคคล และมีเขตปกครองแน่นอน
- มีอิสระในการบริหารและกำหนดนโยบายได้
- มีการเลือกตั้งและมีการรับคณะบุคคลจากการเลือกตั้งของประชาชน หรือบางส่วน เพื่อเข้ามาบริหารและทำหน้าที่ปกครองท้องถิ่น
- มีงบประมาณเป็ยของตนเอง มีอำนาจการจัดเก็บภาษีตามที่กฎหมายกำหนด
การกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นคืออะไร ?[แก้]
จากกการศึกษาของ Dennis Rondinelli (1999) ได้กล่าวถึงความหมายการกระจายอำนาจไว้ว่า เป็นการโอนหน้าที่และความรับผิดชอบเกี่ยวกับงานบริการสาธารณะ จากรัฐบาลกลางสู่หน่วยงานส่วนย่อยที่เป็นส่วนหนึ่งของภาครัฐหรือหน่วยงานเอกชน กล่าวอีกนัยหนึ่ง "การกระจายอำนาจ" หมายถึงภาวะที่ทำให้หน่วยงานหรือชุมชนระดับล่างสุดมีอำนาจการตัดสินใจเกี่ยวกับแนวทางและวิธีการดำเนินกิจกรรมของตนเองได้อย่างกว้างขวาง การกระจายอำนาจเป็นภาวะที่ตรงกันข้ามกับ "การรวมอำนาจ" (Centralization) ซึ่งเป็นภาวะที่หน่วยงานระดับสูงสุดเป็นผู้กำหนดแนวทางและวิธีการดำเนินกิจกรรมต่างๆในทุกเรื่อง ทั้งนี้การกระจายอำนาจ มีความแตกต่างกันออกไปได้หลายมิติตามสภาวะที่ใช้อธิบาย เช่น การกระจายอำนาจในองค์กรทั่วไป หมายถึงการให้หน่วยปฏิบัติงานระดับล่างมีอำนาจในการตัดสินใจในเชิงนโยบายและการจัดการในหน้าที่รับผิดชอบของตนเอง เป็นต้น หรือหากใช้วิธีจำแนกรูปแบบของการกระจายอำนาจตามลักษณะของอำนาจหรือรูปแบบหน้าที่ความรับผิดชอบแล้ว สามารถจำแนกรูปแบบของการกระจายอำนาจ ที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบันได้อีหลายประเภท อาทิ กระกระจายอำนาจทางการเมือง การกระจายอำนาจทางการบริหาร การกระจายอำนาจทางการคลัง เป็นต้น ทั้งสามรูปแบบนี้มีความแตกต่างกันและสามรถผสมผสานกันได้ทั้งระหว่างประเทศ ในประเทศ หรือแม้แต่ในหน่วยงานเดียวกัน อย่างไรก็ตามพยายามกำหนดนิยามของการกระจายอำนาจที่ถูกต้องเที่ยงตรงเท่านั้นได้มีความสำคัญมากไปกว่าการสามารถเข้าใจแนวทางการกระจายอำนาจรูปแบบต่างๆได้อย่างถูกต้อง
การกระจายอำนาจการคลังสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นคืออะไร ?[แก้]
การกระจายอำนาจแท้จริงเป็นเพียงมาตรการหนึ่งในหลายๆมาตรการของการกระจายอำนาจ คือการโอนอำนาจ กระจายหน้าที่ความรับผิดชอบในหน้าที่เพื่อสาธารณะจากรัฐบาลกลางสู่หน่วยงานส่วนย่อยหัวใจของการกระจายอำนาจทางการคลังคือ ความรับผิดชอบทางการคลัง หากหน่วยงานส่วนกลางสามารถกระจายอำนาจไปสู่องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะสามามีรายได้ที่จะนำมาเป็นงบประมาณท้องถิ่นเพิ่มมากขึ้นจนเพียงพอต่อบริการสาธารณะทั้งนี้การกระจายอำนาจทางการคลังสามารถทำได้หลายรูปแบบ ดังนี้ ก.การเพิ่มรายได้ด้วยตัวเอง (Self-financing) หรือการครอบคลุมรายจ่ายผ่านการเก็บค่าธรรมเนียมจากผู้ใช้ ข.การร่วมมือทางการคลังหรือการให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการให้บริการและสาธารณูปโภคผ่านการสนับสนุนทางการเงินหรือการอุทิศแรงงาน (Labor Contribution) ค.การขยายตัวของรายรับท้องถิ่นผ่านภาษีทรัพย์สินและภาษีการค้า หรือเก็บค่าธรรมเนียมทางอ้อม ง.การถ่ายโอนรายรับปกติซึ่งเก็บภาษีโดยรัฐบาลมาให้แก่องค์กรการปกครองส่วนท้องถิ่นสำหรับการใช้จ่ายปกติและการใช้จ่ายในกรณีปกติและการใช้จ่ายในกรณีพิเศษหรือกรณีเฉพาะ จ.การอนุญาตเกี่ยวกับการกู้ยืมขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ในประเทศที่กำลังพัฒนาหลายๆประเทศ องค์กรการปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถควบคุมกฎหมายให้เก็บภาษีเองได้แต่ฐานของภาษียังคงไม่แข็งแรงยังคงต้องมีการพึ่งพิงสนับสนุนจากส่วนกลาง
ความสำคัญของการกระจายอำนาจการคลังสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น[แก้]
การกระจายอำนาจการคลังสู่องค์กรการปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นส่วนหนึ่งของวิชาการคลังสาธารณะ ได้มีวิวัฒนาการเป็นเวลานานแล้วสำหรับประเทศพัฒนา แนวคิด หลักเกณฑ์ ตลอดจนการปฏิบัติและการพัฒนาเป็นองค์ความรู้อย่างต่อเนื่อง แต่กรณีของประเทศกำลังพัฒนาได้มีความแตกต่างกันไม่ว่าจะเป็นทางด้านวัตถุประสงค์ขององค์กรในเรื่องของการกระจายอำนาจในภาพรวม และเงื่อนไขของผลลัพธ์ที่ต้องการจากการกระจายอำนาจการคลัง ไม่เหมือนกับประเทศพัฒนาแล้วแม้ว่าบทบาทของภาครัฐที่มีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศพัฒนาไม่แตกต่างจาประเทศพัฒนาแล้วมากนัก แต่บทบาทขององค์กรการปกครองส่วนท้องถิ่นในประเทศกำลังพัฒนามักจะถูกครอบงำ หรืออยู่ใต้การควบคุมอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นทางด้านการเมือง การเงิน การคลัง จากรัฐบาลในระดับที่สุงกว่า จึงทำให้ดูเหมือนกับว่าองค์กรการปกครองส่วนท้องถิ่นในประเทศกำลังพัฒนาไม่มีความสำคัญในด้านเศรษฐกิจและไม่มีส่วนสำคัญในการพัฒนาประเทศมากมายนัก แม้ในประเทศที่กำลังพัฒนาบางอย่างอาจให้ความสำคัญกับการกระจายอำนาจการคลังเป็นอย่างมากและเพื่อให้เข้าใจถึงความสำคัญของการกระจายอำนาจการคลังสู่องค์กรการปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้ศึกษาจำเป็นต้องเข้าใจประวัติศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ ซึ่งมีพื้นฐานต่างกันทั้งในด้านโครงสร้างทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง
ผลดีที่เกิดจากการกระจายอำนาจทางการคลังที่แท้จริง[แก้]
การกระจายอำนาจทางการคลังที่แท้จริงและผลสำเร็จที่เป็นตัวอย่างจากการที่มีการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรการปกครองส่วนท้องถิ่นในต่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพนั้นได้ทั้งที่เป็นความสำเร็จในระดับมหภาคและในระดับการจัดการในพื้นที่ของท้องถิ่น และได้ว่าความสำเร็จอยู่ในระดับใดก็ตามสามารถก่อให้เกิดผลดีต่อประเทศชาติได้ทั้งสิ้น ซึ่งสามารถสรุปผลดีใน้านต่างๆได้ดังต่อไปนี้ ก.การกระจายรายได้ (Income Redistribution) ปกติการกระจายรายได้มักจะถูกมมองว่าเป็นอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลกลางมากกว่าที่จะเป็นหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ด้วยเหตุที่ว่ารัฐบาลสามารถระดมทรัพยากรไปสู่เศรษฐกิจที่มีปัญหาความยากจนหรือล้าหลังในการพัฒนา ข.การจัดสรรทรัพยากร (Resource Allocation) หน้าที่การจัดการทรัพยากรนั้นถือได้ว่าเป็นบทยาทสำคัญที่ส่งเสริมให้มีการกระจายอำนาจทางการคลัง เพราะการให้บริการสาธารณะโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นถือว่ามีความใกล้ชิดกับความต้องการของประชาชนที่มีความแตกต่างกัน เป็นผลให้สวัสดิการของประชาชนจะเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากคุณสมบัติอย่างหนึ่งของสิสนค้าสาธารณะ คือ ไม่สามารถใช้กลไกราคาปกติในการตัดสินใจผลิตและบริโภคได้ ดังนั้นการตัดสินใจให้บริการสาธารณะจึงต้องหันมาใช้วิธีการตัดสินใจร่วมกัน (Collective Decision) หรือการออกเสียง (Voting) นั่นเอง ในสภาวะนี้ยิ่งทำให้การกระจายอำนาจสู่องค์กรการปกครองส่วนท้องถิ่นมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น จากากรตัดสินใจร่วมกันเพื่อให้บริการสาธารณะของท้องถิ่นมีความใกล้ชิด ทั้งนี้หากมีการกระจายอำนาจการคลังมากขึ้นแล้ว ย่อมก่อให้เกิดการแข่งขันระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการให้บริการ อันเป็นการส่งเสริมให้มีนวัตกรรมใหม่ของการให้บริการสาธารณะ นอกเหนือจากความมีประสิทธิภาพของการจัดสรรทรัพยากรอันเป็นผลจากการกระจายอำนาจทางการคลังแล้ว การกระจายอำนาจการคลังยังช่วยให้ประชาชนมีโอกาสเลือกรับบริการสาธารณะตามความพอใจของแต่ละบุคคลได้มากขึ้น และเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนเลือกถิ่นที่อยู่ที่มีการให้บริการสาธารณะ ตามความพอใจของแต่ละบุคคลมากขึ้น ค.การมีส่วนร่วมของประชาชน (Local People Participation) เป็นที่เชื่อกันโดยทั่วไปว่าหากมีการกระจายอำนาจทางการคลังเพิ่มมากขึ้น จะทำให้ประชาชนหันมาสนใจการทำงานของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพิ่มมากขึ้น และสร้างความรับผิดชอบมากขึ้น มีการศึกษาที่ยืนยันว่าการเลือกตั้ง และการปฏิสัมพันธ์ของการเลือกตั้งกับผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพิ่มสูงขั้นจากการส่งเสริมการกระจายอำนาจการคลัง
เครื่องมือมาตรการในการกระจายอำนาจทางการคลังแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น[แก้]
เครื่องมือหรือมาตรการทางการคลังมีรัฐบาลนำมาใช้ในการสนสนับสนุนการกระจายอำนาจทางการคลังสู่ภูมิภาคและท้องถิ่นมี 3 มาตรการหลัก คือ ภาษีและการหารายได้ งบประมาณรายจ่าย และเงินกู้ ก.ด้านภาษีและการหารายได้ รัฐบาลสามารถกำหนดภาระหน้าที่ให้แก่องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นโดยการให้อำนาจหน้าที่ในการจัดเก็บภาษีท้องถิ่น (Local Taxes) บางประเภทเป็นภาระหน้าที่ของท้องถิ่นเอง หรืออาจทำให้ท้องถิ่นมีรายได้จากภาษีประเภทร่วมกับรัฐบาลระดับชาติ ข.ด้านงบประมาณรายจ่าย รัฐบาลสนับสนุนการดำเนินกิจกรรมของท้องถิ่นโดยรัฐบาลสนับสนุนการดำเนินกิจกรรมของท้องถิ่นโดยการจัดสรรเงินอุดหนุนเป็นรายกิจกรรมหรือเงินอุดหนุนทั่วไปตามกรณี โดยตามหลักการแล้ว องค์กรปกครองท้องถิ่นมีศักยภาพทางการเงินการคลังต่ำ ควรจะได้รับจัดสรรเงินอุดหนุนในสัดส่วนที่สุงกว่า ทั้งนี้เพื่อช่วยลดความเหลื่อมล่ำทางเศรษฐกิจระหว่างภูมิภาคและชุมชน ค.ด้านเงินกู้ รัฐบาลจะอนุญาตให้ท้องถิ่นกู้เงินมาใช้ในโครงการลงทุนหรือใช้ดำเนินกิจกรรมหลักของตนเองได้ นอกจากนั้นรัฐบาลยังสามรถสนับสนุนการกู้เงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ โดยการเป็นผู้ค้ำประกันให้ท้องถิ่น หรือจัดหาเงินกู้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถกู้เงินได้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ เป็นต้น
กระบวนการงบประมาณคลังท้องถิ่น[แก้]
[4] การบวนการงบประมาณท้องถิ่น มี 3 กระบวนการ ได้แก่
- การจัดเตรียมงบประมาณ (Preparation) เจ้าหน้าที่ประจำองค์กรการปกครองส่วนท้องถิ่นมีหน้าที่เสนอคำของบประมาณต่อผู้ที่มีอำนาจส่วนกลาง ตามแผนงานและโครงการของท้องถิ่น
- การอนุมัติงบประมาณ (Adoption) ฝ่ายบริหารท้องถิ่นเสนองบประมาณท้องถิ่นต่อสภาแล้ว สภาท้องถิ่นมีหน้าที่พิจารณาอนุมัติงบประมาณแก่ท้องถิ่น คล้ายหน้าที่ของรัฐสภาของประเทศในการพิจารณาอนุมัติงบประมาณ
- การบริหารงบประมาณ (Execution) ฝ่ายบริหารท้องถิ่น มีหน้าที่ในการบริหารจัดเก็บรายได้ตามการและบริหาร การบบริหารจัดเก็บรายได้ตามประมาณการและบริหารหรือควบคุมการใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามแผนงาน รวมทั้งติดตามรายงานผลการใช้จ่ายงบประมาณ
วิธีการทำงบประมาณของหน่วยการปกครองท้องถิ่น[แก้]
- หัวหน้าหน่วยงาน ประมาณรายรับ-รายจ่ายเสนอต่อหัวหน้าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
- เจ้าหน้าที่งบประมาณ พิจารณา ตรวจ วิเคราะห์ ข้อมูลแล้วนำเสนอหัวหน้าหน่วยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
- หัวหน้าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนำร่างงบประมาณเสนอต่อสภาจังหวัด สภาเทศบาล สภาเมืองพัทยา สภากรุงเทพมหานคร สภาตำบล สภาองค์การบริหารส่วนตำบล ภายในวันที่ 15 สิงหาคม ยกเว้น กรุงเทพมหานคร ต้องเสนอต่อสภาก่อน กรุงเทพมหานครก่อนเริ่มปีงบประมาณอย่างน้อย 60 วัน ถ้าผู้ว่าราชการจังหวัดเห็นชอบให้ส่งขื่อนายอำเภอเพื่อลงชื่ออนุมัติ แต่ถ้าหากผู้ว่าราชการไม่เห็นชอบร่างข้อบังคับงบประมาณก็ตกไป
- ร่างข้อบัญญัติงบประมาณที่ได้ผ่านการพิจารณาแต่ละสภาแล้ว ให้ประกาศใช้ได้และสำเนาให้กระทรวงมหาดไทยได้ทราบ
การบริหารการจัดเก็บรายได้ขององค์กรการปกครองส่วนท้องถิ่น[แก้]
การกำหนดรายได้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จะขึ้นอยู่กับปัจจัยที่สำคัญหลายประการ เช่น ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจของประเทศ ฐานะทางการคลังกับรัฐบาล ความพร้อมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และที่สำคัญคือ ปัจจัยทางด้านการเมือง เป็นต้น ปัจจุบันท้องถิ่นแต่ละรูปแบบมีรายได้ประเภทคล้ายคลึงกัน มีเพียงองค์การบริการส่วนตำบลเท่านั้น ที่มีรายได้มากกว่าการปกคอรงท้องถิ่นรูปแบบอื่น โดยจะนำเสนอรายละเอียดดังนี้
รายได้ของเทศบาล[แก้]
รายได้ของเทศบาล มีดังต่อไปนี้
- ภาษีอากรแต่จะมีตามที่กฎหมายกำหนดไว้
- ค่าธรรมเนียม ค่าใบอนุญาต ค่าปรับ ตามที่กฎหมายกำหนดไว้
- รายได้จากทรัพย์สินของเทศบาล
- รายได้จากสาธารณูปโภคและเทศพาณิชย์
- พันธ์บัตรหรือเงินกู ตามแต่จะมีกฎหมายกำหนดไว้
- เงินกู้จากกระทรวง ทบวง กรม องค์การ หรือนิติบุคคลต่างๆ
- เงินอุดหนุนจากรัฐบาลหรือองค์การบริหารส่วนจังหวัด
- เงินและทรัพย์สินอย่างอื่นที่มีผู้อุทิศให้
- รายได้อื่นใดตามแต่จะมีกฎหมายกำหนดไว้
พระราชบัญญัติรายได้เทศบาล พ.ศ. 2497 มาตรา4-8 มาตรา 10 13 และมาตรา15 กำหนดรายได้ของเทศบาล ดังนี้
- ภาษีโรงเรือนและที่ดิน
- ภาษีบำรุงท้องที่
- ภาษีป้าย
- อากรการฆ่าสัตว์
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม
- ภาษีธุรกิจเฉพาะ
- ภาษีและค่าธรรมเนียมรถยนต์และล้อเลื่อน
- ภาษีบำรุงเทศบาลจากอากรข้าวและภาษีการซื้อโภคภัณฑ์จากน้ำมันเบนซิน
- ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตขายสุรา
- ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตในการเล่นการพนัน
- ค่าใบอนุญาต ค่าธรรมเนียม และค่าปรับ
- เงินอุดหนุนจากงบประมาณแผ่นดินของไทย
รายได้ขององค์การบริหารส่วนจังหวัด[แก้]
รายได้ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดอาจมีรายได้ดังต่อไปนี้
- ภาษีอากรตามแต่จะมีกฎหมายกำหนดไว้
- ค่าธรรมเนียม ค่าใบอนุญาต และค่าปรับ ตามแต่จะมีกฎหมายกำหนดไว้
- รายได้จากทรัพย์สินส่วนจังหวัด
- รายได้จากสาธารณูปโภคและการพาณิชย์ของจังหวัด
- พันธบัตร หรือเงินกู้ ตามแต่จะมีกฎหมายกำหนดไว้
- เงินกู้จากกระทรวง ทบวง กรม องค์การ หรือนิติบุคคลต่างๆ
- เงินอุดหนุนจากรัฐบาลหรือองค์การบริหารส่วนจังหวัด
- เงินและทรัพย์สินอย่างอื่นที่มีผู้อุทิศให้
- รายได้อื่นใดตามแต่จะมีกฎหมายกำหนดไว้ ได้แก่ ภาษีบำรุงท้องที่ ภาษีป้าย ภาษีและค่าธรรมเนียมรถยนต์และล้อเลื่อน เป็นต้น
รายได้ของเมืองพัทยา[แก้]
รายได้ของเมืองพัทยา มีรายได้ดังต่อไปนี้
- ภาษีบำรุงท้องที่
- ภาษีโรงเรือนและที่ดิน
- ภาษีป้าย
- อากรการฆ่าสัตว์
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม
- ภาษีธุรกิจเฉพาะ
- ภาษีและค่าธรรมเนียมรถยนต์และล้อเลื่อน
- ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตขายสุรา
- ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตในการเล่นการพนัน
- ภาษีบำรุงเมืองพัทยาจากน้ำมันเบนซิน
- นอกจากรายได้ตาม 1-10 เมืองพัทยาอาจมีรายรับ ดังนี้
- รายได้จากทรัพย์สินของเมืองพัทยา
- รายได้จากสาธารณูปโภคของเมืองพัทยา
- รายได้จากพาณิชย์ของเมืองพัทยา
- รายได้จากการจำหน่ายพันธบัตร
- เงินกู้
- เงินอุดหนุน
- เงินช่วยเหลือจากต่างประเทศ องค์การต่างประเทศ หรือองค์การระหว่างประเทศ
- เงินช่วยเหลือและค่าตอบแทน
- เงินและทรัพย์สินอย่างอื่นที่มีผู้อุทิศให้
- รายได้ของทรัพย์สินของแผ่นดินหรือรัฐวิสาหกิจที่ดำเนินการ เพื่อมุ่งแสวงหากำไรเมืองพัทยาตามที่กฎหมายบัญญัติ
- รายได้อื่นตามที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นของเมืองพัทยา
รายได้ของกรุงเทพมหานคร[แก้]
สรุปได้ดังนี้
- ภาษีบำรุงท้องที่ ภาษีโรงเรือนและที่ดิน ภาษีป้าย และอากรการฆ่าสัตว์
- ภาษีและค่าธรรมเนียมรถยนต์และล้อเลื่อน
- ภาษีบำรุงกรุงเทพมหานครจากน้ำมันเบนชินและน้ำมันที่คล้ายกัน น้ำมันดีเซล และน้ำมันที่คล้ายกัน และก๊าซปิโตรเลี่ยม
- ภาษีธุรกิจเฉพาะ
- ค่าธรรมเนียมอนุญาตในการขายสุรา
- ค่าธรรมเนียมอนุญาตในการเล่นการพนัน
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม
- นอกจากรายได้ตาม1-7 กรุงเทพมหานครมีรายได้ ดังต่อไปนี้
- รายได้จากทรัพย์สินของกรุงเทพมหานคร
- รายได้จากสาธารณูปโภคของกรุงเทพมหานคร
- รายได้จากการพาณิชย์ของกรุงเทพมหานคร การทำกิจการร่วมกับบุคคลอื่นจากสหการ
- ภาษีอากรหรือค่าธรรมเนียมตามที่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้ให้เป็นของเทศบาลหรือกฎหมายบัญญัติให้เป็นของกรุงเทพมหานครโดยเฉพาะ
- ค่าธรรมเนียม ค่าใบอนุญาต และค่าปรับ ตามแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้
- ค่าบริการ
- รายได้จากการจำหน่ายพันธบัตร
- เงินกู้จากกระทรวง ทบวง กรม องค์การ หรือนิติบุคคลต่างๆ
- เงินอุดหนุนจากรัฐบาล ส่วนราชการ หรือราชการส่วนท้องถิ่นอื่น และเงินสบทบจากรัฐบาล
- เงินช่วยเหลือจากต่างประเทศ องค์การต่างประเทศ หรือองค์การระหว่างประเทศ
- เงินหรืทรัพย์สินอย่างอื่นที่มีผู้อุทิศให้
- เงินช่วยเหลือหรือเงินค่าตอบแทน
- รายได้จากทรัพย์สินของแผ่นดินหรือรัฐวิสาหกิจที่ดำเนินการเพื่อแสวงหากำไรใน กรุงเทพมหานครตามที่จะมีกฎหมายกำหนด
- รายได้จากการจัดเก็บภาษีทรัพย์สินหรือค่าธรรมเนียมพิเศษ ตามที่จะมีกฎหมายกำหนด
- รายได้อื่นตามที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นของกรุงเทพมหานคร
รายได้ขององค์การบริหารส่วนตำบล[แก้]
มีรายได้ดังนี้
- ภาษีบำรุงท้องที่ ภาษีโรงเรือนและที่ดิน ภาษีป้าย และอากรการฆ่าสัตว์
- ภาษีและค่าธรรมเนียมรถยนต์และล้อเลื่อน
- ภาษีธุรกิจเฉพาะ
- ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตขายสุรา
- ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตในการเล่นการพนัน
- ค่าภาคหลวงแร่ตามกฎหมายว่าด้วยแร่ และค่าภาคหลวงปิโตรเลียม ตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลี่ยม
- เงินที่เก็บตามกฎหมายว่าด้วยอุทยานแห่งชาติ
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม
- องค์การบริหารส่วนตำบลอาจมีรายได้ ดังต่อไปนี้
- รายได้จากทรัพย์สินขององค์การบริหารส่วนตำบล
- รายได้จากสาธารณูปโภคขององค์การบริหารส่วนตำบล
- รายได้จากกิจการเกี่ยวกับพาณิชย์ขององค์การบริหารส่วนตำบล
- ค่าธรรมเนียม ค่าใบอนุญาต และค่าปรับ ตามแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้
- เงินและทรัพย์สินอื่นที่มีผู้อุทิศให้
- รายได้อื่นตามที่รัฐบาลหรือหน่วยงานของรัฐจัดสรรให้
- เงินอุดหนุนจากรัฐบาล
รายได้ตามที่จะมีกฎหมายกำหนดให้เป็นขององค์การบริหารส่วนตำบล นอกเหนือจากรายได้ต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว กฎหมายยังกำหนดให้เทศบาล องค์การบริหารส่วนจังหวัด เมืองพัทยา กรุงเทพมหานคร และองค์การบริหารส่วนตำบล มีรายได้จากภาษี ภาษีสรรพสามิต ภาษีการพนัน
- ↑ รศ.ดร. สกนธ์ วรัญญูวัฒนา. (2551). การบริหารการคลังขององค์กรการปกครองส่วนท้องถิ่น. พิมพ์ครั้งที่1. กรุงเทพฯ : บริษัท ออฟเซ็ท ครีเอชั่น จำกัด
- ↑ ดิเรก ปัทมสิริวัฒน์. (2551). การคลังท้องถิ่น. พิมพ์ครั้งที่3. กรุงเทพฯ : บริษัท พี.เอ ลีฟวิ่ง จำกัด
- ↑ รศ.นคร ยิ้ม ศิริวัฒนะ. (2547). การคลังท้องถิ่น. พิมพ์ครั้งที่1. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง
- ↑ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี. (2551). ข้อมูลการจัดสรรรายได้ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น. พิมพ์ครั้งที่1. กรุงเทพฯ : สำนักงานคณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรครองส่วนท้องถิ่น