บอลลูนไฟ
บอลลูนไฟ Fire Balloon 風船爆弾 (fūsen bakudan) | |
---|---|
หน้าที่ | บอลลูนบรรทุกระเบิด |
ประเทศผู้ผลิต | จักรวรรดิญี่ปุ่น |
ผู้ผลิต | กองทัพเรือจักรวรรดิญี่ปุ่น |
เที่ยวบินแรก | ค.ศ.1944 |
เริ่มใช้ | 3 พฤศจิกายน ค.ศ.1944 |
ปลดระวาง | เมษายน ค.ศ.1945 |
ผู้ใช้หลัก | กองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น |
การผลิต | ค.ศ.1944 – ค.ศ.1945 |
จำนวนที่ถูกผลิต | ประมาณ 9,300 ลูก |
พัฒนาเป็น | บอลลูน E77 |
บอลลูนไฟ (ญี่ปุ่น: 風船爆弾; โรมาจิ: fūsen bakudan; ทับศัพท์: ระเบิดบอลลูน) หรือเรียกว่า บอลลูนฟูโง (ญี่ปุ่น: ふ号[兵器]; โรมาจิ: fugō [heiki]) เป็นอาวุธที่ถูกใช้โดยจักรวรรดิญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง มีลักษณะเป็นบอลลูนอัดแก๊สไฮโดรเจนที่ใช้บรรทุกระเบิดชนิดต่างๆ ได้มากถึง 15 กิโลกรัม บอลลูนไฟเป็นอาวุธราคาถูกที่สามารถใช้ระเบิดเมือง ป่าไม้ และพื้นที่เกษตรกรรมในสหรัฐอเมริกาได้ นอกจากนี้ แคนาดาและเม็กซิโกยังมีรายงานการพบเห็นบอลลูนไฟด้วย [1]
บอลลูนไฟเป็นอาวุธชิ้นแรกที่มีพิสัยข้ามทวีป[2] โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความกลัวและความตื่นตระหนกให้ประชาชนในสหรัฐอเมริกา ถึงแม้ว่าบอลลูนไฟจะมีประสิทธิภาพการทำลายล้างต่ำก็ตาม [3]
ภาพรวม[แก้]
บอลลูนไฟแบ่งได้เป็นสองชนิด ชนิดแรกมีชื่อว่า "บอลลูนไทป์บี" ได้รับการออกแบบโดยกองทัพเรือญี่ปุ่น มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 9.1 เมตร ผลิตด้วยไหมยาง ถูกใช้เพื่อตรวจวัดสภาพอุตุนิยมวิทยาเป็นหลัก และใช้เพื่อทดสอบว่าบอลลูนไฮโดรเจนสามารถลอยไปถึงทวีปอเมริกาได้หรือไม่[4] บอลลูนชนิดที่สองคือบอลลูนบรรทุกระเบิด มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 10 เมตร และบรรจุไฮโดรเจนประมาณ 540 ลูกบาศก์เมตร บอลลูนไฟจะถูกปล่อยจากชายฝั่งตะวันออกของเกาะฮนชู แล้วลอยไปตามกระแสลมจนไปถึงทวีปอเมริกาเหนือ
ญี่ปุ่นปล่อยบอลลูนไฟครั้งแรกเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน ค.ศ. 1944 โดยบอลลูนเหล่านี้ถูกพบในรัฐอะแลสกา รัฐแอลเบอร์ตา รัฐแอริโซนา รัฐบริติชโคลัมเบีย รัฐแคลิฟอร์เนีย รัฐโคโลราโด รัฐฮาวาย รัฐไอดาโฮ รัฐไอโอวา รัฐแคนซัส ประเทศเม็กซิโก รัฐมิชิแกน [5] รัฐมอนแทนา รัฐเนแบรสกา รัฐเนวาดา [6] รัฐนอร์ทดาโคตา รัฐออริกอน รัฐเซาท์ดาโคตา รัฐเท็กซัส [7] รัฐยูทาห์ รัฐวอชิงตัน รัฐไวโอมิง และ ดินแดนยูคอน
บอลลูนไฟมากกว่า 9,000 ลูกถูกปล่อยออกไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ชาวญี่ปุ่นคาดการณ์ว่าบอลลูนประมาณ 10% (ประมาณ 900 ลูก) จะลอยไปถึงทวีปอเมริกา จนถึงปัจจุบัน นักวิจัยก็เชื่อว่าคำคาดการณ์นี้เป็นจริง [8] ตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา มีการพบเห็นบอลลูนที่อเมริกาเหนือแค่ประมาณ 300 ลูกเท่านั้น โดยคาดว่ามีบอลลูนจำนวนมากตกอยู่ตามพื้นที่รกร้างทั่วอเมริกาเหนือ บอลลูนไฟลูกสุดท้ายถูกปล่อยเมื่อเดือนเมษายน ค.ศ.1945 ก่อนที่ญี่ปุ่นจะยอมจำนนในไม่กี่เดือนถัดมา
-
บอลลูนไฟที่ตกในรัฐแคนซัส
-
ภาพถ่ายบอลลูนไฟที่ถูกกำลังถูกยิงโดยเครื่องบินรบ P-38 ไลท์นิง
-
บอลลูนไฟจำลองขณะปล่อยถุงทราย
-
ภาพถ่ายบอลลูนไฟโดยกองทัพเรือสหรัฐ
อ้างอิง[แก้]
- ↑ Mikesh, pp. 1, 21
- ↑ "Japan's Secret WWII Weapon: Balloon Bombs". May 27, 2013.
- ↑ "Anti-Aircraft Mine & Intercontinental Launching Balloon Bombs Through Jet Stream-Fire balloon-Japanese Balloon Bombs-Terrorist Handbook-on a wind and a prayer | Jet Stream | Anti Aircraft Warfare". Scribd (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2017-05-31.
- ↑ Powles, James (February 2003), "Silent Destruction: Japanese Balloon Bombs", World War II, vol. 17 no. 6, pp. 65–66
- ↑ Ancona, Gaspar F. (2001). Where The Star Came to Rest. Strasbourg Cedex 2, France: Éditions du Signe. pp. 90–91. ISBN 978-2-7468-0317-6.
On January 23, 1945...It landed on the farm of Chris Stein near the intersection of 146th Avenue and 21st Street in northern Allegan County
{{cite book}}
: CS1 maint: location (ลิงก์) - ↑ "That time in World War II when Japan used a hot air balloon to bomb Oregon and kill six people - Altered Dimensions Paranormal". January 19, 2016.
- ↑ Kingston, Mike (November 30, 2017). "The Bombing of Texas". Texas Almanac. Texas State Historical Association.
- ↑ Mikesh, p. 1
- ↑ "Japan's Secret WWII Weapon: Balloon Bombs". Science (ภาษาอังกฤษ). 2013-05-28.