กะอ์บะฮ์
บทความนี้ต้องการการจัดหน้า จัดหมวดหมู่ ใส่ลิงก์ภายใน หรือเก็บกวาดเนื้อหา ให้มีคุณภาพดีขึ้น คุณสามารถปรับปรุงแก้ไขบทความนี้ได้ และนำป้ายออก พิจารณาใช้ป้ายข้อความอื่นเพื่อชี้ชัดข้อบกพร่อง |
กะอ์บะฮ์ | |
---|---|
ٱلْكَعْبَة (al-Kaʿba) | |
กะอ์บะฮ์ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2020 | |
ศาสนา | |
ศาสนา | อิสลาม |
ภูมิภาค | แคว้นมักกะฮ์ |
จารีต | เฏาะวาฟ |
หน่วยงานกำกับดูแล | ประธานใหญ่ฝ่ายกิจการของมัสยิดอันศักดิ์สิทธิ์ทั้งสอง: อับดุรเราะห์มาน อัสซุดัยส์ |
ที่ตั้ง | |
ที่ตั้ง | มัสยิดใหญ่แห่งมักกะฮ์ มักกะฮ์ ฮิญาซ ประเทศซาอุดีอาระเบีย |
ผู้บริหาร | The Agency of the General Presidency for the Affairs of the Two Holy Mosques |
พิกัดภูมิศาสตร์ | 21°25′21.0″N 39°49′34.2″E / 21.422500°N 39.826167°E |
สถาปัตยกรรม | |
ประเภท | วิหาร (Temple)[1] |
เริ่มก่อตั้ง | ก่อนอิสลาม |
ลักษณะจำเพาะ | |
ความยาว | 12.86 m (42 ft 2 in) |
ความกว้าง | 11.03 m (36 ft 2 in) |
ความสูงสูงสุด | 13.1 m (43 ft 0 in) |
วัสดุ | หิน, หินอ่อน, หินปูน |
กะอ์บะฮ์ (อาหรับ: ٱلْكَعْبَة, อักษรโรมัน: al-Kaʿba, แปลตรงตัว 'ลูกบาศก์') บางครั้งเรียกเป็น อัลกะอ์บะตุลมุชัรเราะฟะฮ์ (อาหรับ: ٱلْكَعْبَة ٱلْمُشَرَّفَة, อักษรโรมัน: al-Kaʿba l-Mušarrafa, แปลตรงตัว 'กะอ์บะฮ์อันทรงเกียรติ') เป็นอาคารหินที่ใจกลางมัสยิดอัลฮะรอม มัสยิดที่สำคัญที่สุดและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาอิสลาม ที่มักกะฮ์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย[2][3][4] มุสลิมถือว่าเป็น บัยตุลลอฮ์ (อาหรับ: بَيْت ٱللَّٰه, แปลตรงตัว 'บ้านของอัลลอฮ์') และเป็นกิบลัต (อาหรับ: قِبْلَة, ทิศทางละหมาด) สำหรับมุสลิมทั่วโลก โครงสร้างปัจจุบันสร้างขึ้นหลังอาคารเดิมถูกเพลิงไหม้ทำลายในช่วงการล้อมมักกะฮ์โดยฝ่ายอุมัยยะฮ์ใน ค.ศ. 683[1]
ในสมัยอิสลามยุคต้น มุสลิมหันหน้าละหมาดไปที่เยรูซาเลม ก่อนที่จะเปลี่ยนกิบลัตไปที่กะอ์บะฮ์ ซึ่งมุสลิมเชื่อว่าเป็นผลจากการเปิดเผยโองการอัลกุรอานที่ประทานแก่ศาสดามุฮัมมัด[5]
ศาสนาอิสลามรายงานว่า กะอ์บะฮ์ถูกสร้างใหม่หลายครั้งตลอดทั้งประวัติศาสตร์ โดยครั้งที่มีชื่อเสียงที่สุดคือสมัยอิบรอฮีม (อับราฮัม) กับอิสมาอีล (อิชมาเอล) ลูกชายท่าน เมื่ออิบรอฮีมเดินทางกลับมายังหุบเขามักกะฮ์เพียงไม่กี่ปีหลังทิ้งฮาญัร (ฮาการ์) ผู้เป็นภรรยา กับอิสมาอีลตามพระบัญชาของอัลลอฮ์ การเดินวนรอบ กะอ์บะฮ์ 7 ครั้งทวนเข็มนาฬิกา มีอีกชื่อว่า เฏาะวาฟ (طواف) ถือเป็น ฟัรฎ์ (ข้อบังคับ) ในการทำพิธีฮัจญ์และอุมเราะฮ์ให้สมบูรณ์[4] พื้นที่รอบกะอ์บะฮ์ที่ผู้แสวงบุญเดินวนรอบ ๆ นั้นเรียกว่า มะฏอฟ (المطاف)
ผู้แสวงบุญอยู่ล้อมรอบกะอ์บะฮ์และมะฏอฟทุกวัน ยกเว้นวันที่ 9 ษุลฮิจญ์ญะฮ์ (วันอะเราะฟะฮ์) ที่มีการนำผ้าคลุมโครงสร้าง รู้จักกันในชื่อ กิสวะฮ์ (อาหรับ: كسوة, อักษรโรมัน: Kiswah, แปลตรงตัว 'ผ้า') มาเปลี่ยน อย่างไรก็ตาม ช่วงที่มีผู้เข้ามายังพื้นที่นี้มากที่สุดคือช่วงเราะมะฎอนและฮัจญ์ที่มีผู้แสวงบุญเข้ามาเฏาะวาฟหลายล้านคน[6] ทางกระทรวงฮัจญ์และอุมเราะฮ์ของซาอุดีอาระเบียรายงานว่า ใน ฮ.ศ. 1439 มีผู้แสวงบุญเข้ามาทำอุมเราะฮ์ถึง 6,791,100 คน[7]
ประวัติ[แก้]
ต้นกำเนิด[แก้]
ศัพทมูลวิทยา[แก้]
ความหมายตรงตัวของคำว่า กะอ์บะฮ์ (كعبة) คือ ลูกบาศก์[8] ในอัลกุรอานจากสมัยของมุฮัมมัด กะอ์บะฮ์ได้รับการเรียกขานด้วยชื่อเหล่านี้:
- อัลบัยต์ (อาหรับ: ٱلْبَيْت, แปลตรงตัว 'บ้านหลังนั้น') ในโองการ 2:125 โดยอัลลอฮ์[อัลกุรอาน 2:125][9]
- บัยตี (อาหรับ: بَيْتِي, แปลตรงตัว 'บ้านของข้า') ในโองการ 22:26 โดยอัลลอฮ์[อัลกุรอาน 22:26][10]
- บัยติกัลมุฮัรร็อม (อาหรับ: بَيْتِكَ ٱلْمُحَرَّم, แปลตรงตัว 'บ้านอันเป็นเขตหวงห้ามของพระองค์') ในโองการ 14:37 โดยอิบรอฮีม[อัลกุรอาน 14:37][11]
- อัลบัยตุลฮะรอม (อาหรับ: ٱلْبَيْت ٱلْحَرَام, แปลตรงตัว 'บ้านที่ต้องห้าม') ในโองการ 5:97 โดยอัลลอฮ์[อัลกุรอาน 5:97]
- อัลบัยติลอะตีก (อาหรับ: ٱلْبَيْت ٱلْعَتِيق, แปลตรงตัว 'บ้านอันเก่าแก่') ในโองการ 22:29 โดยอัลลอฮ์[อัลกุรอาน 22:29]
Eduard Glaser นักประวัติศาสตร์ รายงานว่า ชื่อ "กะอ์บะฮ์" อาจมีความเกี่ยวข้องกับศัพท์อาระเบียใต้หรือเอธิโอเปียว่า "mikrab" ซึ่งบ่งชี้ถึงวิหาร[12] Patricia Crone นักเขียน โต้แย้งนิรุกติศาสตร์นี้[13]
ภูมิหลัง[แก้]
Patricia Crone นักประวัติศาสตร์ ตั้งข้อสงสัยถึงข้ออ้างที่ว่ามักกะฮ์เคยเป็นด่านการค้าที่สำคัญทางประวัติศาสตร์[15][16] นักวิชาการกลุ่มอื่นอย่าง Glen Bowersock ปฏิเสธข้อสงสัยนี้และยืนยันว่ามักกะฮืเคยมีสถานะนั้นจริง[17][18] ภายหลัง Crone ปฏิเสธทฤษฎีของเธอบางส่วน[19] เธอโต้แย้งว่าการค้าขายของชาวมักกะฮ์อาศัยแผ่นหนัง หนังสัตว์ เครื่องหนังที่ผลิต เนยใส ขนสัตว์ฮิญาซ และอูฐ เธอแนะนำว่าสินค้าเหล่านี้ส่วนใหญ่มีไว้สำหรับกองทัพโรมัน ซึ่งทราบกันว่าต้องใช้แผ่นหนังและหนังสัตว์จำนวนมหาศาลสำหรับอุปกรณ์ต่าง ๆ
จักรวาลวิทยาอิสลามรายงานว่า พิธีแสวงบุญ Zurah มีมาก่อนหน้ากะอ์บะฮ์[20] ก่อนหน้าศาสนาอิสลาม กะอ์บะฮ์เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับชนเผ่าเบดูอินหลายกลุ่มทั่วคาบสมุทรอาหรับ ชาวเบดูอินจะทำการแสวงบุญที่มักกะฮ์ครั้งหนึ่งทุกปีจันทรคติ พวกเขาจะบูชาเทพเจ้าของตนในกะอ์บะฮ์ และค้าขายกันในเมืองนี้ โดยไม่สนในเรื่องความบาดหมางของชนเผ่า[21] ภายในกะอ์บะฮ์มีประติมากรรมและภาพวาดต่าง ๆ โดยเทวรูปฮุบัล (เทวรูปหลักของมักกะฮ์) และรูปปั้นเทพนอกศาสนาอื่น ๆ ตั้งขึ้นทั้งในหรือรอบกะอ์บะฮ์[22] นอกจากภาพวาดเทวรูปบนกำแพงที่ถูกทำลายตามคำสั่งของมุฮัมมัดหลังการพิชิตมักกะฮ์[22] ยังมีภาพวาดของเทวทูต อิบรอฮีมถือลูกศรทำนาย และอีซา (พระเยซู) กับมัรยัม (พระแม่มารีย์) ที่มุฮัมมัดไม่ได้สั่งทำลาย[23] และยังมีบันทึกถึงเครื่องประดับที่ไม่ได้ระบุไว้ เงินทอง และเขาแกะคู่หนึ่งอยู่ภายในกะอ์บะฮ์[22] กล่าวกันว่าเขาแกะตัวผู้อันนั้เป็นของแกะที่อิบรอฮีมวางไว้เชือดแทนที่อิสมาอีลตามธรรมเนียมอิสลาม[22]
ตลอดทั้งประวัติศาสตร์ หินดำที่กะอ์บะฮ์ถูกกระแทกและทุบเป็นรอยด้วยหินที่ยิงจากแคทะพัลต์[24] โดยเคยถูกทาด้วยอุจจาระ[25] ถูกขโมยและเป็นของไว้ไถ่โดยพวกเกาะรอมิเฏาะฮ์[26] และถูกตีจนแหลกเป็นชิ้น ๆ[26][22]
แคเรน อาร์มสตรองระบุไว้ในหนังสือ Islam: A Short History ของเธอ โดยระบุว่ากะอ์บะฮ์เคยอุทิศแด่ฮุบัล เทพแนบาเทีย อย่างเป็นทางการ และมีรูปปั้น 360 รูปที่น่าจะสื่อถึงช่วงวันของปี[27] อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าในสมัยของมุฮัมมัด กะอ์บะฮ์ได้รับการยกย่องในฐานะวิหารของอัลลอฮ์ พระเจ้าผู้สูงส่ง ชนเผ่าต่าง ๆ จากทั่วคาบสมุทรอาหรับจะมารวมตัวกันที่นครมักกะฮ์เพื่อประกอบพิธีฮัจญ์ในทุก ๆ ปี ซึ่งเป็นเครื่องหมายของความเชื่อมั่นที่แพร่หลายว่าอัลลอฮ์เป็นเทพองค์เดียวกับที่ผู้นับถือพระเจ้าองค์เดียวเคารพสักการะ ในช่วงนี้ มุสลิมทำการละหมาดหันหน้าไปยังเยรูซาเลม ตามที่มุฮัมมัดทำ และหันหลังให้กับกะอ์บะฮ์ที่มีความเกี่ยวโยงกับสิ่งนอกศาสนา[27] ผู้ชายมักเดินวนรอบแบบเปลี้องผ้า ส่วนผู้หญิงเดินวนรอบแบบเกือบเปลี้องทั้งหมด[28]
ตามความเห็นอิสลาม[แก้]
อัลกุรอานมีบางโองการที่กล่าวถึงต้นกำเนิดของกะอ์บะฮ์ โดยระบุว่าเป็นบ้านแห่งการนมัสการแห่งแรกของมนุษยชาติและสร้างขึ้นโดยอิบรอฮีมและอิสมาอีลตามคำสั่งของอัลลอฮ์[29][30][31]
แท้จริงบ้านหลังแรกที่ถูกตั้งขึ้นสำหรับมนุษย์ (เพื่อการอิบาดะฮฺ) นั้นคือบ้านที่มักกะฮฺ โดยเป็นที่ที่ถูกให้มีความจำเริญ และเป็นที่แนะนำแก่ประชาชาติทั้งหลาย
และจงรำลึกเมื่อเราได้ชี้แนะสถานอัลบัยต์แก่อิบรอฮีมว่า เจ้าอย่าตั้งภาคีต่อข้าแต่อย่างใดและจงทำบ้านของข้าให้สะอาด สำหรับผู้มาเวียนรอบ ผู้ยืนละหมาด ผู้รุกัวะ และผู้สุญูด
และจงรำลึกถึงขณะที่อิบรอฮีมและอิสมาอีล ได้ก่อฐานของบ้านหลังนั้น ให้สูงขึ้น (ทั้งสองได้กล่าววิงวอนว่า): "ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าของพวกข้าพระองค์โปรดรับ (งาน) จากพวกข้าพระองค์ด้วยเถิด แท้จริงพระองค์นั้นทรงได้ยินและทรงรอบรู้"
อิบน์ กะษีรกล่าวถึงการตีความในหมู่ชาวมุสลิมเกี่ยวกับต้นกำเนิดของกะอ์บะฮ์อยู่สองแบบในอรรถกถา (ตัฟซีร) ที่มีชื่อเสียงของเขาในอัลกุรอานว่า แบบหนึ่งคือวิหารนี้เคยเป็นสถานที่สักการะของ มะลาอิกะฮ์ (ทูตสวรรค์) ก่อนที่จะมีการสร้างมนุษย์ ภายหลังมีการสร้างบ้านหลังนั้นบนสถานที่หนึ่งและสูญหายจากน้ำท่วมในสมัยนบีนูห์ (โนอาห์) และท้ายที่สุดจึงสร้างขึ้นใหม่โดยอิบรอฮีมและอิสมาอีลตามที่ปรากฏในอัลกุรอาน อิบน์ กะษีรถือว่าสายรายงานนี้เป็นสายที่อ่อน และถือการบรรยายของอะลีมากกว่า ซึ่งระบุว่า แม้ว่าจะมีวิหารอื่นที่มีมาก่อนกะอ์บะฮ์ กะอ์บะฮ์แห่งนี้ถือเป็น บัยตุลลอฮ์ ("บ้านของอัลลอฮ์") แห่งแรกที่อุทิศแด่พระองค์ สร้างขึ้นตามคำสั่งของพระองค์ และได้รับการชำระให้บริสุทธิ์กับได้รับพรจากพระองค์ ตามที่ปรากฏในอัลกุรอาน 22:26–29[41] ฮะดีษในเศาะฮีฮ์ อัลบุคอรีระบุว่า กะอ์บะฮ์เป็นมัสยิดแห่งแรกของโลก ส่วนแห่งที่สองคือมัสยิดอัลอักศอในเยรูซาเลม[42]
ตามธรรมเนียมอิสลามระบุว่า หลังอิสมาอีลเสียชีวิตหลายสหัสวรรษ ลูกหลานของท่านกับชนเผ่าท้องถิ่นที่ตั้งถิ่นฐานรอบบ่อซัมซัมหันมานับถือเทพเจ้าแบบพหุเทวนิยมและบูชารูปปั้น มีการตั้งรูปปั้นหลายรูปในกะอ์บะฮ์ที่เป็นตัวแทนของเทพแห่งธรรมชาติและชนเผ่าต่าง ๆ มีการนำพิธีกรรมต่าง ๆ มาใช้ในการแสวงบุญ ซึ่งรวมถึงการเดินวนรอบแบบเปลือยเปล่า[28] กษัตริย์นาม Tubba' ถือเป็นบุคคลแรกที่สร้างประตูให้กะอ์บะฮ์ตามบันทึกคำพูดใน Akhbar Makka ของ อัลอัซเราะกี[43] การตีความว่าชาวอาหรับก่อนอิสลามเคยนับถือศาสนาอับราฮัมได้รับการสนับสนุนจากหลักฐานทางวรรณกรรมบางส่วนในวัฒนธรรมอาหรับก่อนอิสลาม[44][45][46]
สมัยมุฮัมมัด[แก้]
ในสมัยมุฮัมมัด (ค.ศ. 570–632) กะอ์บะฮ์ถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับชาวอาหรับท้องถิ่น มุฮัมมัดมีส่วนในการฟื้นฟูกะอ์บะฮ์หลังโครงสร้างพังเสียหายจากน้ำท่วมช่วงประมาณ ค.ศ. 600 ซีเราะฮ์เราะซูลุลลอฮ์ หนึ่งในชีวประวัติของมุฮัมมัดที่เขียนโดยอิบน์ อิสฮาก ระบุว่ามุฮัมมัดยุติการทะเลาะเบาะแว้งระหว่างกลุ่มชนมักกะฮ์ว่าตระกูลใดสมควรรวางหินดำ โดยชีวประวัติของอิบน์ อิสฮากระบุต่อว่า แนวทางของมุฮัมมัดคือ ให้ผู้นำตระกูลทุกกลุ่มยกมุมหินบนเสื้อคลุม หลังจากนั้นมุฮัมมัดก็วางหินนั้นไว้ด้วยตนเอง[47][48] อิบน์ อิสฮากกล่าวว่า ท่อนไม้ในการฟื้นฟูกะอ์บะฮ์มาจากเรือกรีกที่อัปปางลงบริเวณริมทะเลแดงที่ Shu'aybah และงานฟื้นฟูดำเนินการโดยช่างไม้ชาวคอปต์ชื่อ Baqum[49]
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
หลังมุฮัมมัด[แก้]
ในสมัยที่อับดุลลอฮฺ อิบนุซซุเบร หลานตาคอลีฟะฮฺ อะบูบักรฺ แข็งเมืองต่อ อับดุลมะลิก บินมัรวาน คอลีฟะฮฺ (กษัตริย์) ซีเรีย ตั้งตนเป็นเจ้าเมืองปกครองเมืองมักกะฮ์ งานชิ้นหนึ่งที่ท่านทำก็คือการบูรณะต่อเติมผนังกะอ์บะฮ์ออกไปสองด้านจนถึงกำแพง ฮิจญ์รุ อิสมาอีล ให้อาคารกะอ์บะฮ์เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ทว่าเมื่ออับดุลลอฮฺแพ้ศึกและถูกสังหาร พวกทหารซีเรียก็เผาและถล่มทำลายกะอ์บะฮ์ที่อับดุลลอฮฺทำไว้ แล้วให้สร้างขึ้นมาใหม่เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเหมือนเดิมอีกครั้ง
กะอฺบะหที่มีอยู่ในวันนี้ เป็นอาคารที่ถูกสร้างขึ้นด้วยหินธรรมชาติ ตัวอาคารเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมมีความกว้างยาวด้านละประมาณ 40 ฟุต และสูงประมาณ 50 ฟุต ผนังทั้งสี่ไม่มีหน้าต่าง มีแต่เพียงประตูด้านเดียว ข้างในว่างเปล่า ตรงมุมด้านหนึ่งของตัวอาคารเป็นที่ตั้งของ หินดำ (อัลฮะญัร อัลอัสวัด) ซึ่งในอดีตเป็นพลอยสีดำเม็ดใหญ่ แต่ต่อมาที่ได้แตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่ก็ยังตั้งอยู่ที่มุมข้างประตู ปกปิดด้วยแก้วและครอบทับด้วยเงิน ประตูของกะอ์บะฮ์ที่เปลี่ยนเมื่อเวลา 20 ปีมานี้ ทำด้วยทองคำบริสุทธิ์
มุมที่ติดตั้งพลอยสีดำนี้ใช้เป็นจุดเริ่มต้นและจุดครบรอบของการเวียนรอบกะอ์บะฮ์ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่จำเป็นอย่างหนึ่งของการประกอบพิธีอุมเราะฮฺและฮัจญ์
ตั้งแต่อดีตจนกระทั่งถึงปัจจุบัน รัฐบาลผู้ปกครองมหานครมักกะฮ์จะมีหน้าที่เป็นผู้ดูแลกะอ์บะฮ์และจัดเตรียมความสะดวกให้แก่ผู้ที่มาทำฮัจญ์ สิ่งที่ต้องทำทุกปีคือการเปลี่ยนมุ้งกะอ์บะฮ์
ในซาอุดีอาระเบียจะมีโรงงานทอมุ้งนี้โดยเฉพาะ โดยจะมีช่างผู้มีฝีมือจากต่างประเทศมาทำมุ้งนี้โดยเฉพาะ มุ้งกะอ์บะฮ์นี้ทอด้วยด้ายไหมสีดำ แล้วประดับด้วยการปักดิ้นทองเป็นตัวอักษรภาษาอาหรับวิจิตรงดงาม ตัวอักษรที่เขียนคือโองการจากอัลกุรอานและพระนามของอัลลอฮ์ เมื่อถึงเทศกาลฮัจญ์จะมีการเปลี่ยนมุ้งใหม่และยกขอบมุ้งขึ้นจนจนเห็นฝาผนังทั้งสี่ด้าน
เนื่องจากมุ้งนี้มีสีดำ จึงทำให้คนเข้าใจว่าหินดำคือตัวกะอ์บะฮ์ แต่ความจริงแล้วหินดำคือพลอยสีดำที่ประดิษฐานอยู่ที่มุมกะอ์บะฮ์ต่างหาก อีกอย่างกะอ์บะฮ์เป็นชุมทิศ เวลาละหมาดจะมีการหันไปทางกะอ์บะฮ์นี้ จึงทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจว่ากะอ์บะฮ์คือหินดำศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวมุสลิมเคารพบูชา ซึ่งความจริงแล้ว กะอ์บะฮ์เป็นเพียงจุดศูนย์รวมและจุดศูนย์กลางในการประกอบศาสนกิจของมุสลิมทั่วโลกเท่านั้น
อ้างอิง[แก้]
- ↑ 1.0 1.1 Wensinck & Jomier 1978, p. 319.
- ↑ Butt, Riazat (15 August 2011). "Explosives detectors to be installed at gates of Mecca's Holy Mosque". The Guardian. สืบค้นเมื่อ 23 May 2021.
- ↑ Al-Azraqi (2003). Akhbar Mecca: History of Mecca. p. 262. ISBN 9773411273.
- ↑ 4.0 4.1 Wensinck, A. J; Kaʿba. Encyclopaedia of Islam IV p. 317
- ↑ Mubārakfūrī, Ṣafī al-Raḥmān (2002). The Sealed Nectar: Biography of the Noble Prophet (ภาษาอังกฤษ). Darussalam. ISBN 978-9960-899-55-8. OCLC 983834349.
- ↑ "In pictures: Hajj pilgrimage". BBC News. 7 December 2008. สืบค้นเมื่อ 8 December 2008.
- ↑ "Umrah Statistics Bulletin 2018" (PDF). General Authority for Statistics. Kingdom of Saudi Arabia. สืบค้นเมื่อ 28 May 2022.
- ↑ Hans Wehr, Dictionary of Modern Written Arabic, 1994.
- ↑ "Surah Al-Baqarah 2:122 - 2:126 - Towards Understanding the Quran". Tafheem. Islamic Foundation UK. สืบค้นเมื่อ May 30, 2021.
- ↑ "Surah Al-Haj 22:26-30 - Towards Understanding the Quran". Tafheem. Islamic Foundation UK. สืบค้นเมื่อ June 1, 2021.
- ↑ "Kaaba: Meaning, History and Significance".
- ↑ Wensinck, A. J; Kaʿba. Encyclopaedia of Islam IV p. 318 (1927, 1978)
- ↑ Crone, Patricia (2004). Makkan Trade and the Rise of Islam. Piscataway, New Jersey: Gorgias.
- ↑ "Ottomans : religious painting". สืบค้นเมื่อ 1 May 2016.
- ↑ Crone, Patricia; Meccan Trade and the Rise of Islam; 1987; p.7
- ↑ Holland, Tom (2012). In the Shadow of the Sword; Little, Brown; p. 303
- ↑ Abdullah Alwi Haji Hassan (1994). Sales and Contracts in Early Islamic Commercial Law. Islamic Research Institute, International Islamic University. pp. 3 ff. ISBN 978-9694081366.
- ↑ Bowersock, Glen. W. (2017). Bowersock, G. W. (2017). The crucible of Islam. Cambridge (Mass.): Harvard University Press. pp. 50 ff.
- ↑ Crone, Patricia (2007). "Quraysh and the Roman Army: Making Sense of the Meccan Leather Trade". Bulletin of the School of Oriental and African Studies, University of London. 70 (1): 63–88. doi:10.1017/S0041977X0700002X. JSTOR 40378894. S2CID 154910558.
- ↑ Caʻfer Efendi (1987). Risāle-i Miʻmāriyye. Brill Archive. p. 49. ISBN 90-04-07846-0.
- ↑ Timur Kuran (2011). "Commercial Life under Islamic Rule". The Long Divergence : How Islamic Law Held Back the Middle East. Princeton University Press. pp. 45–62.
- ↑ 22.0 22.1 22.2 22.3 22.4 King, G. R. D. (2004). "The Paintings of the Pre-Islamic Kaʿba". Muqarnas. 21: 219–229. JSTOR 1523357.
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อEllenbogenTugendhaft2011
- ↑ Topkapı Sarayı Müzesi. Hırka-i Saadet Dairesi (2004). The sacred trusts : Pavilion of the Sacred Relics, Topkapı Palace Museum, Istanbul. Hilmi Aydın, Talha Uğurluel, Ahmet Doğru. Somerset, N.J.: Light. ISBN 1-932099-72-7. OCLC 56942620.
- ↑ Burton, Richard Francis (2009). Personal Narrative of a Pilgrimage to El-Medinah and Meccah. Cambridge: Cambridge University Press. doi:10.1017/cbo9781139162302. hdl:2027/coo.31924062544543. ISBN 978-1-139-16230-2.
- ↑ 26.0 26.1 Peters, F. E. (1994). Mecca : a literary history of the Muslim Holy Land. Mazal Holocaust Collection. Princeton, N.J.: Princeton University Press. ISBN 0-691-03267-X. OCLC 30671443.
- ↑ 27.0 27.1 Karen Armstrong (2002). Islam: A Short History. Random House Publishing. pp. 11. ISBN 0-8129-6618-X.
- ↑ 28.0 28.1 Ibn Ishaq, Muhammad (1955). Ibn Ishaq's Sirat Rasul Allah – The Life of Muhammad Translated by A. Guillaume. Oxford: Oxford University Press. pp. 88–9. ISBN 9780196360331.
- ↑ Michigan Consortium for Medieval and Early Modern Studies (1986). Goss, V. P.; Bornstein, C. V. (บ.ก.). The Meeting of Two Worlds: Cultural Exchange Between East and West During the Period of the Crusades. Vol. 21. Medieval Institute Publications, Western Michigan University. p. 208. ISBN 0918720583. OCLC 13159056.
- ↑ Mustafa Abu Sway. "The Holy Land, Jerusalem and Al-Aqsa Mosque in the Qur'an, Sunnah and other Islamic Literary Source" (PDF). Central Conference of American Rabbis. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 28 July 2011.
- ↑ Dyrness, W. A. (29 May 2013). Senses of Devotion: Interfaith Aesthetics in Buddhist and Muslim Communities. Vol. 7. Wipf and Stock Publishers. p. 25. ISBN 978-1620321362. OCLC 855764827.
- ↑ อัลกุรอาน 3:96 (แปลโดย ยูซุฟ อาลี)
- ↑ An alternative version is in Pickthall, Muhammad M. (บ.ก.). "The Quran". สืบค้นเมื่อ 10 January 2018.
Lo! the first Sanctuary appointed for mankind was that at Becca, a blessed place, a guidance to the peoples;
- ↑ Another version is in Shakir, M. H. (บ.ก.). "The Quran". สืบค้นเมื่อ 10 January 2018.
Most surely the first house appointed for men is the one at Bekka, blessed and a guidance for the nations.
- ↑ อัลกุรอาน 22:26 (แปลโดย ยูซุฟ อาลี)
- ↑ Another version is in Pickthall, Muhammad M. (บ.ก.). "The Quran". สืบค้นเมื่อ 10 January 2018.
And (remember) when We prepared for Abraham the place of the (holy) House, saying: Ascribe thou no thing as partner unto Me, and purify My House for those who make the round (thereof) and those who stand and those who bow and make prostration.
- ↑ Another version is in Shakir, M. H. (บ.ก.). "The Quran". สืบค้นเมื่อ 10 January 2018.
And when We assigned to Ibrahim the place of the House, saying: Do not associate with Me aught, and purify My House for those who make the circuit and stand to pray and bow and prostrate themselves.
- ↑ อัลกุรอาน 2:127 (แปลโดย ยูซุฟ อาลี)
- ↑ Another version is in Pickthall, Muhammad M. (บ.ก.). "The Quran". สืบค้นเมื่อ 10 January 2018.
And when Ibrahim and Ismail were raising the foundations of the House, (Abraham prayed): Our Lord! Accept from us (this duty). Lo! Thou, only Thou, art the Hearer, the Knower.
- ↑ Another version is in Shakir, M. H. (บ.ก.). "The Quran". สืบค้นเมื่อ 10 January 2018.
And when Ibrahim and Ismail raised the foundations of the House: Our Lord! accept from us; surely Thou art the Hearing, the Knowing:
- ↑ Tafsir Ibn Kathir on 3:96.
- ↑ Sahih Bukhari. Book 55, Hadith 585.
- ↑ "IN PICTURES: Six doors of Ka'aba over 5,000 years". Al Arabiya. 26 December 2018. สืบค้นเมื่อ 22 October 2019.
- ↑ The Treasury of literature, Sect. 437
- ↑ The Beginning of History, Volume 3, Sect.10
- ↑ The Collection of the Speeches of Arabs, volume 1, section 75
- ↑ Guillaume, A. (1955). The Life of Muhammad. Oxford: Oxford University Press. pp. 84–87
- ↑ Saifur Rahman al-Mubarakpuri, translated by Issam Diab (1979). "Muhammad's Birth and Forty Years prior to Prophethood". Ar-Raheeq Al-Makhtum (The Sealed Nectar): Memoirs of the Noble Prophet. สืบค้นเมื่อ 4 May 2007.
- ↑ Cyril Glasse, New Encyclopedia of Islam, p. 245. Rowman Altamira, 2001. ISBN 0-7591-0190-6
บรรณานุกรม[แก้]
- Armstrong, Karen (2000, 2002). Islam: A Short History. ISBN 0-8129-6618-X.
- Crone, Patricia (2004). Meccan Trade and the Rise of Islam. Piscataway, New Jersey: Gorgias.
- Elliott, Jeri (1992). Your Door to Arabia. ISBN 0-473-01546-3.
- Guillaume, A. (1955). The Life of Muhammad. Oxford: Oxford University Press.
- Grunebaum, G. E. von (1970). Classical Islam: A History 600 A.D. to 1258 A.D.. Aldine Publishing Company. ISBN 978-0-202-30767-1.
- Hawting, G.R; Kaʿba. Encyclopaedia of the Qurʾān
- Hisham Ibn Al-Kalbi The book of Idols, translated with introduction and notes by Nabih Amin Faris 1952
- Macaulay-Lewis, Elizabeth, The Kaba เก็บถาวร 24 ตุลาคม 2014 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน (text), Smarthistory.
- Mohamed, Mamdouh N. (1996). Hajj to Umrah: From A to Z. Amana Publications. ISBN 0-915957-54-X.
- Peterson, Andrew (1997). Dictionary of Islamic Architecture London: Routledge.
- Wensinck, A. J; Kaʿba. Encyclopaedia of Islam IV
- [1915] The Book of History, a History of All Nations From the Earliest Times to the Present, Viscount Bryce (Introduction), The Grolier Society.
- Wensinck, A. J. & Jomier, J. (1978). "Ka'ba". ใน van Donzel, E.; Lewis, B.; Pellat, Ch. & Bosworth, C. E. (บ.ก.). The Encyclopaedia of Islam, Second Edition. Volume IV: Iran–Kha. Leiden: E. J. Brill. pp. 317–322. OCLC 758278456.