รถสายพานลำเลียงพลบรองโก
รถสายพานลำเลียงพลบรองโก | |
---|---|
บรองโก เอทีทีซี | |
ชนิด | รถหุ้มเกราะสะเทินน้ำสะเทินบก |
แหล่งกำเนิด | สิงคโปร์ |
บทบาท | |
ผู้ใช้งาน | ดูประจำการ |
ประวัติการผลิต | |
ผู้ออกแบบ | เอสที ไคเนติกส์ |
บริษัทผู้ผลิต | เอสที ไคเนติกส์, โอโทคาร์ (ภายใต้ใบอนุญาต)[1] |
ข้อมูลจำเพาะ | |
มวล | 15 ตัน (33,100 ปอนด์) |
ความยาว | 8.6 เมตร (28 ฟุต 3 นิ้ว) |
ความกว้าง | 2.2 เมตร (7 ฟุต 2.6 นิ้ว) |
ความสูง | 2.3 เมตร (7 ฟุต 6.6 นิ้ว) |
ลูกเรือ | 16 นาย (หน้า 6 นาย + หลัง 10 นาย) |
เกราะ | เหล็กกล้า, ระบบป้องกันเชิงรุกเอเอ็มเอพี-เอดีเอส |
อาวุธหลัก | ปืนกลเอนกประสงค์เอฟเอ็น มาค 7.62 มม. (เอทีทีซี); หรือ ปืนกลเบาอัลติแมกซ์ 100 5.56 มม.[2] |
อาวุธรอง | เครื่องยิงลูกระเบิดควัน |
เครื่องยนต์ | แคทเทอร์พิลลาร์ 3126บี 350 แรงม้าเบรก (261 กิโลวัตต์) ที่ 2,400 รอบต่อนาที |
ความเร็ว | ถนนปูลาด: 60 กม./ชม. (37.3 ไมล์ต่อชั่วโมง) ทางขรุขระ: 25 กม./ชม. (15.5 ไมล์ต่อชั่วโมง) การว่ายน้ำ: 4.5 กม./ชม. (2.80 ไมล์ต่อชั่วโมง) |
รถสายพานลำเลียงพลบรองโก (อังกฤษ: Bronco All Terrain Tracked Carrier (ATTC)) เป็นรถสายพานลำเลียงพลอเนกประสงค์ตัวถังคู่ที่พัฒนาร่วมกันโดยเอสที ไคเนติกส์ และสำนักงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม (DSTA) สำหรับกองทัพบกสิงคโปร์ ส่วนรุ่นที่ใช้กับกองทัพสหราชอาณาจักรเป็นที่รู้จักในนามวอร์ตฮอก
การออกแบบ[แก้]
ออกแบบมาเพื่อสำรวจภูมิประเทศที่มีอุปสรรค บรองโกมีแรงดันดินที่ 60 กิโลปาสกาลและพอดีกับสายพานยางไร้รอยต่อหนักแบบทนทาน รวมทั้งระบบเกียร์ทำงานสำหรับสภาพพื้นดินที่อ่อนนุ่มและความมั่นคงในทิศทาง ส่วนปฏิบัติการว่ายน้ำจำเป็นต้องเตรียมการเล็กน้อย และสามารถบรรลุความเร็วในการว่ายน้ำได้ 5 กม./ชม. บรองโกมีสี่เฟืองขับ, การเลี้ยวโดยการหักลำตัวอย่างเต็มที่ด้วยระบบล็อกเฟืองท้าย ที่ช่วยในรัศมีวงเลี้ยวขนาดเล็กและเพิ่มประสิทธิภาพ
บรองโกมีความสามารถในการรับน้ำหนักได้ถึง 5 ตัน และสามารถทำความเร็วสูงสุดบนท้องถนนได้ 60 กม./ชม. (37 ไมล์ต่อชั่วโมง) และอย่างน้อย 25 กม./ชม. (16 ไมล์ต่อชั่วโมง) บนภูมิประเทศทางขรุขระ ข้อได้เปรียบที่มาตรฐานบรองโกมีเหนือรถลำเลียงพลหุ้มเกราะอื่น ๆ คือ ภายในที่ค่อนข้างใหญ่ มีที่นั่งสำหรับ 16 คน รวมทั้งคนขับ
ในงานดีเอสอีไอ 2017 เอสที ไคเนติกส์ ประกาศว่าบรองโก 3 ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ และมีโมเดลแบบคงที่[3]
การเคลื่อนกำลังพล[แก้]
บรองโกปฏิบัติงานอย่างเต็มรูปแบบกับกองทัพสิงคโปร์มานานหลายปี พร้อมส่งมอบมากกว่า 600 คัน[4]
ประจำการสหราชอาณาจักร[แก้]
ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2008 เอสที ไคเนติกส์ ได้รับสัญญามูลค่า 150 ล้านปอนด์จากกระทรวงกลาโหมอังกฤษสำหรับรถสายพานลำเลียงพลบรองโกกว่า 100 คันเพื่อใช้ในประเทศอัฟกานิสถานภายใต้ความต้องการปฏิบัติการเร่งด่วน (UOR)[5] ยานพาหนะที่ขนานนามว่าวอร์ตฮอกในประจำการสหราชอาณาจักร ได้เสริมปฏิบัติการไวกิงทางตอนใต้ของอัฟกานิสถานโดยกองทัพสหราชอาณาจักร[6] และได้รับการจัดหาโดยเป็นส่วนหนึ่งของรายการเหมาความต้องการปฏิบัติการเร่งด่วน (UOR) มูลค่า 700 ล้านปอนด์ ที่ประกาศโดยรัฐมนตรีกลาโหมจอห์น ฮัตตัน โดยการส่งมอบเริ่มในไตรมาสที่สามของ ค.ศ. 2009 และเสร็จสิ้นใน ค.ศ. 2010[7][8]
วอร์ตฮอกสี่รุ่นได้รับการสร้างขึ้นภายใต้สัญญา ได้แก่ แบบลำเลียงพล, รถพยาบาล, บัญชาการ ตลอดจนรุ่นซ่อมแซมและกู้คืน ซึ่งรุ่นรถพยาบาลสามารถบรรทุกผู้บาดเจ็บ, เวชภัณฑ์ และชุดอุปกรณ์ได้ ส่วนรุ่นซ่อมแซมและกู้คืนของวอร์ตฮอกได้ติดตั้งเครนและเครื่องกว้าน รวมถึงมีความสามารถในการลากรถวอร์ตฮอก 18 ตันอีกคันกลับจากแนวหน้า[9]
เมื่อส่งมอบไปยังสหราชอาณาจักรแล้ว ผู้รับเหมาบริษัทตาเลซได้ติดตั้งยานพาหนะตามข้อกำหนดของม็อดด้วยระบบสื่อสาร, อุปกรณ์ตรวจวัดสำหรับผู้เชี่ยวชาญ และเกราะป้องกันพิเศษที่โรงงานของพวกเขาในคลังเก็บม็อดเดิมที่ลานเกนเนค ใกล้ลาเนลี เซาท์เวลส์[10] ซึ่งรถยนต์คันแรกมาถึงประเทศอัฟกานิสถานในกลาง ค.ศ. 2010
ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2010 ทหารกองทัพบกสหราชอาณาจักร – สิบตรี วิลเลียม รีกส์ – รอดชีวิตจากการโจมตีด้วยระเบิดแสวงเครื่องหลังจากที่เขาเดินทางไปพร้อมกับวอร์ตฮอก โดยเชื่อว่าระเบิดแสวงเครื่องมีน้ำหนัก 50 กก. (110 ปอนด์) ครอบครัวของเขาเชื่อว่าเกราะที่แข็งแรงกว่าของวอร์ตฮอก ซึ่งแทนที่ยานเกราะไวกิงที่มีความแข็งแกร่งน้อยกว่าก่อนที่จะมีการอัปเกรดการป้องกัน ได้ช่วยชีวิตลูกชายของพวกเขา[11][12]
วอร์ตฮอกยังคงประจำการสหราชอาณาจักรในจังหวัดเฮลเมินด์จนกระทั่งยุติแคมป์บาสชันใน ค.ศ. 2015 ซึ่งได้รับการควบคุมตลอดการใช้งานในอัฟกานิสถานโดยทหารจากเหล่ายานเกราะสหราชอาณาจักรเท่านั้น กองวอร์ตฮอกสุดท้ายมาจากกองทหาร (ดยุกแห่งเอดินบะระ) ซี กรมทหารม้าฮาซาร์แห่งราชินี
คู่มือการทหารของเจนได้รายงานว่ายานพาหนะวอร์ตฮอกของสหราชอาณาจักรจะได้รับการเปลี่ยนเพื่อใช้เป็นยานลำเลียงสำหรับอากาศยานไร้คนขับธาเลสวอตช์คีปเปอร์ ซึ่งประจำการโดยกรมทหารปินใหญ่ที่ 32 แห่งสหราชอาณาจักร และกรมทหารปินใหญ่ที่ 47 แห่งสหราชอาณาจักร ภายใต้แนวคิดกองทัพบก 2020[13] อนึ่ง รายงานของเจนในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2016 ระบุว่ากองทัพบกสหราชอาณาจักรได้เข้ามาแทนที่วอร์ตฮอกในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2015 เนื่องจากมันถูกนำไปใช้ในปฏิบัติการในอัฟกานิสถานโดยเฉพาะ[14]
รุ่น[แก้]
สิงคโปร์ได้ทำการปรับใช้บรองโกหลายรุ่น รวมถึงรถพยาบาล, ทหารช่าง, ซ่อมแซมและกู้คืน, บรรทุกสัมภาระ, ลำเลียงพล และยานพาหนะเติมเชื้อเพลิง
ปืนครกอัตตาจรสายพาน[แก้]
ปืนครกอัตตาจรสายพาน (MTC) ซึ่งเป็นรุ่นของรถสายพานลำเลียงพลบรองโก ได้รับการพัฒนาโดยกองทัพสิงคโปร์, สำนักงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม และเอสที ไคเนติกส์ ใช้งานโดยลูกเรือ 4 นาย อาวุธหลักของปืนครกอัตตาจรสายพานคือเอสที ไคเนติกส์ 120 มม. ซูเปอร์แรพพิดแอดวานซ์มอร์ตาร์ซิสเต็ม (SRAMS) โดยเป็นปืนครกแรงสะท้อนถอยหลังตัวแรกของโลกที่รวมตัวกระจายการระเบิด[15] ซึ่งลดผลกระทบแรงดันเกินจากการระเบิดอย่างมากจากปืนครก จึงช่วยให้ยิงได้เป็นระยะเวลานานโดยไม่ทำให้ลูกเรือได้รับบาดเจ็บ ปืนครกอัตตาจรสายพานมีระบบควบคุมการยิงอัตโนมัติ (AFCS) ในตัว ประกอบด้วยหน่วยควบคุมการยิงและระบบนำทางเฉื่อย ซึ่งอำนวยให้ดำเนินการปรับใช้ทันทีโดยไม่มีวิธีการสำรวจตามแบบแผน ส่วนระบบการหดตัวด้วยไฮโดร-นิวเมติกส์ ช่วยลดแรงสะท้อนกลับโดยรวม ซึ่งช่วยเสริมแรงสะท้อนน้อยที่สุดของโครงสร้างตัวถังเดิม รวมถึงเวลาทรงตัวหลังการยิง โดยสิ่งนี้จะเพิ่มอัตราการยิงด้วยความแม่นยำที่ดีขึ้น
ระบบควบคุมการยิงอัตโนมัติยังติดตั้งระบบการจัดการหมวดทหารปืนครก (MPMS) ซึ่งทำให้สามารถเชื่อมต่อเครือข่ายผ่านระบบการจัดการสนามรบ (BMS)
ประจำการ[แก้]
ประจำการปัจจุบัน[แก้]
- สิงคโปร์: กองทัพสิงคโปร์
- ไทย: กองทัพบกไทย (4 คัน)
อดีตประจำการ[แก้]
- สหราชอาณาจักร: กองทัพบกสหราชอาณาจักร[16]
อ้างอิง[แก้]
- หมายเหตุ
- ↑ "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-11-14. สืบค้นเมื่อ 2019-06-24.
- ↑ Christopher F Foss (20 มิถุนายน 2000). "New All Terrain Vehicle Makes Tracks For Eurosatory". Jane's Daily (subscription required to access). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 December 2009. สืบค้นเมื่อ 26 September 2009.
- ↑ Judson, Jen (2017-09-14). "ST Kinetics unveils Bronco tracked vehicle for expanded missions". Defense News (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2020-01-16.
- ↑ "Bronco seeks first export orders". Jane's Defence Industry. 3 July 2006.
- ↑ "ST Engineering's Land Systems Arm Awarded £150m Contract By UK MoD For Bronco All Terrain Tracked Carriers". ST Kinetics. 18 ธันวาคม 2008. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 ธันวาคม 2008. สืบค้นเมื่อ 20 ธันวาคม 2008.
- ↑ "Singapore to Supply Armored Vehicles to U.K."[ลิงก์เสีย], Defence News, 4 December 2008
- ↑ "The Warthog is on its way" เก็บถาวร 2008-12-20 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Ministry of Defence, 19 December 2008
- ↑ Singaporean Carriers for the Royal Marines[ลิงก์เสีย]
- ↑ "Get Ready for the Beast". Defense Aerospace. 18 December 2008. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-07-16. สืบค้นเมื่อ 17 July 2021.
- ↑ "New base to equip Afghan vehicles". BBC News. 19 November 2009. สืบค้นเมื่อ 27 April 2010.
- ↑ Paul, Christian (17 January 2011). "Welwyn Hatfield-born soldier survives Afghanistan bomb blast". Welwyn Hatfield Times. Welwyn Hatfield: Archant Regional Ltd. สืบค้นเมื่อ 8 February 2011.[ลิงก์เสีย]
- ↑ Paul, Christian (4 February 2011). "Welwyn Hatfield soldier's survival tale makes a splash in Singapore". Welwyn Hatfield Times. Welwyn Hatfield: Archant Regional Ltd. สืบค้นเมื่อ 8 February 2011.[ลิงก์เสีย]
- ↑ "Warthog heads for UK UAV support role - IHS Jane's 360". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 October 2013. สืบค้นเมื่อ 13 October 2013.
- ↑ "British Army ditches Warthog armoured vehicle | IHS Jane's 360". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 March 2016. สืบค้นเมื่อ 11 March 2016.
- ↑ "Lethality on the Modern Battlefield" เก็บถาวร 21 ตุลาคม 2007 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, RUSI Defence Systems, 2004
- ↑ de Larrinaga, Nicholas (10 March 2016). "British Army ditches Warthog armoured vehicle". IHS Jane's 360 (ภาษาอังกฤษ). London: IHS Jane's. สืบค้นเมื่อ 29 March 2016.
- Christopher F Foss (2009-02-22) First public showing for STK’s Warthog Retrieved 2009-10-10.