ขอม
บทความนี้ต้องการตรวจสอบความถูกต้องจากผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้น ๆ โปรดเพิ่มพารามิเตอร์ reason หรือ talk ลงในแม่แบบนี้เพื่ออธิบายปัญหาของบทความ |
ขอม (Khom) หมายถึงคนกลุ่มหนึ่งที่อยู่บริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา นับถือฮินดูหรือพุทธมหายาน ทางตอนใต้ของแคว้นสุโขทัย อาจจะหมายถึงพวก ละโว้ (หรือ ลพบุรี) เอกสารทางล้านนา เช่น จารึกและตำนานต่าง ๆ ล้วนระบุสอดคล้องกันว่าขอมคือพวกที่อยู่ทางใต้ของล้านนา(ในสมัยอาณาจักรสุโขทัย) พวกนี้ตัดผมเกรียน และนุ่งโจงกระเบน กินข้าวเจ้า ฯลฯ แคว้นละโว้นับถือทั้งฮินดูและพุทธมหายาน อาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยเขียนอธิบายไว้ว่า ขอมเป็นพวกนับถือฮินดูหรือพุทธมหายาน ใครเข้ารีตเป็นฮินดู หรือพุทธมหายาน เป็นได้ชื่อว่า ขอม ทั้งหมด ขอมไม่ใช่ชื่อเชื้อชาติ เพราะไม่มีเชื้อชาติขอม แต่เป็นชื่อทางวัฒนธรรม เช่นเดียวกับ สยาม
นักวิชาการประวัติศาสตร์หลายคน เช่น ชาญวิทย์ เกษตรสิริ, ประเสริฐ ณ นคร, ไมเคิล ไรท์ และ สุจิตต์ วงษ์เทศ เห็นว่าขอมกับละโว้คือคนกลุ่มเดียวกัน[1][2]
ศัพทมูลวิทยา[แก้]
คำ ขอม (Khom) เป็นคำไทยใต้[3][4] (ไม่ได้หมายถึงคนไทยในภาคใต้ในปัจจุบัน) หรือคำไทยเดิม คำ "ขอม" ไม่ใช่ภาษาเขมร[5] และไม่ได้แปลว่าเขมร[6] เพราะไม่ปรากฏคำว่า "ขอม" ในจารึกเขมรโบราณ[7] ดังนั้น ขอมและชาวเขมรในปัจจุบันเป็นคนละกลุ่มกัน ไม่ได้มีความเชื่อมต่อกัน
ดังนั้น คำ "ขอม" คนไทยและคนลาวใช้เรียก ผู้คน ชาติ ปราสาท ตัวอักษร ภาษา ศาสนา และวัฒนธรรมที่มีอยู่ในดินแดนสุวรรณภูมิที่พบในพื้นที่ประเทศไทย ประเทศลาว และประเทศกัมพูชาในปัจจุบัน คำ "ขอม" จึงไม่ใช่ชื่อชนชาติใดชนชาติหนึ่ง[8]
ที่มา[แก้]
ที่มาของคำ ขอม มีดังนี้
- ถ่ายทอดมาจากภาษาฮินดีว่า Kom[9] (ฮินดี: कोम) แผลงจากคำว่า Komala[10] (ฮินดี: कोमल) หมายถึง ความนุ่ม พื้นที่นุ่ม ที่ ๆ มีน้ำ ชนชาติ Kom (Kom peoples) ที่อาศัยอยู่ในรัฐมณีปุระทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอินเดีย สอดคล้องกับบันทึกเปอร์เซียชื่อ The Ship of Sulaiman เรียกอาณาจักรอยุธยาว่า ชะฮฺริ เนาว์ หมายถึง เมืองใหม่อันเป็นเมืองแห่งนาวา มีเรือ และแม่น้ำลำคลองมากมาย[11]
- อาจมาจากคำว่า อัญขยม, อํญขยุม เป็นคำสยามโบราณ[12][6]: 89–90 เกิดจากการผสมระหว่างคำภาษาบาลีว่า "อญฺญ" (อ่านว่า อัน-ยะ) แปลว่า อื่น คนที่ต่างจากผู้นั้น หรือคำสันสกฤตว่า "อนฺย" (สันสกฤต: अन्य, อักษรโรมัน: Anya) ส่วนคำ "ขยม" มาจากคำภาษาเขมรเก่าว่า "ขฺญุํ" หรือ "กฺญุม" (เขมร: ខ្ញុំ, อักษรโรมัน: khñuṃ)[13] แปลว่า ข้ารับใช้ ทาส (Slave, bondsman)
- มาจากคำว่า "กโรม"[7]: 68–69 (Karom) ในภาษาเขมรเก่ายุคก่อนพุทธศตวรรษที่ 8 แล้วเพี้ยนมาเป็น "กรอม" แล้วเป็น "ขอม"
ความแตกต่าง ขอม–เขมร[แก้]
ชาวเขมรในกัมพูชา เรียกว่า ขะแมร์กร็อม หรือ ขะแมร์กรอม (Khmer Krom) หมายถึง ขอมกัมพูชาแท้เริ่มนับตั้งแต่ พ.ศ. 1400[14] อาศัยอยู่ในเขตฝั่งใต้ของลำน้ำมูล (ตามภูมิประเทศ เรียกว่า เขมรต่ำ หากอยู่เหนือลำน้ำมูลเรียกว่า เขมรสูง หรือขะแมร์ลือในภาษาเขมร)[15] คำว่า "กร็อม" หรือ "กรอม" (Krom) (เขมร: ក្រោម, อักษรโรมัน: karoṃ, karomm)[16] ในภาษาเขมรเมืองสุรินทร์ และภาษาเขมรกัมพูชา แปลว่า ใต้ ล่าง หรือต่ำ[17]
คำ "ขะแมร์, คแมร์, แขฺมร และ เขมร" มาจากคำว่า "เกฺมร" (เขมร: ខ្មែរ, อักษรโรมัน: kmer, แปลตรงตัว 'ชาวขะแมร์ (Khmer), ชื่อข้ารับใช้ (Slavename)')[18] พบในศิลาจารึก Ka. 64 อายุราวพุทธศตวรรษที่ 12 คำจารึกว่า "(๑๓) กฺญุม เกฺมร โฆ โต ๒๐. ๒๐. ๗. เทร สิ ๒..." แปลว่า ข้ารับใช้ (ที่เป็น) ชาวเขมร[19]
หนังสือ พระแสงราชศัสตรา[20] โดยกระทรวงมหาดไทย ชี้ให้เห็นความแตกต่างไว้ว่า ขอม คือ ราชวงค์ขอมที่ปกครองแคว้นกำพูชาซึ่งได้สูญสิ้นให้แก่กรุงศรีอยุธยาเมื่อ พ.ศ. 1974[20]: 18 (ดูเพิ่ม พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐ, หน้า 21 กล่าวว่า สักราช 793 กุนสก (พ.ส. 1974) สมเด็ดพระบรมราชาเจ้าสเด็ดไปเอาเมือง(นครหลวง)ได้ แลท่านจึงไห้พระราชกุมารท่านพระนครอินทร์เจ้าเสวยราชสมบัตินะเมืองนครหลวงนั้น[21] หมายถึง สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) พระเจ้ากรุงศรีอยุธยา เสด็จการศึกมีชัยเหนือเมืองพระนครแล้วโปรดให้พระอินทราชา (พระนครอินทร์) พระราชโอรสทรงปกครองเสวยราชสมบัติ ณ เมืองพระนคร) ส่วน เขมร คือ ชาวเขมรพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในแคว้นกำพูชาซึ่งสยามเป็นผู้สนับสนุนให้เขมรพื้นเมืองมีอำนาจควบคุมกำจัดราชวงค์ขอม ทั้งยังสนับสนุนให้เขมรพื้นเมืองขึ้นครองบัลลังก์แทนราชวงค์ขอมแต่อยู่ภายในความปกครองควบคุมของสยาม[20]: 18
หลักฐานทางโบราณคดี[แก้]
หลักฐานคำ "ขอม" เก่าที่สุดพบในศิลาจารึกวัดศรีชุม หลักที่ 2 สมัยสุโขทัย คำจารึกว่า:- "พ่อขุนบางกลางหาวแลขอมสบาดโขลญลำพงรบกนน"[7]: 69 จารึกล้านนาพบคำ "ขอม" ครั้งแรกในจารึกกษัตริย์ราชวงศ์มังราย (พะเยา) พ.ศ. 1945 สมัยสุโขทัย คำจารึกว่า "ในปีเต่าสง้า คำจวา ปีขอมไซร้ ปีมะแม"[22]: 16 และภาษาขอมที่เก่าแก่ที่สุดพบที่จารึกเขาน้อย จังหวัดปราจีนบุรี และจารึกเขารัง รัชสมัยพระเจ้าอิศานวรมันที่ 1 อาณาจักรเจนละ เป็นจารึกอักษรปัลลวะเขียนด้วยภาษาสันสกฤตและขอม[23] พบที่จังหวัดศรีสะเกษ[24]
ความหมาย[แก้]
คำ "ขอม" มีความหมายดังนี้
- ขอม แปลว่า ใหญ่ หรือผู้เป็นใหญ่[25]
- ขอม แปลว่า ผู้มีภูมิรู้ประเสริฐสุด นระผู้บรรชาญ นระผู้คงแก่เรียน นระผู้รู้ เป็นคนชั้นหัวก๊ก ปู่ครูผู้บรรชาญในสาขาความรู้ต่าง ๆ[3]
- ขอม แปลว่า ใต้ ถิ่นใต้ สิ่งของทางใต้ คนใต้ หรือกลุ่มชนชาติไทยสยามที่ชาวไทยลื้อเรียกว่าไทยใต้[26]
- ขอม (กลุ่มชาติพันธุ์ชาวไทเรียกว่า ขรอม) แปลว่า คนที่พูดภาษาไตอาศัยอยู่ใกล้ๆ ทะเล หรือทางใต้ของภูเขา (โดยนาย มิกกี้ ฮาร์ท นักวิชาการชาวเมียนมาร์ สันนิษฐานจากการอ่านศิลาจารึกภาษาขอมไทย พิพิธภัณฑ์โบราณคดีพุกาม และการสอบถามกลุ่มชาติพันธุ์ชาวไท)[27]
- ขอม ในภาษาไทยละว้าเดิม แปลว่า รัด ครอบ สวม[28][5] พบการใช้คำนี้เรียกปากชะลอมที่จังหวัดราชบุรี
- ขอม ในตำนานไท เขียนว่า กรอม กล๋อม กะหล๋อม หรือ ก๋าหลอม แปลว่า คนที่อยู่ทางใต้[7]
- ขอม ในจารึกวัดศรีชุม แปลว่า กลุ่มชนที่อาศัยอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่างมากกว่าจะหมายถึงเขมรเมืองพระนคร[7]
- ขอม ความหมายตามหลักฐานสมัยสุโขทัย แปลว่า คนทางใต้ หรือ คนในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ส่วน "ขอม" ความหมายตามหลักฐานสมัยอยุธยา แปลว่า คนเขมรในประเทศกัมพูชา (โดย รศ.ดร.ศานติ ภักดีคำ ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์เขมร)[7]: 86
- ขอม (คำสันกฤต, ฮินดี) คือคำว่า Kom แผลงมาจากคำว่า Komala แปลว่า ความนุ่ม พื้นที่นุ่ม ที่ ๆ มีน้ำ ชนชาติ Kom (Kom peoples) ที่อาศัยอยู่ในรัฐมณีปุระ[10]
การใช้คำ "ขอม" พบว่าเป็นคํานามประสมหรือสำนวนในหนังสือวิชาการหลากหลาย เช่น
- อักษรขอมได้รับอิทธิพลจากอักษรปัลลวะ[29] เป็นรูปอักษรที่มีศกหรือมีผมบนตัวอักษร[22]: 25 ใช้เขียนทั้งภาษาไทย บาลี สันสกฤต และเขมร เช่น อักษรขอมสยาม หรืออักษรธรรมไทใต้ (พ.ศ. 1100) อักษรขอมไทย[30] อักษรขอมบาลี (หรืออักษรขอมมคธ) พบในจารึกวัดป่ามะม่วง หลักที่ 6 จารึกวัดศรีพิจิตรกิรติกัลยาราม (วัดตาเถรขึงหนัง) หลักที่ 8ค จังหวัดสุโขทัย ใช้ตั้งแต่สมัยสุโขทัย-รัตนโกสินทร์ สมัยรัชกาลที่ 5[7]: 130 [31]: 18–19 อักษรขอมสันสกฤต[32] เช่น วรรณกรรมเรื่อง วยาการศตกะหรือสุภาษิตร้อยบท แม่อักษรขอมขุดปรอท[22]: 21 คืออักษรสำหรับพระพุทธศาสนา อักษรขอมสุโขทัย[33] (จารึกวัดป่ามะม่วง พ.ศ. 1904) อักษรขอมอยุธยา[34] อักษรขอมธนบุรี-รัตนโกสินทร์[34] อักษรขอมเฉียง[35] พบในตำราพระเพลาวัดบางแก้ว แปลเป็นอักษรไทยโดยพระครูมณฑลกิจปาฏิกรณ์ (เอียด) อักษรขอมอินเดียใต้[36] พบในประเทศลาว อักษรขอมลาว[37] สันฐานคล้ายอักษรพม่าแต่ไม่ใช่อักษรพม่า พบที่วัดศีสะเกดเมืองเวียงจันทร์ ประเทศลาว ฯลฯ อักษรที่ใช้เขียนหนังสือสวดด้วยปากกาเพื่อความสวยงาม (จารไม่ได้) เช่น อักษรขอมย่อ อักษรที่ใช้จารแผ่นหิน แผ่นไม้ ใบลาน สมุดไทย เช่น อักษรขอมหวัด อักษรขอมบรรจง เป็นต้น
- ผู้คน เช่น ชาวขอม[22]: 20 คือ ชนกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นคนละกลุ่มกับชนกลุ่มชาวไทตามหลักฐานจารึกสมัยสุโขทัย ขอมสยาม (ทหารคฺยวม)[38] คือ กองทัพสยามที่ยกไปตีเมืองสะเทิมของมอญสมัยพระเจ้าอุทินนะตามพงศาวดารกรุงสุธรรมวดี (สะเทิม) ขอมสันสกฤต[39] คือ ชาวขอมพูดภาษาพราหมณ์ (ฮินดู) ขอมสบาดโขลญลำพง[31]: 27 คือแม่ทัพฝ่ายขอมซึ่งปกครองเมืองสุโขทัยอยู่ในฐานะเมืองหน้าด่านของขอม พ.ศ. 1781 ขอมดำดิน ในพงศาวดารเหนือ ขอมละว้า[40] (คือชนชาติละว้าพื้นราบผสมกับชนชาตินาคาจากอินเดียและตอนเหนือของพม่า วิวัฒนาการมาเป็นชาติ ขอมแท้) ชาวขอมเสลานคร[41]: 23 คือชนกลุ่มที่อาศัยอยู่ในเมืองอุโมงค์คเสลานคร (พื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ในปัจจุบัน) ชาวขอมดำ คือชนกลุ่มชาวกูยที่อาศัยริมแม่น้ำโขง ขอมแปรพักตร์ ในพระราชนิพนธ์เรื่อง แผ่นดินเขมรเป็น ๔ ภาค คือ หัวเมืองเขมรที่ขึ้นตรงกับกรุงเทพฯ เช่น เมืองพระตะบอง เมืองเสียมราฐ ขอมกับพูชา[14]: 30 (ขอมกำพูชาแท้เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 1400) ชาวขอมดำกำโพชพิสัย[22]: 24 คือ ชาวขอมดำในถิ่นกัมพูชา ขอมเลือดผสมไทยน่านเจ้า[14]: 30 ขอมแท้[42] คือ กลุ่มพวกพระเจ้าปทุมสุริยวงศ์ ยโสธรปุระ ผู้สร้างสร้างพระนครวัดนครธม
- กษัตริย์ เช่น พระยาขอมดำ[41]: 22–23 คือ กษัตริย์โยนกนครไชยบุรีราชธานีศรีช้างแส่น เจ้าเมืองขอม[43]: 21 เช่น พระยากาฬวรรณดิศ ราชบุตรของพระยากากะภัทรกรุงตักศิลาสร้างเมืองละโว้
- ภาษา เช่น ขอมดำดิน (สำนวนไทย) แปลว่า คนที่ปรากฏตัวขึ้นทันทีอย่างไม่คาดฝัน หรือหายไปอย่างรวดเร็วไม่ทันได้สังเกต[44]
- วัฒนธรรม เช่น วัฒนธรรมขอมลพบุรี[45] วัฒนธรรมขอมสยาม[38]: 348 วัฒนธรรมขอมกัมพูชา[46] วัฒนธรรมขอมฮินดู-พุทธมหายาน (แนวคิดของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช)
- สถานที่ เช่น แม่น้ำขอม[43]: 22 คือชื่อเดิมของแม่น้ำโขง
- กาลเวลา ปฏิทิน เช่น ขอมเดือน[47] คือ การนับเดือนแบบจันทรคติด้วยภาษาบาลีสันสกฤต เช่น เดือนกิตติกาเพ็ง หมายถึง ขึ้น 15 ค่ำเดือนสิบสอง (พบในจารึกฐานพระพุทธรูป วัดพระธาตุศรีดอนคํา ว.ศ.ด.ค. ๐๒๑) ขอมปี[48] คือ การนับปีแบบนักกษัตร 12 ราศี เช่น ปีวอก
ส่วนคำ ขอม ที่มีนัยหมายถึงเขมรในประเทศกัมพูชานับว่าเป็นทัศนะของผู้ชำระประวัติศาสตร์ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์[7] ปรากฏในหลักฐานดังนี้[7]
- ประชุมพงศาวดาร เรื่อง พงศาวดารตอนไทยมาจากเมืองเดิม ว่าด้วยต้นเหตุการณ์เกณฑ์ทหารไทยแต่โบราณ กล่าวว่า :-
แดนดินที่เป็นสยามประเทศนี้ เดิมทีเดียวได้เป็นที่อยู่ของชน ๓ ชาติ ซึ่งพูดภาษาคล้ายคลึงกัน คือพวกขอม (ซึ่งเรียกกันบัดนี้ว่าเขมร) อยู่ข้างใต้ตอนแผ่นดินต่ำในลุ่มแม่น้ำโขงที่เป็นแดนกรุงกำพูชาเดี๋ยวนี้ ชาติ ๑ พวกลาว (คือชนชาติที่เรียกกันในปัจจุบันนี้ว่าละว้า) อยู่ตอนกลางคือในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยานี้ ตลอดไปทางตะวันออกจนในลุ่มแม่น้ำโขงตอนแผ่นดินสูง (คือมณฑลนครราชสีมาและมณฑลอุดรร้อยเอ็ดอุบลบัดนี้) ชาติ ๑ พวกมอญอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือตอนลุ่มแม่น้ำสาละวิน ตลอดไปจนถึงลุ่มแม่น้ำเอราวดีข้างตอนใต้ ที่เป็นแดนประเทศพม่าบัดนี้ชาติ ๑ แดนดินที่กล่าวมานี้ชาวอินเดียแต่โบราณเรียกกันว่า "สุวรรณภูมิ" เพราะเหตุเป็นบ่อที่มีบ่อทอง[49]
- พระราชพงศาวดาร ฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพน ตรวจสอบชำระจากเอกสารตัวเขียน
- พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับปลีก หมายเลข ๒/ก ๑๐๔ (ต้นฉบับของหอพระสมุดวชิรญาณ)
- พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์
- พงศาวดารเขมรฉบับออกญาวงศสารเพชญ (นง) ฉบับแปลภาษาไทย พ.ศ. 2398[7]: 87
- พระราชนิพนธ์เรื่อง แผ่นดินเขมรเป็น ๔ ภาค ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นผู้ริเริ่มกำหนดว่า ขอมแปรพักตร์ หมายถึง หัวเมืองเขมรที่ขึ้นตรงกับกรุงเทพฯ เช่น เมืองพระตะบอง เมืองเสียมราฐ[7]: 87
- กำสรวลสมุทร (โคลงบทที่ 20 และ 67)
- ยวนพ่ายโคลงดั้น (ลิลิตยวนพ่าย)
- กฏหมายตราสามดวงว่าด้วยกฏมณเฑียรบาล มาตรา ๒๐ ตราขึ้นปี จ.ศ. ๗๒๐ (พ.ศ. 1901)
- คำฉันท์เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงประสาททอง (ฉบับพระมหาราชครู)
- จินดามณีครั้งแผ่นดินพระเจ้าบรมโกศ
- จารึกวัดโพธิ์ เรื่อง โคลงภาพคนต่างภาษา ฉบับหลวงลิขิตปรีชา (คุ้ม โรจนกุล)
- เสภาพระราชพงศาวดาร ของสุนทรภู่
นิรุกติศาสตร์[แก้]
เดิม ขอม ไม่ได้หมายถึงเขมรกลุ่มเดียว เพราะ เขมร นั้น เป็นคำไทย ซึ่ง หมายถึง ขะแมร์ ชาวเขมร ไม่ได้เรียกตัวเองว่า ขอม และไม่รู้จัก ขอม โดยคำว่า เขมร ได้ปรากฏขึ้นอย่างน้อย ๆ เมื่อ พ.ศ. 1069 จากจารึกคำว่า เขมร ในจารึกซับบาก อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา[50] ต่อมาสถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นใหม่ เมื่อ พ.ศ. 1893 แล้วชื่อ ขอม มีความหมายเปลี่ยนไปเป็นพวกเขมรเท่านั้น สืบมาจนถึงทุกวันนี้ ทำไมชื่อขอม เปลี่ยนความหมายไปเป็นเขมร ? ยังหาคำอธิบายไม่ได้ชัดเจน แต่พอจะจับเค้าว่าเพราะบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยานับถือพุทธนิกายเถรวาทหมดแล้ว รวมทั้งละโว้ แต่ทางเขมรยังมีพวกนับถือฮินดูกับพุทธมหายาน คือขอมอยู่บ้าง
คำว่า ขอม ปรากฏในจารึกวัดศรีชุม สุโขทัย 2 แห่ง ระบุชื่อ ขอมสบาดโขลญลำพง จิตร ภูมิศักดิ์ เป็นนักวิชาการคนแรก ๆ พยายามศึกษาและอธิบายคำคำนี้ใหม่ ได้เสนอว่า ขอม ไม่ได้หมายถึงเชื้อชาติ แต่หมายถึงกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ที่รับวัฒนธรรมฮินดูจากชมพูทวีปแล้วภายหลังเปลี่ยนเป็นพุทธมหายาน (ต่างกับชนชาติไทย-ลาวที่นับถือผีก่อนเปลี่ยนมารับพุทธเถรวาทจากชมพูทวีป) ใช้อักษรขอมในการจดจารึก ซึ่งคนกลุ่มนี้รวมถึงชนชาติเขมรและรัฐเครือญาติทั้งหมด รวมทั้งละโว้ ซึ่งต่อมาได้กลายมาเป็นอโยธยาศรีรามเทพนครด้วย คำว่า "ขอม" ถูกใช้เรียกกลุ่มคนโดยรวม คล้ายกับการใช้คำว่า "แขก" เรียกคนอิสลาม/ซิกข์/ฮินดูโดยรวม โดยไม่แยกว่าเป็นคนอินเดีย มลายู ชวา หรือตะวันออกกลาง จิตร ยังอธิบายว่า คำว่าขอม ถูกนำมาใช้ในงานเขียนสมัยใหม่ (ขณะนั้น)โดยมีความรู้สึกชาตินิยมเป็นพื้นมากกว่าข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ เช่นการถือว่าขอมเป็นคนอีกกลุ่มหนึ่ง ที่เคยแผ่อำนาจมาครอบครองดินแดนในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาจนถึงสุโขทัย มีอิทธิพลต่อชาวไทยโบราณ ต่อมาชาวไทยที่สุโขทัยรุ่งเรืองในบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา อิทธิพลของขอมได้หายไปจากแผ่นดินไทย[51]
สุจิตต์ วงษ์เทศ นักวิชาการแห่งสำนักพิมพ์ศิลปวัฒนธรรม ก็เสนอว่า ขอม ในที่นี้น่าจะหมายถึงคนในที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ต่อสู้ชิงความเป็นใหญ่กับคนทางเหนือ คำว่าขอม ใช้เรียกคนเมืองละโว้หรือลพบุรี ซึ่งเป็นเมืองใหญ่เก่าแก่ในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา และต่อมาจึงเรียกรวมไปถึงเมืองอโยธยาศรีรามเทพนคร ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของอยุธยา จากนั้นในหลักฐานประวัติศาสตร์ของอยุธยา ได้ใช้คำนี้เรียกคนในดินแดนเขมรแถบเมืองพระนครหรือนครธม ในข้อความที่ว่า "ขอมแปรพักตร์"และในกฎมณเฑียรบาล น่าจะหมายถึงคนในเขมรหรือกัมพูชา[52] โดยสรุป คำว่า ขอม เป็นคำเรียกคน มีความหมายทางวัฒนธรรมและมีความหมายเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลา
ความเกี่ยวข้องระหว่างขอมกับกษัตริย์กรุงศรีอยุธยา[แก้]
หลักฐานชั้นต้น ชื่อ ตำราทูตตอบ เป็นหนังคู่มือทูตตอบเขียนเป็นภาษาไทยสำหรับคณะราชทูตสยามที่เดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีกับโปรตุุเกส เมื่อ พ.ศ. 2227 ตรงกับรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงมีรับสั่งว่าหากคณะราชทูตสยามได้รับคำถามเกี่ยวกับเชื้อสายกษัตริย์และสิ่งก่อสร้างโบราณของสยาม ให้คณะราชทูตตอบว่าทรงสืบสายลงมาตั้งแต่พระเจ้าปทุมสุริยวงศ์ ปรากฏใน ตำราทูตตอบ ว่า:-
"...ให้ตอบถึงกษัตริย์โดยอ้างลงมาตั้งแต่สมเด็จพระปทุมสุริยนรนิสสวรบพิตร... (Sommedethia Ppra Pattarma Souria Naaranissavoora Boppitra Seangae) (พระปทุมสุริยวงค์?) ชึ่งเป็นผู้สร้างเมืองชัยบุรีมหานคร (?) ใน พ.ศ. ๑๓๐๐ และกษัตริย์ที่ครองราชย์สืบมาอีกสิบพระองค์ ต่อมาสมเด็จพระยโศธรธเรนทร์เทพราชอติ (Sommedethia Prayasouttora Ttarrena Ttepperaraacchaatti) (พระเจ้ายโศธรวรมัน?) ผู้สร้างเมืองยโศธรนครหลวง (Yassouttora Nacoora Louang) และกษัตริย์ ๑๒ พระองค์ที่ครองราชย์ที่นั่น ต่อมาเมื่อกษัตริย์สมเด็จพระพนมไชยศิริมเหศวรินทธิราชบพิตร เสด็จไปประทับในสุโขทัย และในปี พ.ศ. ๑๗๓๑ พระองค์สร้างเมืองเพชรบุรี ที่นี้มีกษัตริย์ครองราชย์มาสี่พระองค์ เป็นเวลา ๑๖๓ ปี ในที่สุดสมเด็จพระรามาธิบดีบพิตร (พระเจ้าอู่ทอง) ผู้สร้างพระนครของสยามในปี พ.ศ. ๑๘๙๔ ซึ่งปัจจุบันเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรและเรียกว่า กรุงเทพพระมหานครศรีอยุธยา และพระองค์ครองราชย์มา ๒๗ ปี ดังนั้นจึงมีกษัตริย์ ๕๐ พระองค์ ใน ๙๖๒ ปี..."[53]
ซึ่งพระเจ้าปทุมสุริยวงศ์ผู้สร้างเมืองนครธมนี้ พงศาวดารชาติไทย ของพระบริหารเทพธานี (เฉลิม) พ.ศ. 2508 กล่าวว่า พระเจ้าปทุมสุริยวงศ์ คือ พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2[54] เป็นพระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรพระนคร ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. 1652–95 (หลักฐานเรื่องพระแสงขรรค์ชัยศรีใน คำให้การชาวกรุงเก่า แย้งว่า พระเจ้าปทุมสุริยวงศ์ คือ พระเจ้าชัยวรมันที่ 2[55] (ชัยวรมเทวะ) ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. 1345-93 มากกว่า ส่วนพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 สืบวงศ์จากพระเจ้าปทุมสุริยวงศ์อีกทีหนึ่ง)
พระเจ้าปทุมสุริยวงศ์เป็นกษัตริย์ขอม[56] แต่พระราชมารดาของพระองค์เป็นเขมร[56] และยังทรงมีวัฒนธรรมไทยแบบไศเลนทร์อย่างอาณาจักรตามพรลิงค์จากการส่งไพร่พลไปช่วยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 สร้างเมืองนครธม และได้ประดิษฐานพระแก้วมรกตและพระพุทธศาสนาไว้ที่เมืองพระนครให้เป็นปึกแผ่นตาม ตำนานพระแก้วมรกต สอดคล้องกับ ตำนานต้นกำเนิดกรุงศรีอยุธยา ใน จดหมายเหตุ ลา ลูแบร์ ราชอาณาจักรสยาม ราชทูตของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งกรุงฝรั่งเศสซึ่งเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับกรุงศรีอยุธยาเมื่อ พ.ศ. 2230 รัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช กล่าวว่ากษัตริย์พระองค์แรกของชาวสยามมีชื่อว่า พระปทุมสุริยวงศ์ ซึ่งปกครองนครไชยบุรีมหานครเป็นพระองค์แรกแต่ ซีมง เดอ ลา ลูแบร์ ไม้รู้แน่ชัดว่านครไชยบุรีตั้งอยู่ที่ใด :-
"ปฐมบรมกษัตริย์ของชาวสยามนั้นทรงพระนามว่า พระปฐมสุริยเทพนรไทยสุวรรณบพิตร (Pra Poathonne Sourittep pennaratui sonanne bopitra) (พระปทุมสุริยวงศ์?) พระมหานครแห่งแรกที่เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัตินั้น ชื่อว่า ไชยบุรีมหานคร (Tchai pappe Mahanacon) ซึ่งข้าพเจ้าไม่แจ้งว่าตั้งอยู่ที่ไหน เมื่อเสด็จขึ้นเถลิงราชย์นั้นพระพุทธศาสนยุกาลล่วงแล้ว ๑,๓๐๐ พรรษา นับตามศักราชสยาม และมีพระมหากษัตริย์สืบสันตติวงศ์ต่อมาอีก ๑๐ ชั่วกษัตริย์ องศ์สุดท้ายทรงพระนามว่า พญาสุนทรเทศมหาราชเทพ (Ipoïa Sanne Thora Thesma Teperat) (ยโศธรเทศมหาเทพราช?) ย้ายพระนครหลวงมาสร้างราชธานีใหม่ที่เมืองธาตุนครหลวง หลวงมาสร้างราชธานีใหม่ทีเมืองธาตุนครหลวง (Tasôo Nacorà Loüang) (ยโศ (ธร) นครหลวง ?)..."[53]
ดูเพิ่ม[แก้]
อ้างอิง[แก้]
- ↑ "ชาญวิทย์ เกษตรศิริ : ขอม คือ ใคร Who are the Khom?". ประชาไท. สืบค้นเมื่อ 30 January 2023.
- ↑ ""เขมร" ไม่เรียกตัวเองว่า "ขอม" ไม่มีคำว่าขอมในภาษาเขมร คำว่า "ขอม" มาจากชนพื้นถิ่นที่อาศัยอยู่ในพื้นที่กระจายตัวอยู่ตามที่ราบลุ่มมีวิธีผันน้ำและปลุกข้าวทำเกษตร". ศิลปวัฒนธรรม. 27 January 2023. สืบค้นเมื่อ 30 January 2023.
- ↑ 3.0 3.1 กรมศิลปากร. (2530). ทักษิณรัฐ. กรมศิลปากรจัดพิมพ์เพื่อเชิดชูเกียรติแด่ศาสตราจารย์มานิต วัลลิโภดม ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดีไทย. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร. 187 หน้า. หน้า 90.
- ↑ Pholsena, W., Nordic Institute of Southeast Asian Studies (NIAS) University of Copenhagen and Institute of Southeast Asian Studies (ISEAS), National University of Singapore. (2006). Post-war Laos: The politics of Culture, History and Identity. Pasir Panjang: Utopia Press. p. 36. ISBN 981-230-355-3, 981-230-356-1. "It seems Khom was an old word used by the Tai peoples in ancient times—perhaps before the foundation of the Lan Xan kingdom."
- ↑ 5.0 5.1 พระราชกวี (อ่ำ ธมฺมทตฺโต ป.ธ.6) และวันอุ่น เขียนไทย. (2538). "ขอม สายสือขอม", ต้นไทย ฅนไทย ก่อนสุโขไทย. เรียบเรียงจากการค้นคว้าและการอ่านลายสือไทยจารึกในแผ่นหินทราย-กเบื้องจาร ของพระราชกวี (อ่ำ ธมฺมทตฺโต ป.ธ. 6). กรุงเทพฯ: ม.ป.พ. หน้า 72. ISBN 978-974-7-65138-6
- ↑ 6.0 6.1 เทพ สุนทรศารทูล. (2545). ดาวพระศุกร์: ดาวประจำเมืองสยาม. กรุงเทพฯ: ดวงแก้ว. หน้า 35. ISBN 978-974-9-03342-5
- ↑ 7.00 7.01 7.02 7.03 7.04 7.05 7.06 7.07 7.08 7.09 7.10 ศานติ ภักดีคำ. (2562). "เขมร คำที่ไทยใช้เรียกเขมรมาตั้งแต่เมื่อใด?", แลหลังคำ เขมร-ไทย. กรุงเทพฯ: มติชน. 375 หน้า. หน้า 61-87. ISBN 978-974-0-21687-2
- ↑ สัทธา อริยะธุกันต์. (2535). การวิเคราะห์วรรณกรรมคำสอนอีสานใต้. บุรีรัมย์: โครงการตำรามูลนิธิเจมส์ เอช ดับเบิลยู ทอมป์สัน, ศูนย์ตำราวิทยาลัยครูบุรีรัมย์. หน้า 59.
- วารสารศิลปวัฒนธรรม, 30(1):13.
- ↑ Sharma G. C. (1999). "The Sixteen Devisioned of a Sign", Maharishi Parasara's Brihat Parasara Hora Sastra Vol. I: A Compendium in Vedic Astrology. Hapur, India: Sugar Publications. p. 126.
- ↑ 10.0 10.1 Fallon S. W. (1879). A new Hindustani-English dictionary: with Illustrations from Hindustani Literature and Folk-lore. Dedicated by Permission to Sir Richard Temple, Bart., G.C.S.I., C.I.E. Governor of Bombay. London: E.J. Lazarus and Co., Banaras-Trübner and Co. p. 959.
- Tivari B. (1964). Bhasha Vijnana Kosa Linguistics Treasury भाषा विज्ञान कोष (in Hindi)]. Varanasi, India: Jnana-Mandala. p. 169
- ↑ ดิเรก กุลสิริสวัสดิ์. (2517). ความสัมพันธ์ของมุสลิมทางประวัติศาสตร์ และวรรณคดีไทย และสำเภากษัตริย์สุลัยมาน (ฉบับย่อ). กรุงเทพฯ: สมาคมภาษา และหนังสือแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์. หน้า 146.
- ↑ ศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร), พระยา. (2446). "คำสยามโบราณ" หนังสืออนันตวิภาค: หนังสือสำหรับกุลบุตร์ศึกษาศัพท์ต่าง ๆ มี ศัพท์โบราณ เขมร ชวา บาฬีแปลง ราชาศัพท์ เปนต้น. พระนคร: พิศาลบรรณนิติ์. หน้า 16.
- ↑ "ខ្ញុំ", Dictionary of Old Khmer. SEALANG Projects. cited in Phillip Jenner's Dictionary of Pre-Angkorian Khmer and Dictionary of Angkorian Khmer (Pacific Linguistics, 2009).
- ↑ 14.0 14.1 14.2 ประกิต (นามเดิม จิตร) บัวบุศย์. (2516). การศึกษาศิลปกรรมไทย. กรุงเทพฯ: จักรานุกูลการพิมพ์. หน้า 30.
- ↑ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร. (2512). โบราณคดีนครราชสีมา. พระนคร: กรุงสยามการพิมพ์. หน้า 218.
- วีระ สุดสังข์. "ชาวกวย-ชาวเขมร รำตำตะ-เล่นตร๊ด ที่ศรีสะเกษ", เมืองโบราณ 26(1)(มกราคม-มีนาคม 2543):121.
- ↑ "ក្រោម", Dictionary of Old Khmer. SEALANG Projects. cited in Phillip Jenner's Dictionary of Pre-Angkorian Khmer and Dictionary of Angkorian Khmer (Pacific Linguistics, 2009).
- ↑ คติธรรม สิงคเสลิต. (2561). ภาษาเขมรเมืองสุรินทร์ (eBook). [ม.ป.ท.]: [ม.ป.พ.]. หน้า 49.
- สรศักดิ์ จันทร์วัฒนกุล. (2551). ๓๐ ปราสาทขอม ในเมืองพระนคร. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ. หน้า 65. ISBN 978-974-7-38531-1
- ↑ "ខ្មែរ", Dictionary of Old Khmer. SEALANG Projects. cited in Phillip Jenner's Dictionary of Pre-Angkorian Khmer and Dictionary of Angkorian Khmer (Pacific Linguistics, 2009).
- ↑ กรมศิลปากร. (2565). "“เกฺมร” รูปเขียนของคำาว่า “เขมร” ในศิลาจารึกเขมรโบราณสมัยก่อนเมืองพระนคร", แถลงงานคณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทยพุทธศักราช ๒๕๖๔. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม. หน้า 134-135. ISBN 978-616-283-618-3
- รุ่งโรจน์ ธรรมรุ่งเรือง และศานติ ภักดีคํา. (2559). เกร็ดประวัติศาสตร์และการเมือง ว่าด้วยปรางค์ขอม ปราสาทเขมร และศิลปะลพบุรี. บรรยายเนื่องในกิจกรรมเสวนาวิชาการ “คนกับโบราณสถาน” จัดโดย ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) และ สํานักฝรั่งเศสแห่งปลายบุรพทิศ วันที่ 18 พ.ย. 2559 ณ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร กรุงเทพมหานคร. หน้า 4.
- ↑ 20.0 20.1 20.2 กระทรวงมหาดไทย. (2509). พระแสงราชศัสตรา. พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พลเอก มังกร พรหมโยธี ม.ป.ช.,ม.ว.ม.,ท.จ.ว. ณ เมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส ๒๙ มิถุนายน ๒๕๐๙. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ส่วนท้องถิ่น กรมการปกครอง. 172 หน้า.
- ↑ พระราชพงสาวดารกรุงเก่า (ฉบับหลวงประเสิด). เจ้าภาพพิมพ์แจกในงานพระราชทานเพลิงสพ พันเอก พร้อม มิตรภักดี (พระยานรินทร์ราชเสนี). พระนคร: บริสัทการพิมพ์ไทย. หน้า 21.
- ↑ 22.0 22.1 22.2 22.3 22.4 เอมอร เชาวร์สวน, สำนักหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร. "คำว่าขอมในจารึกสุโขทัย อยุธยา และล้านนา", นิตยสารศิลปากร, 66(3)(พฤษภาคม-มิถุนายน 2566).
- ↑ กรรณิการ์ วิมลเกษม. (2552). ตําราเรียนอักษรไทยโบราณ อักษรขอมไทย อักษรธรรมล้านนา อักษรธรรมอีสาน. นครปฐม: ภาควิชาภาษาตะวันออก คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร. หน้า 324. ISBN 978-974-6-41252-0
- สำนักนายกรัฐมนตรี, คณะกรรมการจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และโบราณคดี. (2510). "อธิบายภาษาขอมเทียบภาษาเขมร", ประชุมพระตำราบรมราชูทิศเพื่อกัลปนาสมัยอยุธยา ภาค 1. กรุงเทพฯ: สำนักนายกรัฐมนตรี. หน้า 47.
- กรมศิลปากร, หอสมุดแห่งชาติ. (2529). จารึกในประเทศไทย เล่ม ๓: อักษรขอม พุทธศตวรรษที่ ๑๕-๑๖. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร. หน้า 13.
- มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. (2534). สารานุกรมสุโขทัยศึกษา เล่ม 1. นนทบุรี: โครงการศูนย์สุโขทัยศึกษา สาขาวิชาศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. หน้า 10. ISBN 978-974-6-14936-5
- ชวลิต อังวิทยาธร. (2538). เงินตรานโม: เงินตราโบราณภาคใต้ 1. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ. หน้า 57. ISBN 974-736-741-6
- ธิดา สาระยา. (2537). รัฐโบราณในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้: กําเนิดและพัฒนาการ. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ. หน้า 261.
- วิทยาลัยครูบุรีรัมย์. (2537). สมบัติอีสานใต้ 6(27–29 ธันวาคม 2537):60.
- ↑ ธิดา สาระยา. (2552). อารยธรรมไทย. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ. หน้า 266. ISBN 978-974-7-38540-3
- ธิดา สาระยา. (2545). อารยธรรม-วัฒนธรรมในสังคมไทย. กรุงเทพฯ: คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. หน้า 200. ISBN 978-974-1-31685-4
- ↑ เทพ สุนทรศารทูล. (2533). ชีวประวัติ พระสุนทรโวหาร (ภู่ ภู่เรือหงส์). กรุงเทพ: พระนารายณ์. 225 หน้า. ISBN 978-974-5-75133-0. หน้า 19.
- ศิลปวัฒนธรรม, 23(7), (2545): 22.
- ↑ กรมศิลปากร, กรมกองโบราณคดี. (2518). ตำราเรียนอักษรโบราณของ อ.สวัสดิ์ วิเศษวงษ์. กรุงเทพฯ: วงศ์สว่างการพิมพ์. 110 หน้า.
- ↑ สารคดี: โยเดีย ที่คิด (ไม่) ถึง จารึกปริศนาภาษาไทยก่อนสมัยสุโขทัย. Thai PBS.
- ↑ อรุณรัตน์ วิเชียรเขียว และคณะ. (2546). สิทธิชุมชนท้องถิ่นพื้นเมืองดั้งเดิม ล้านนา: กรณีศึกษาชุมชนลัวะ ลื้อ ปกาเกอญอ (กระเหรี่ยง) ในจังหวัดน่าน เชียงราย เชียงใหม่. กรุงเทพฯ: นิติธรรม. 440 หน้า. หน้า 282. ISBN 974-203-218-1
- ↑ กรมศิลปากร, หอสมุดแห่งชาติ. (2529). จารึกในประเทศไทย เล่ม ๔ : อักษรขอม พุทธศตวรรษที่ ๑๗-๑๘. กรุงเทพฯ: ภาพพิมพ์. หน้า 13. ISBN 974-7920-74-3
- ↑ เรืองเดช ปันเขื่อนขัติย์. (2530). อักษรไทย. นครปฐม: สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล. 144 หน้า.
- ประกิต (นามเดิม จิตร) บัวบุศ. (2520). อารยธรรมสยาม: ศูนย์กลางอารยธรรมของโลก. (พิมพ์ครั้งที่ 7). กรุงเทพฯ: กรุงสยามการพิมพ์. หน้า 58.
- ↑ 31.0 31.1 สุทัศน์ สิริสวย. (2509). พระราชกรณียกิจของพ่อขุนรามคำแหงในการก่อตั้งสถาบันการปกครองของชาติไทย. วิทยานิพนธ์รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ กรุงเทพฯ. NIDA Wisdom Repository: http://repository.nida.ac.th/handle/662723737/1168. 141 หน้า.
- ↑ หอพระสมุดวชิรญาณ. (2467). วยาการศตกม หรือ สุภาษิตร้อยบท. นางประเพณีวินิจฉัย แลขุนอนัคฆานุบาล กับสวิง เสริมประเสริญ พิมพ์ในงารศพสนองคุณ นางบุญรอด เสริมประเสริญ ผู้มารดา เมื่อปีชวด พ.ศ. ๒๔๖๗. พระนคร: โสภณพิพรรฒธนากร.
- ↑ เกริกฤทธิ์ เชื้อมงคล. (2562). แรกสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์. กรุงเทพฯ: สยามความรู้. หน้า 190. ISBN 978-616-4-41530-0
- ↑ 34.0 34.1 กรรณิการ์ วิมลเกษม. (2552). ตําราเรียนอักษรไทยโบราณ อักษรขอมไทย อักษรธรรมล้านนา อักษรธรรมอีสาน. หน้า 14. ISBN 978-974-6-41252-0
- ↑ ชัยวุฒิ พิยะกูล, สถาบันทักษิณคดีศึกษา มหาวิทยาลัยทักษิณ. (2550). การปริวรรตวรรณกรรมท้องถิ่นภาคใต้ ประเภทหนังสือบุด เรื่อง ตําราพระเพลาวัดบางแก้ว. สงขลา: สถาบันทักษิณคดีศึกษา มหาวิทยาลัยทักษิณ. หน้า 4.
- วารสารวัฒนธรรมไทย 25(2529):45.
- ↑ กรมศิลปากร. วารสารศิลปากร, 20(1-2)(2519):134–145. ISSN 0125-0531
- ↑ กรมศิลปากร, กองโบราณคดี. (2531). ตํานานและนิทานพื้นบ้านอีสาน. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร. หน้า 19. ISBN 978-974-7-93634-6
- ↑ 38.0 38.1 วินัย ผู้นำพล ขมลศิษฐ์ เดชกำธร และโสพล ช่วยสุก. (2552). วัฒนธรรมผสมในศิลปกรรมสยาม. กรุงเทพฯ: รุ่งศิลป์การพิมพ์. หน้า 348. ISBN 978-974-6-41261-2
- ↑ อนุมานราชธน (ยง เสฐียรโกเศศ), พระยา. (2533). งานนิพนธ์ชุดสมบูรณ์ของศาสตราจารย์พระยาอนุมานราชธน หมวดสุภาษิต เล่มที่ 1. กรุงเทพฯ: คุรุสภาลาดพร้าว. หน้า 135. ISBN 974-417-136-7
- ปีเตอร์ สกิลลิ่ง และศานติ ภักดีคำ. (2004). วรรณกรรมบาลีและฉบับแปล ในภาคกลางและภาคเหนือของสยาม (Pali and vernacular literature transmitted in Central and Northern Siam). กรุงเทพฯ: Lumbini International Research Institute และ The Fragile Palm Leaves Foundation. หน้า. 102-103. ISBN 978-974-1-33150-5
- ↑ กรมศิลปากร. วารสารศิลปากร, 35(2535):60. * มูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุวิทยาลัย. วารสารช่อฟ้า, 25(7)(2533):38.
- ↑ 41.0 41.1 ประชุมพงศาวดาร เล่ม ๓๔ (ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๖๑(ต่อ)-๖๒) พงศาวดารเมืองเงินยาง (ต่อ) เชียงแสน ว่าด้วยเรื่องทูตฝรั่งสมัยกรุงรัตนโกสินทร์. กรุงเทพฯ: องค์การค้าของคุรุสภา, 2512.
- ↑ ธรรมทาส พานิช. (2515). พนม ทวารวดี ศรีวิชัย. กรุงเทพฯ: แพร่พิทยา. หน้า 152.* ธรรมทาส พานิช. (2533). นิพพานธรรม ในประวัติศาสตร์สุวรรณภูมิ. กรุงเทพฯ: อรุณวิทยา. หน้า 214. ISBN 978-974-8-56914-7
- ↑ 43.0 43.1 ประชากิจกรจักร (แช่ม บุนนาค), พระยา. (2516). พงศาวดารโยนก ของพระยาประชากิจกรจักร (แช่ม บุนนาค). (พิมพ์ครั้งที่ 7). กรุงเทพฯ: คลังวิทยา
- ↑ สำนักงานราชบัณฑิตยสภา. (2556, 26 สิงหาคม). ขอมดำดิน. สืบค้นเมื่อ 21 พฤษภาคม 2567. อ้างใน บทวิทยุรายการ “รู้ รัก ภาษาไทย” ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ เวลา ๗.๐๐-๗.๓๐ น.
- ↑ กรมศิลปากร, สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ. (2554). งานช่างศิลปกรรมและสุนทรียภาพไทย-ญี่ปุ่น. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร. หน้า 33. ISBN 978-974-4-25064-3
- ชลิต ชัยครรชิต. (2534). ขอนแก่น: ภูมิหลังบ้านเมืองตั้งแต่เริ่มแรก จนถึงพุทธศตวรรษที่ 19. ขอนแก่น: ศูนย์วัฒนธรรมอีสาน มหาวิทยาลัยขอนแก่น. หน้า 90–91. ISBN 978-974-5-55853-3
- ↑ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร. (2512). โบราณคดีนครราชสีมา. พระนคร: กรุงสยามการพิมพ์. หน้า 218.
- ↑ อุดม รุ่งเรืองศรี. (2547). พจนานุกรมล้านนา-ไทย ฉบับแม่ฟ้าหลวง. เชียงใหม่: คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. หน้า 80.
- ศิรินันท์ บุญศิริ (อักษรศาสตร์ ๘ ว.), กองวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร. "เกร็ดความรู้จากการตรวจสอบชำระประชุมพงศาวดาร ปัญหาเรื่องศักราชและวันเดือนปีทางจันทรคติ", วารสารศิลปากร, 44(5)(กันยายน-ตุลาคม 2544):100.
- ↑ ชัยสิทธิ์ ปะนันวงค์. (2559). การศึกษาวิเคราะห์จารึกที่ฐานพระพุทธรูป พิพิธภัณฑ์วัดพระธาตุศรีดอนคํา อําเภอลอง จังหวัดแพร่. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต (จารึกศึกษา) มหาวิทยาลัยศิลปากร. หน้า 111-112.
- ↑ ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จ ฯ กรมพระยา. (2507). ประชุมพงศาวดาร เล่ม ๑๔ (ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๒๒-๒๕). พระนคร: องค์การค้าของคุรุสภา. หน้า 74.
- ↑ เยาวชนไทยกับขแมร์ ร่วมเมิลขแมร์แลไทย ไทยรัฐ สืบค้นเมื่อ 3 พฤศจิกายน 2558
- ↑ "ผลงานบางส่วนของท่านจิตร ภูมิศักดิ์ 1". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-07-06. สืบค้นเมื่อ 2008-07-21.
- ↑ ขอม กับ เขมร เทียบเคียงคำว่าสยามกับไทยรี มติชนออนไลน์ สืบค้นเมื่อ 13 มกราคม 2565
- ↑ 53.0 53.1 ศานติ ภักดีคำ. (2563). นครวัดทัศนะสยาม (eBook). กรุงเทพฯ: มติชน. หน้า 34-35. ISBN 978-974-0-21712-1
- ศานติ ภักดีคำ. (2554). เขมรรบไทย. กรุงเทพฯ: มติชน. หน้า 92. ISBN 978-974-0-20810-5
- ↑ บริหารเทพธานี (เฉลิม), พระ. (2508). พงศาวดารชาติไทย ความเป็นมาของชาติตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์. รวบรวมโดย พระบริหารเทพธานี ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี ลพบุรี ตราด และข้าหลวงประจำจังหวัดนนทบุรี ประจวบคีรีขันธ์ (รวม ๒ เล่มจบบริบูรณ์)]. พระนคร: สำนักงาน ส.ธรรมภักดี. หน้า 133
- ↑ กำพล จำปาพันธ์. "เครื่องทองอยุธยา เจ้าสามพระยา และโลกาภิวัฒน์แรกในสยาม-อุษาคเนย์", ศิลปวัฒนธรรม 44(6)(เมษายน 2566):83, เชิงอรรค ๑๖. อ้างใน คำให้การชาวกรุงเก่า. นนทบุรี: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2546. หน้า 6–7.
- สมบัติ พลายน้อย. (2515). เกร็ดโบราณคดีประเพณีไทย เล่ม 2. กรุงเทพฯ: โบราณสาส์น. หน้า 14.
- ฉวีงาม มาเจริญ. (2528). พระแก้วมรกต. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร. หน้า 30. ISBN 978-974-7-92530-2
- ธรรมทาส พานิช. (2533). นิพพานธรรมในประวัติศาสตร์สุวรรณภูมิ. กรุงเทพฯ: อรุณวิทยา. หน้า 40.
- มารอาคเนย์. (2566). ภูตหมอกควัน เล่ม 1. กรุงเทพฯ: พบสันต์ รุกขรังสฤษฏ์. หน้า 159. (เชิงอรรถท้ายหน้า). ISBN 9786165989268
- ธรรมทาส พานิช. (2541). ประวัติศาสตร์ไชยา-นครศรีธรรมราช. กรุงเทพฯ: ธรรมทานมูลนิธิ. หน้า 76.
- ↑ 56.0 56.1 ธรรมทาส พานิช. (2533). นิพพานธรรมในประวัติศาสตร์สุวรรณภูมิ. กรุงเทพฯ: อรุณวิทยา. หน้า 40. "พระเจ้าปทุมสุริยวงศ์เป็กษัตริย์ขอม (มารดาเป็นเขมร) เสวยราชย์ประมาณ พ.ศ. ๑๔๓๒-๑๔๔๓ พระองค์สามารถประดิษฐานพระพุทธศาสนาลงไว้ เป็นปึกแผ่นในเมืองพระนคร"
- ธรรมทาส พานิช, มูลนิธิธรรมทาน. (2542). "พระปทุมสุริยวงศ์องค์ที่ได้พระแก้วมรกตไปไว้ท่านเป็นขอมมีวัฒนธรรมไทยแบบไศเลนทร์", วัฒนธรรมพุทธศาสนาของชาวไทยในตํานานพระแก้วมรกต. กรุงเทพฯ: อรุณวิทยา. หน้า 155. ISBN 978-974-8-66851-2