เฏาะลากสามครั้งในอินเดีย
เฏาะลากสามครั้ง (อังกฤษ: triple talaq)[1] เป็นรูปแบบหนึ่งของการหย่าในศาสนาอิสลาม (ซึ่งภาษาอาหรับเรียก talaq-e-mughallazah แปลว่า การหย่าอันลบล้างมิได้)[2] ชายมุสลิมสามารถหย่าภรรยาได้โดยชอบด้วยกฎหมาย เพียงแจ้งภรรยาว่า "เฏาะลาก" (talaq แปลว่า "หย่า") สามครั้ง ซึ่งมักทำในคราวเดียว ไม่ว่าด้วยวาจา ด้วยลายลักษณ์อักษร หรือปัจจุบันด้วยวิธีทางอิเล็กทรอนิกส์ก็มี การแจ้งเฏาะลากสามครั้งที่ประพฤติกันในหมู่มุสลิมอินเดียนั้นเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์เสมอมา บรรดาผู้ตั้งคำถามเห็นว่า การหย่าดังกล่าวเป็นการไม่ยุติธรรม สร้างความเหลื่อมล้ำทางเพศ ขัดต่อสิทธิมนุษยชน และขัดต่อหลักฆราวาสนิยม อันเป็นประเด็นเกี่ยวเนื่องถึงการบังคับใช้ประมวลกฎหมายแพ่งที่เป็นระเบียบเดียวกันทั่วประเทศ และเกี่ยวพันไปถึงรัฐบาลอินเดียกับศาลสูงสุดอินเดีย[3] ฉะนั้น ในวันที่ 22 สิงหาคม ค.ศ. 2017 ศาลสูงสุดอินเดียจึงวินิจฉัยด้วยคะแนนเสียงสามต่อสองว่า การหย่าโดยแจ้งเฏาะลากสามครั้งในคราวเดียว (talaq-e-biddat; instant triple talaq) ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ[4][5] โดยตุลาการเสียงข้างมากเห็นว่า การหย่าเช่นนี้ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ส่วนเสียงข้างน้อยเห็นว่า ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ แต่เห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า ควรที่รัฐบาลจะออกกฎหมายมาห้ามต่อไป[6]
วิธีการ[แก้]
เฏาะลากสามครั้ง เป็นวิธีหย่าที่ประพฤติกันในอินเดีย โดยชายมุสลิมสามารถหย่าภรรยาได้โดยชอบ เพียงแจ้งภรรยาว่า "เฏาะลาก" สามครั้ง การแจ้งนี้สามารถกระทำได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นวาจา ลายลักษณ์อักษร และในปัจจุบัน มีการแจ้งด้วยวิธีทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น โทรศัพท์ ข้อความ อีเมล หรือสื่อสังคม ในการแจ้งนี้ ชายไม่ต้องแสดงเหตุผลใด ๆ และเพียงแจ้งลอย ๆ ไม่ต้องมีภรรยามาอยู่ต่อหน้าเลยก็ได้ เมื่อพ้นเวลาที่เรียก "อิดดะฮ์" (‘iddah) ซึ่งกำหนดไว้ให้แน่ใจว่า ภรรยามิได้ตั้งครรภ์อยู่แล้ว การหย่าก็เป็นอันลบล้างมิได้อีกต่อไป[7][8] มีการแนะนำว่า ก่อนแจ้งหย่าครบทั้งสามครั้ง ควรรั้งรอไว้สักระยะ เผื่อจะไกล่เกลี่ยประนีประนอมกันได้ แต่ก็ไม่เคยมีการรั้งรอเช่นนั้น เพราะโดยทั่วไปแล้วมักแจ้งหย่าสามครั้งรวดเดียว[9]
หญิงที่ชายหย่าแล้วจะสมรสกับชายเดิมมิได้ เว้นแต่ "ล้างน้ำ" (เรียก nikah halala) โดยสมรสกับชายอื่นแล้วกลับมาแต่งงานกับชายคนเดิม แต่จนกว่าจะสมรสใหม่ หญิงต้องแบกรับภาระเลี้ยงดูบุตรชายที่ยังเล็ก และเลี้ยงดูบุตรหญิงไปจนกว่าจะถึงวัยเจริญพันธุ์ เมื่อพ้นเวลานั้นแล้ว บุตรทั้งหลายก็ตกอยู่ในความปกครองของบิดาต่อไป[8]
คณะกรรมการกฎหมายบุคคลอิสลามเพื่อชนอินเดียทั้งมวล (All India Muslim Personal Law Board: AIMPLB) องค์การนอกภาครัฐที่สนับสนุนการหย่าแบบเฏาะลากสามครั้ง เคยชี้แจงต่อศาลสูงสุดอินเดียว่า หญิงก็สามารถหย่าสามีโดยวิธีเดียวกัน และจะกำหนดเงื่อนไขมิให้สามีแจ้งหย่าตนก็ได้[10]
ปัจจุบัน ประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิมจำนวน 20 ประเทศ ซึ่งรวมถึงปากีสถาน ได้ห้ามหย่าโดยแจ้งเฏาะลากสามครั้งรวดเดียว[11]
ประวัติ[แก้]
กิจการครอบครัวมุสลิมในอินเดียนั้นอยู่ในบังคับของรัฐบัญญัติให้ใช้กฎหมายบุคคลมุสลิม (ชะรีอะฮ์) ค.ศ. 1937 (Muslim Personal Law (Shariat) Application Act, 1937) ซึ่งเป็นหนึ่งในกฎหมายฉบับแรก ๆ ที่ประกาศใช้หลังจากพระราชบัญญัติการปกครองอินเดีย ค.ศ. 1935 (Government of India Act, 1935) มีผลใช้บังคับ กฎหมายดังกล่าวเข้าแทนที่ "กฎหมายแบบอังกฤษ–มุฮัมมัด" (Anglo-Mohammedan Law) ที่เคยใช้แก่ชาวอิสลาม โดยมีผลผูกพันชาวอิสลามทั้งหมดในอินเดีย[12][13]
เนติบัณฑิตอุลมา (ulama) เท่านั้นที่จะตีความกฎหมายชะรีอะฮ์ดังกล่าวได้ เหล่าอุลมาเคยถกเถียงครั้งใหญ่ในเรื่องนี้กันเมื่อ ค.ศ. 2003 โดยอุลมาจากสำนักกฎหมายฮะนะฟี (Hanafi) ของนิกายซุนนี (Sunni) เห็นว่า การหย่าแบบเฏาะลากสามครั้งมีผลผูกพัน ถ้ากระทำต่อหน้าพยานที่เป็นมุสลิม และให้ศาลชะรีอะฮ์รับรอง แต่อุลมาจากสำนักอื่น ๆ เช่น Ahl-i Hadith, Twelver, และ Musta'li ไม่เห็นด้วยกับการหย่าเช่นนี้[8]
สำหรับนิติปรัชญาอิสลามแบบดั้งเดิมแล้ว การหย่าแบบเฏาะลากสามครั้งไม่เป็นที่ยอมรับ แต่อาจชอบด้วยกฎหมาย[14] นับแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 สืบมา สถานการณ์ของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปทวีความไม่พอใจต่อกฎหมายหย่าของอิสลาม ทำให้ประเทศมุสลิมหลายแห่งปฏิรูปการหย่าในหลายวิธี[15] กระนั้น ความสัมพันธ์ทางสมรสของมุสลิมในอินเดียยังคงเดิม คือ ไม่ต้องจดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย และถือเป็นเรื่องส่วนบุคคลที่ฝ่ายบ้านเมืองจะไม่ก้าวก่าย เว้นแต่เข้ามาอยู่ในบังคับของกฎหมาย โดยจดทะเบียนสมรสตามรัฐบัญญัติการสมรสพิเศษ ค.ศ. 1954 (Special Marriage Act, 1954)[16] และเพราะปัจจัยทางประวัติศาสตร์ สิทธิที่สามีสามารถหย่าภรรยาได้แต่ฝ่ายเดียวในอินเดียจึงไม่เคยมีการตรวจสอบเหมือนในประเทศอื่น[16]
การสนับสนุน[แก้]
AIMPLB สนับสนุนการหย่าแบบเฏาะลากสามครั้ง[17] โดยอ้างรายงานของคณะวิจัยมุสลิมมหิลา (Muslim Mahila Research Kendra) กับคณะกรรมการชะรีอะฮ์เพื่อสตรี (Shariah Committee for Women) ว่า มุสลิมมีอัตราการหย่าต่ำกว่าชาวศาสนาอื่น ข้ออ้างที่ว่ามีการหย่าแบบเฏาะลากสามครั้งมากนั้นจึงฟังไม่ขึ้น นอกจากนี้ AIMPLB ยังว่า มีหญิงมุสลิมกว่า 35 ล้านคนทั่วอินเดียลงชื่อสนับสนุนกฎหมายชะรีอะฮ์และการหย่าแบบเฏาะลากสามครั้ง[18][19][20]
การถกเถียงเรื่องหย่าแบบเฏาะลากสามครั้ง ทำให้ AIMPLB ออกประมวลจริยธรรมกำหนดแนวทางการหย่าดังกล่าวในเดือนเมษายน ค.ศ. 2017 พร้อมชี้ชวนให้คว่ำบาตรผู้หย่าแบบเฏาะลากสามครั้งโดยปราศจากการไตร่ตรองและเหตุผลรองรับ[21] AIMPLB ยังแนะนำว่า เพื่อให้มีเวลาปรองดอง การแจ้งหย่าแต่ละครั้งควรทำอย่างน้อยหนึ่งเดือนห่างกัน[22]
การคัดค้าน[แก้]
หญิงมุสลิมไม่เห็นด้วยกับการหย่าแบบเฏาะลากสามครั้ง[23] หญิงบางคนฟ้องคดีเพื่อประโยชน์ส่วนรวมต่อศาลสูงสุดอินเดีย โดยพรรณนาว่า เป็นวิถีประพฤติที่ "ล้าหลัง" (regressive)[17] โดยผู้ฟ้องคดีขอให้เพิกถอนมาตรา 2 ของรัฐบัญญัติให้ใช้กฎหมายบุคคลมุสลิม (ชะรีอะฮ์) ค.ศ. 1937 ที่ยอมให้มีการหย่าดังกล่าว อ้างว่า ขัดต่อมาตรา 14 ของรัฐธรรมนูญอินเดีย ซึ่งว่าด้วยความเสมอภาคกันในทางกฎหมาย[24]
วันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 2016 ศาลสูงอัลลอฮาบาด (Allahabad High Court) จึงวินิจฉัยว่า การหย่าแบบเฏาะลากสามครั้งขัดต่อรัฐธรรมนูญและละเมิดสิทธิสตรีมุสลิม[25][26]
ครั้นเดือนมีนาคม ค.ศ. 2017 กลุ่มอิสลามในสังกัดกลุ่มชาตินิยมฮินดูที่ชื่อ ราษฏรียสวยัมเสวกสังฆ์ (Rashtriya Swayamsevak Sangh) ล่ารายชื่อเรียกร้องให้ยุติการหย่าแบบเฏาะลากสามครั้ง มีชาวมุสลิมในอินเดียร่วมลงชื่อสนับสนุนกว่าหนึ่งล้านคน[27] วันที่ 10 พฤษภาคม ค.ศ. 2017 นักบวชผู้ใหญ่ในศาสนาอิสลามบางคนออกแถลงการณ์ว่า การหย่าดังกล่าว "ไม่ใช่ของอิสลาม" (un-Islamic) เป็นแต่เครื่องมือกดขี่สตรี[28]
คดีข้างต้นไปถึงศาลสูงสุดอินเดียใน ค.ศ. 2017 ผู้รับผิดชอบเป็นองค์คณะซึ่งประกอบด้วยตุลาการห้าคนที่หลากความเชื่อและศาสนา[29][30] ตุลาการสองคนเห็นว่า การหย่าโดยแจ้งเฏาะลากสามครั้งรวดเดียวนั้นไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ตุลาการอีกสามคนเห็นว่า ขัด จึงเกิดคำวินิจฉัยด้วยเสียงข้างมากสามต่อสอง[31] องค์คณะตุลาการยังกำหนดให้รัฐบาลกลางตรากฎหมายเกี่ยวกับการสมรสและการหย่าของชาวอิสลามเสียใหม่ภายในหกเดือน[32] แต่จนกว่าจะมีกฎหมายใหม่ องค์คณะตุลาการออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวโดยห้ามแจ้งเฏาะลากสามครั้งเพื่อหย่า[33][34]
อ้างอิง[แก้]
- ↑ "Triple Talaq verdict: What exactly is instant divorce practice banned by court". Hindustan Times. 2017-08-22. สืบค้นเมื่อ 2017-09-18.
- ↑ Mohammed Siddique Patel. "The different methods of Islamic separation – Part 2: The different types of Talaq". www.familylaw.co.uk. สืบค้นเมื่อ 2017-05-29.
- ↑ "Triple Talaq". The Times of India. 13 May 2017. สืบค้นเมื่อ 2017-05-13.
- ↑ "Supreme Court scraps instant triple talaq: Here's what you should know about the practice".
- ↑ "Small step, no giant leap".
- ↑ "Triple talaq verdict LIVE updates: Jaitley says SC judgment a great victory and welcome step". Indian Express.
- ↑ Choudhury, (Mis)Appropriated Liberty (2008), pp. 72–73.
- ↑ 8.0 8.1 8.2 Rao, Kinship, Descent Systems and State – South Asia (2003), p. 341.
- ↑ Choudhury, (Mis)Appropriated Liberty (2008), p. 95.
- ↑ "Women can say triple talaq, Muslim law board tells Supreme Court". The Times of India. 17 May 2017.
- ↑ Stacey, Kiran (22 August 2017). "India supreme court bans Islamic 'instant divorce'". Financial Times.
- ↑ Mukhopadhyay, Construction of Gender Identity (1994), p. 61.
- ↑ Murshid, Inheritance: Contemporary Practice – South Asia (2003), p. 304.
- ↑ Esposito & Delong-Bas, Women in Muslim Family Law (2001), pp. 30–31.
- ↑ Schacht, J.; Layish, A. (2000). "Ṭalāḳ". ใน P. Bearman; Th. Bianquis; C. E. Bosworth; E. van Donzel; W. P. Heinrichs (บ.ก.). Encyclopaedia of Islam. Vol. 10 (2nd ed.). Brill. p. 155.
- ↑ 16.0 16.1 Esposito & Delong-Bas, Women in Muslim Family Law (2001), pp. 111–112.
- ↑ 17.0 17.1 "Lucknow: Muslim Personal Law Board to discuss Ayodhya dispute, triple talaq on Saturday", Hindustan Times, 14 April 2017, สืบค้นเมื่อ 22 August 2019
- ↑ Khan, Shoeb (10 April 2017). "Muslims have lower divorce rate than other groups". The Times of India. สืบค้นเมื่อ 2017-04-21.
- ↑ PTI (10 April 2017). "Muslim community has a low rate of divorce". The Hindu. สืบค้นเมื่อ 2017-04-21.
- ↑ "Divorce rate among Muslims low compared to other communities". India Today. 8 April 2017. สืบค้นเมื่อ 2017-04-21.
- ↑ Shaurya, Surabhi (17 April 2017). "Triple Talaq: All India Muslim Personal Law Board issues code of conduct; here's what it says". India.com.
- ↑ Bajpai, Namita (16 April 2017). "All India Muslim Personal Law Board announces code of conduct for triple talaq". The New Indian Express.
- ↑ "What India's liberals get wrong about women and sharia law".
- ↑ Thakur, Pradeep (23 January 2017). "Triple Talaq: Law panel studies practices of Muslim nations". The Times of India.
- ↑ "Allahabad High Court calls triple talaq unconstitutional, says no personal law board is above Constitution". India Today. 8 December 2016. สืบค้นเมื่อ 2017-04-21.
- ↑ Rashid, Omar (8 December 2016). "'Triple talaq' a cruel and most demeaning form of divorce practised by Muslim community: HC". The Hindu. สืบค้นเมื่อ 2017-04-21.
- ↑ Suri, Manveena (17 March 2017). "Triple talaq: 1 million Indian Muslims sign petition against divorce practice". CNN. สืบค้นเมื่อ 2017-05-22.
- ↑ "The case against Triple talaq". Livemint. 16 May 2017.
- ↑ "Triple talaq case: Muslim judge on multi-faith bench kept silence all through".
- ↑ "5 Judges Of 5 Faiths Give Verdict On Triple Talaq".
- ↑ "Triple Talaq declared invalid by Supreme Court - Lexspeak". Lexspeak (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2017-08-23. สืบค้นเมื่อ 2017-08-23.
- ↑ "Supreme Court declares triple talaq unconstitutional, strikes it down by 3:2 majority".
- ↑ "Injunction on husbands pronouncing triple talaq until law is made: SC advocate".
- ↑ "This Is What Supreme Court Said In Triple Talaq Judgment [Read Judgment]".
บรรณานุกรม[แก้]
- Choudhury, Cyra Akila (2008), "(Mis)Appropriated Liberty: Identity, Gender Justice and Muslim Personal Law Reform in India", Columbia Journal of Gender & Law, 17 (1): 45–110
- Esposito, John L.; DeLong-Bas, Natana J. (2001). Women in Muslim Family Law (2nd ed.). Syracuse University Press.
- Joseph, Suad; Naǧmābādī, Afsāna (2003), Encyclopedia of Women and Islamic Cultures: Family, Law and Politics, Brill, p. 341, ISBN 90-04-12818-2
- Murshid, Tazeen Mahnaz (2003), "Inheritance: Contemporary Practice – South Asia", Ibid, p. 304, ISBN 9004128182
- Rao, Aparna (2003), "Kinship, Descent Systems and State – South Asia", Ibid, p. 341, ISBN 9004128182
- Mukhopadhyay, Maitrayee (August 1994), Construction of Gender Identity: Women, the State and Personal Laws in India, University of Sussex
- Singh, Rajvendra (December 2019), Three Verdicts : the Man with Extreme Will Power, Amazon Publishing.