มหาสฟิงซ์

พิกัด: 29°58′31″N 31°08′16″E / 29.97528°N 31.13778°E / 29.97528; 31.13778
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
มหาสฟิงซ์
มหาสฟิงซ์ตั้งอยู่ในประเทศอียิปต์
มหาสฟิงซ์
แสดงที่ตั้งภายในประเทศอียิปต์
ที่ตั้งกีซา
ภูมิภาคประเทศอียิปต์
พิกัด29°58′31″N 31°08′16″E / 29.97528°N 31.13778°E / 29.97528; 31.13778
ความยาว73 เมตร (240 ฟุต)
ความกว้าง19 เมตร (62 ฟุต)
ความสูง20 เมตร (66 ฟุต)
ความเป็นมา
วัสดุหินปูน
หมายเหตุเกี่ยวกับสถานที่
สภาพฟื้นฟูบางส่วน

มหาสฟิงซ์แห่งกีซา (อังกฤษ: The Great Sphinx of Giza) คือรูปสฟิงซ์ สัตว์ในตำนานที่มีหัวเป็นมนุษย์และร่างกายเป็นสิงโต[1] ที่ผ่านการแกะสลักบนหินปูน มีท่าเอนกายในแนวทิศตะวันตก หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ตั้งอยู่บริเวณที่ราบสูงกีซาที่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไนล์ ในเมืองกีซา ประเทศอียิปต์ ใบหน้าของสฟิงซ์ดูเหมือนจะเป็นตัวแทนของฟาโรห์คาเฟร[2]

รูปร่างเดิมของสฟิงซ์สลักจากหินดาน ที่ภายหลังฟื้นฟูด้วยบล็อกหินปูน[3] มีความยาวจากเท้าหน้าไปที่หาง 73 เมตร (240 ฟุต) ความสูงจากฐานไปยังหัวที่ 20 เมตร (66 ฟุต) และความกว้างตรงโหนกหลังที่ 19 เมตร (62 ฟุต)[4] จมูกของมันหักโดยไม่ทราบสาเหตุในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 3 ถึง 10

สฟิงซ์เป็นมหาประติมากรรมที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่รู้จักในอียิปต์ และเป็นหนึ่งในรูปปั้นที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดในโลก หลักฐานทางโบราณคดีกล่าวแนะว่ารูปปั้นนี้สร้างขึ้นโดยชาวอียิปต์โบราณในราชอาณาจักรเก่าแห่งอียิปต์รัชสมัยฟาโรห์คาเฟร (ป. 2558–2532 ปีก่อนคริสต์ศักราช)[5][6][7]

ที่มาของชื่อ"สฟิงซ์"[แก้]

ไม่มีใครทราบชื่อเดิมของสฟิงซ์ที่ผู้สร้างในสมัยราชอาณาจักรเก่าตั้งไว้ เนื่องจากวิหารสฟิงซ์ที่ปิดหรืออาจเป็นสฟิงซ์ในเวลานั้นยังสร้างไม่เสร็จ ทำให้วัสดุทางวัฒนธรรมจึงมีจำกัด[8] ในสมัยราชอาณาจักรใหม่แห่งอียิปต์ สฟิงซ์ได้รับการบูชาเป็นเทพสุริยะ Hor-em-akhet ("ฮอรัสแห่งขอบฟ้า"; แผลงเป็นกรีก: Harmachis)[9] และฟาโรห์ทุตโมสที่ 4 (1401–1391 ปีก่อนคริสต์ศักราช หรือ 1397–1388 ปีก่อนคริสต์ศักราช)[a] ทรงกล่าวถึงสิ่งนี้เป็นการเฉพาะในศิลาจารึกแห่งความฝัน[10]

ส่วน "สฟิงซ์" ชื่อที่มีการใช้ทั่วไป มีที่มาจากสมัยคลาสสิก ประมาณ 2,000 ปีหลังการก่อสร้าง โดยอิงจากปีศาจในเทพปกรณัมกรีกที่มีหัวผู้หญิง นกเหยี่ยว แมว หรือแกะ และตัวเป็นสิงโตที่มีปีกของอินทรี (ถึงแม้ว่ามหาสฟิงซ์จะมีหัวเป็นมมุษย์และไม่มีปีกเหมือนกับสฟิงซ์อียิปต์ก็ตาม)[11] ศัพท์ภาษาอังกฤษของ sphinx มาจากภาษากรีกโบราณว่า Σφίγξ (ถอดเป็นอักษรโรมัน: sphinx) จากรูปกริยา σφίγγω (ถอดเป็นอักษรโรมัน: sphingo / บีบ) ตามสฟิงซ์กรีกที่จะรัดคอใครก็ตามที่ไม่สามารถตอบปริศนาคำทายได้[ต้องการอ้างอิง]

นักเขียนชาวอาหรับสมัยกลาง ซึ่งรวมถึง อัลมักรีซี เรียกสฟิงซ์จากภาษาคอปติกที่ถูกแผลงเป็นอาหรับว่า บิลฮีบ (อาหรับ: بلهيب) และ บิลฮะวียะฮ์ (อาหรับ: بلهويه)[12] ซึ่งมาจาก อียิปต์โบราณ: pꜣ-Ḥwr ชื่อเทพเฮารูนของชาวคานาอันที่มีการระบุถึงตัวสฟิงซ์ ชื่อภาษาอาหรับอียิปต์สมัยใหม่เรียกเป็น أبو الهول (อะบู อัลโฮล / อะบู อัลเฮาล์ สัทอักษรสากล: [ʔabu alhoːl], "ผู้น่ากลัว"; แปลว่า "บิดาแห่งความกลัว") ซึ่งตรงกับชื่อในภาษาคอปติก[13]

ประวัติ[แก้]

ภาพ มหาสฟิงซ์ ถูกทรายทับถมบันทึกเมื่อปี ค.ศ. 1867

ประมาณ 1 พันปีต่อมา หลังจากยุคสมัยของฟาโรห์คาเฟรที่มหาสฟิงซ์ถูกสร้างขึ้น มหาสฟิงซ์ถูกพายุทรายพัดทับถมจนเหลือให้เห็นเพียงส่วนหัว เล่ากันว่ามีเทพเจ้ามาเข้าฝัน เจ้าชายธุตโมส บอกให้พระองค์นำทรายที่ทับถมมหาสฟิงซ์ออก หากทำตามจะส่งผลให้ พระองค์ได้เป็นฟาโรห์ที่ยิ่งใหญ่ มหาสฟิงซ์ จึงได้รับการดูแลรักษาเป็นครั้งแรก

เจ้าชายธุตโมสนี้ ต่อมาได้ขึ้นครองอียิปต์เป็น ฟาโรห์ทุตโมสที่ 4 (Thutmose IV) แห่งราชวงศ์ที่ 18 นับเป็นฟาโรห์ที่ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่ง หลังยุคสมัยของฟาโรห์ธุสโมซิสที่ 4 ในเวลาต่อมา มหาสฟิงซ์ ก็ถูกทรายทับถมอีก และได้รับการดูแลรักษาขึ้นมาใหม่ จนเห็นเต็มตัวในปัจจุบัน

ปัจจุบันใบหน้ามหาสฟิงซ์ ถูกทำลายจนแทบสังเกตรายละเอียดไม่ออก ร่ำลือกันว่า เกิดจากทหารของ นโปเลียน ที่มาอียิปต์ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 ใช้ใบหน้าของมหาสฟิงซ์ เป็นเป้าซ้อมยิงปืน ทำให้รูปงูแผ่แม่เบี้ยที่หน้าผากชำรุดเสียหาย จมูกแหว่ง และเคราหลุด อย่างไรก็ตามจากหลักฐานภาพวาดเก่าแก่เมื่อ 400 ปีก่อน พบว่าจมูกของมหาสฟิงซ์ชำรุด ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว และมีบันทึกของอาหรับว่า ใบหน้าสฟิงซ์ถูกทำลาย ในคริสต์ศตวรรษที่ 14 ซึ่งเป็นเวลาก่อนหน้ายุคสมัยของ นโปเลียน หลายร้อยปี

คำถามที่นักโบราณคดีกระแสหลักยังคงตามหาคำตอบกันอยู่ก็คือ เอกสารของอัล-มักริสีที่พูดถึงการกระทำของกลุ่มมุสลิมซูฟียฺนั้นเป็นความจริงมากน้อยแค่ไหน มูฮัมหมัดจะเป็นคนร้ายตัวจริงในการกระทำครั้งนี้หรือไม่ ตอนนี้เรายังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนชิ้นใดพูดถึงการทำลายจมูกของสฟิงซ์ที่เก่าแก่ไปกว่าหลักฐานของอัล-มักริสี ดังนั้นตอนนี้ถ้าถามว่าใครเป็นต้นเหตุให้จมูกของสฟิงซ์บี้แบนเช่นนี้แล้วละก็ คนร้าย(เป็นการชั่วคราว)ของคดีนี้ก็คือมูฮัมหมัด ซา’อิม อัล-ดาห์ร (Muhammad Sa'im al-Dahr) จากกลุ่มมุสลิมซูฟียฺนั่นเอง ซึ่งถูกจับแขวนคอใน ข้อหาทำลายทรัพย์สินของรัฐอย่างไร้เหตุผลเมื่อปี 1378 (พ.ศ. 1921).

นอกจากนี้ยังร่ำลือกันว่า ชิ้นส่วนของจมูกและเครามหาสฟิงซ์ ถูกนำไปเก็บรักษาไว้ที่ พิพิธภัณฑ์อังกฤษ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ และทางการอียิปต์ ได้พยายามดำเนินการทวงถาม เพื่อนำกลับคืนประเทศอียิปต์แต่ยังไม่เป็นผล เรื่องชิ้นส่วนจมูกและเคราของมหาสฟิงซ์นั้น ความจริงปรากฏว่า ปัจจุบัน พิพิธภัณฑ์อังกฤษ ได้เก็บรักษา "ส่วนหนึ่ง" ของ เครามหาสฟิงซ์ ที่มีความยาวประมาณ 78 เซนติเมตรเอาไว้

ดูเพิ่ม[แก้]

หมายเหตุ[แก้]

อ้างอิง[แก้]

  1. "The Great Sphinx of Giza". Ancient History Encyclopedia. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 June 2018. สืบค้นเมื่อ 2016-12-07.
  2. Sims, Lesley (2000). "The Great Pyramids". A Visitor's Guide to Ancient Egypt. Saffron Hill, London: Usborne Publishing. p. 17. ISBN 0-7460-30673.
  3. "Saving the Sphinx – NOVA | PBS". pbs.org. สืบค้นเมื่อ 2016-12-07.
  4. Rigano, Charles (2014). Pyramids of the Giza Plateau. p. 148. ISBN 9781496952493.
  5. "Sphinx Project « Ancient Egypt Research Associates". 10 September 2009. สืบค้นเมื่อ 12 November 2021.
  6. Dunford, Jane; Fletcher, Joann; French, Carole (ed., 2007). Egypt: Eyewitness Travel Guide เก็บถาวร 2009-02-18 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. London: Dorling Kindersley, 2007. ISBN 978-0-7566-2875-8.
  7. Lehner 1991.
  8. Lehner 1991, p. 96.
  9. Hawkes, Jacquetta (1974). Atlas of Ancient Archaeology. McGraw-Hill Book Company. p. 150. ISBN 0-07-027293-X.
  10. Bryan, Betsy M. (1991) The Reign of Thutmose IV. The Johns Hopkins University Press. pp. 145–146
  11. "sphinx | mythology". Encyclopædia Britannica. สืบค้นเมื่อ 2016-12-07.
  12. "ص229 - كتاب المواعظ والاعتبار بذكر الخطط والآثار - ذكر الصنم الذي يقال له أبو الهول - المكتبة الشاملة الحديثة". al-maktaba.org. สืบค้นเมื่อ 12 November 2021.
  13. Peust, Carsten. "Die Toponyme vorarabischen Ursprungs im modernen Ägypten" (PDF). p. 46.

บรรณานุกรม[แก้]

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]