แผนการยัง

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

แผนการยัง (อังกฤษ: Young Plan) เป็นโครงการที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อจัดการกับหนี้สินค่าปฏิกรรมสงคราม หลังจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง โดยตราขึ้นในปี ค.ศ. 1929 และประกาศใช้ในปี ค.ศ. 1930 นำโดยโอเวน ดี. ยัง หลังจากแผนการดอวส์ได้ถูกนำมาใช้แก้ไขปัญหาการพักชำระหนี้สิน ก็ได้ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเยอรมนีไม่อาจแบกรับภาระค่าปฏิกรรมสงครามมหาศาลเช่นนั้นได้เมื่อเวลาผ่านไป

แผนการ[แก้]

คณะกรรมการชุดดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากคณะกรรมการค่าปฏิกรรมสงครามฝ่ายพันธมิตร โดยประชุมกันครั้งแรกในช่วงต้นปี ค.ศ. 1929 และได้เสนอรายงานเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน นอกเหนือจากยังแล้ว สหรัฐอเมริกาได้ส่ง เจ. พี. มอร์แกน นายธนาคารที่มีชื่อเสียงและผู้ช่วยของเขา โธมัส ดับเบิลยู. ลามอนต์ การทำรายงานดังกล่าวได้รับการคัดค้านจากสหราชอาณาจักร แต่หลังจากการประชุมกรุงเฮก แผนการได้เสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม โดยที่ประกาศใช้แผนการยังอย่างเป็นทางการในการประชุมกรุงเฮกครั้งที่สอง ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1930

แผนการยังได้กำหนดค่าปฏิกรรมสงครามอยู่ที่ 26,350 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ โดยกำหนดระยะเวลาชำระอยู่ที่ 58 ปีครึ่ง เป็นการนำเข้ามาใช้แทนที่แผนการดอวส์ในปี ค.ศ. 1930 แผนการยังได้กำหนดให้เยอรมนีต้องชำระหนี้เป็นประจำทุกปีปีละ 473 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ จากค่าปฏิกรรมสงครามทั้งหมดสามส่วนได้แบ่งออกเป็นส่วนที่ต้องจ่ายให้ครบจำนวนอย่างไม่มีเงื่อนไข คิดเป็นหนึ่งในสามของจำนวนเงินทั้งหมด และอีกสองส่วนที่เหลือเป็นส่วนที่สามารถผ่อนชำระต่อไปอีกได้ โดยคิดเป็นสองในสามของจำนวนเงินทั้งหมด โดยเงินประจำปีจะเพิ่มขึ้นผ่านทางภาษีคมนาคมและจากงบประมาณของแผ่นดิน

นอกจากนั้น แผนการดังกล่าวยังได้จัดการธนาคารระหว่างประเทศเพื่อการชำระหนี้ เพื่อจัดการกับการถ่ายโอนค่าปฏิกรรมสงครามดังกล่าวด้วย ผลทำให้เกิดการก่อตั้งธนาคารนานาชาติเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงการประชุมที่กรุงเฮกในเดือนมกราคม

ระหว่างการตกลงและการประกาศใช้แผนการดังกล่าวนั้น ได้เกิดเหตุการณ์ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทล่ม ซึ่งทำให้เกิดผลกระทบตามมาเป็นสองเท่า ระบบธนาคารสหรัฐอเมริกาได้ดึงเงินจำนวนมากจากทวีปยุโรปและยกเลิกการให้กู้เงินตามแผนการยัง นอกเหนือจากนั้น การนำเข้าและการส่งออกก็ประสบหายนะ ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาไปทั่วโลก ในปี ค.ศ. 1933 ปริมาณการค้าทั่วโลกหดตัวลงเกือบสองในสาม นโยบายการค้าใหม่ถูกจัดให้มีขึ้นตามบัญญัติภาษีศุลากากรสมูท-ฮาวลีย์ ซึ่งต่อมาได้รับอิทธิพลจากแนวคิดชาตินิยมและการปรับปรุงนโยบายทางเศรษฐกิจ ส่วนอัตราการว่างงานในเยอรมนีคิดเป็น 33.7% เมื่อปี ค.ศ. 1931 และเพิ่มขึ้นเป็น 40% ในปีต่อมา

จากความรุนแรงของเหตุการณ์ดังกล่าว ประธานาธิบดีเฮอร์เบิร์ต ฮูเวอร์เสนอนโยบายให้ประกาศพักชำระหนี้เป็นเวลาหนึ่งปี โดยเขาดูแลให้เกิดการสนับสนุนให้ประกาศพักชำระหนี้กว่า 15 ประเทศในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1931 แต่การประกาศพักชระหนี้ของฮูเวอร์ส่งผลกระทบน้อยมากต่อสถานการณ์เศรษฐกิจตกต่ำในทวีปยุโรป ส่วนเยอรมนีได้รับผลกระทบหนักจากวิกฤตการณ์ธนาคารครั้งใหญ่ ความพยายามสุดท้ายจึงถือกำเนิดขึ้นที่การประชุมโลซานน์ในปี ค.ศ. 1932 ซึ่งผู้แทนจากสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส อิตาลี เบลเยี่ยม เยอรมนีและญี่ปุ่นได้เดินทางมาร่วมประชุม ในขณะนั้นในประจักษ์อย่างชัดเจนแล้วว่า เยอรมนีไม่อาจชำระหนี้ได้ทั้งหมดอย่างแน่อนจากปัญหาสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรง

ที่ประชุมได้ตกลงว่า:

  • จะไม่บังคับให้เยอรมนีในช่วงระยะเวลานี้
  • เพื่อลดความเป็นหนี้บุญคุณลงเกือบ 90% และต้องการให้เยอรมนีเตรียมการเพื่อผลิตพันธบัตร การจัดเตรียมดังกล่าวใกล้จะถูกยกเลิก โดยการลดหนี้จาก 32,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐลงเหลือ 713 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ
  • และได้มีการตกลงกันอย่างไม่เป็นทางการระหว่างผู้แทนแต่ละประเทศว่า การเตรียมการดังกล่าวอาจไม่มีประสิทธิภาพถ้าหากรัฐบาลสหรัฐอเมริกาประกาศยกเลิกหนี้ค่าปฏิกรรมสงครามซึ่งติดหนี้กับฝ่ายพันธมิตร เมื่อสิ้นสุดวาระการประกาศพักชำระหนี้ สถานการณ์ได้กลับเข้าสู่กฎข้อตกลงของแผนการยัง แต่ระบบได้ล่มสลายลง เยอรมนีมิได้ชำระหนี้ค่าปฏิกรรมสงครามต่อ หลังจากที่พรรคนาซีก้าวขึ้นสู่อำนาจ รัฐบาลเยอรมนีได้ประกาศไม่ยอมรับการชำระหนี้

หลังจากเยอรมนีพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ประชุมระหว่างประเทศในปี ค.ศ. 1953 ได้ตัดสินใจให้เยอรมนีชำระหนี้ค่าปฏิกรรมสงครามหลังจากที่ได้มีการรวมประเทศแล้ว ถึงกระนั้น รัฐบาลของเยอรมนีตะวันตกได้ชำระเงินต้นได้ทั้งหมดได้ภายในปี ค.ศ. 1980 และหลังจากที่ได้มีการรวมชาติเยอรมนี ในปี ค.ศ. 1995 รัฐบาลใหม่ของเยอรมนีประกาศว่าจะชำระดอกเบี้ยที่เหลือทั้งหมด

อ้างอิง[แก้]

  • Anglo-American Relations in the 1920s: The Struggle for Supremacy, B. J. C. McKercher, 1991
  • The End of the European Era: 1890 to the Present, Gilbert & Large, 2002
  • 1929, The Year of the Great Crash, William K. Klingaman, 1989